พาราฟินบำบัดเป็นไขสีขาว ละลายด้วยอุณหภูมิพอเหมาะ
ขี้ผึ้งพาราฟิน (Parafin wax) เป็นไขมันที่ได้จากการกลั่นจากปิโตรเลียม มีลักษณะใส ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสชาติ คล้ายขี้ผึ้ง มีจุดหลอมเหลวที่ 47-64 องศาเซลเซียส ไม่ละลายน้ำ ทางกายภาพบำบัดทำขี้ผึ้งพาราฟินมาทำอะไร เนื่องจากขี้ผึ้งพาราฟินมีจุดหลอมเหลวต่ำ สามารถเป็นของเหลวได้ในอุณหภูมิไม่สูง และยังสามารถกักเก็บความร้อนได้ในระยะเวลาหนึ่งหลังจากแข็งตัว สามารถให้ความร้อนได้ในพื้นที่ที่เป็นซอกหรือบริเวณแคบๆได้ดี จึงสามารถนำข้อดีส่วนนี้มาประยุกต์กับงานกายภาพบำบัดได้ ในด้านการรักษา จะใช้ขี้ผึ้งพาราฟินที่ได้รับการหลอมละลายด้วยความร้อน ใช้สำหรับรยางค์ส่วนปลาย เช่น มือ เท้า ศอก แขน ขา มักใช้ เป็นต้น ความร้อนจะสามารถลงไปถึงผิวรอบๆข้อได้ ใช้ในกรณีไหนได้บ้าง สามารถใช้กับกรณีเดียวกับการใช้ความร้อนโดยทั่วไป คือ 1. ในกรณีที่มีการอักเสบแบบเรื้อรัง 2. ผู้ที่มีข้อมือ หรือ ข้อนิ้วติดแข็ง 3. ผู้ที่มีปัญหาพังผืดบริเวณมือ และนิ้ว 4. ในผู้ป่วยที่ปวดข้อเรื้อรังอย่างโรครูมาตอยด์ โรคนิ้วล็อค ………เป็นต้น…………. แล้วพาราฟินช่วยในเรื่องใดได้บ้าง 1. ช่วยให้การอักเสบแบบเรื้อรังลดลง เพิ่มการไหลเวียนโลหิตบริเวณนั้นๆ 2. ช่วยให้เอ็นกล้ามเนื้อหรือเอ็นยึดกระดูกคลายตัวในระดับหนึ่ง 3. ช่วยให้พังผืดที่แข็งตัว อ่อนนิ่มลง 4. ลดอาการปวดตามข้อมือ ข้อนิ้ว (ในบางโรค) 5. ลดการสะสมของกรดยูริคในข้อ วิธีการใช้พาราฟิน 1. ใช้การจุ่มค้างในหม้อตุ๋นพาราฟินเป็นเวลา 5-10 นาที 2. ใช้การจุ่มส่วนของร่างกาย (มือ.เท้า) ลงในหม้อพาราฟิน แล้วยกขึ้นทันที และจุ่มซ้ำๆประมาณ 6-10 รอบ เมื่อครบแล้วให้นำมือหรือเท้าห่อด้วยถุงพลาสติก หรือผ้า ทิ้งไว้ 15 นาที หรือจนกว่าพาราฟินจะหมดความร้อน วิธีการดูแลตัวเองหากเกิดโรคที่ทำให้เกิดการติดขัดของข้อหรืออาการปวดข้อ (ในบางโรค) 1. หากอยู่ที่บ้านไม่มีพาราฟิน แนะนำให้ใช้การแช่น้ำอุ่นแทน เช่นเดียวกับที่เคยแนะนำไว้ในเรื่องอาการปวดครับ คือ แช่ในน้ำอุ่นให้ท่วมบริเวณที่ปวดหรือมีข้อติดขัด ประมาณ 15 นาที โดยให้ความรู้สึกอุ่นสบาย ไม่ร้อนหรือแสบผิว เนื่องจากเป็นการรักษาด้วยการใช้ความร้อนเช่นกัน **หากเป็นการรักษาด้วยความร้อนเหมือนกัน ทำไมต้องใช้พาราฟิน*** 2. ทำการบริหารมือ หรือข้อที่ติด ด้วยท่าที่ได้รับจากนักกายภาพบำบัด เช่น การกระดกข้อมือ ข้อเท้า การงอ เหยียดแขน โดยใช้มืออีกข้างช่วยบริหาร และทำร่วมกับการยืดออกค้างไว้ โดยไม่ยืดจนเจ็บ เอาให้รู้สึกตึง ค้างไว้นับ 1-15 แล้วปล่อย ทำซ้ำ 10 ครั้ง เป็น 1 รอบ 10 รอบต่อวัน 3. หลังจากทำท่าบริหาร หรือ การยืดเสร็จ หากมีอาการปวด ร่วมกับ บวม แดง ร้อน ให้ใช้น้ำแข็งประคบประมาณ 10 นาที โดยให้รู้สึกเย็นสบาย ไม่แสบผิว ขอขอบคุณเนื้อหาจาก แผนกกายภาพบำบัด โรงพยาบาลชะอำ
รูปที่ 1 โครงสร้างระบบการทำงานของเครื่องยนต์ EFI อนึ่งบทความนี้ผู้เขียนได้สรุปย่อมาจากแผนการสอนรายวิชางานระบบฉีดเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์ (รหัสวิชา 2101–2116) ของผู้เขียนในปี พ.ศ. 2547 ระบบประจุอากาศ (Air Induction System) 1. ตัวเรือนลิ้นเร่ง (Throttle Body) รูปที่ 2 ตัวเรือนลิ้นเร่งที่มีตัวหน่วงลิ้นเร่ง (Dashpot) และลิ้นอากาศแบบขี้ผึ้ง 2. ลิ้นอากาศ (Air Valve หรือ Air Regulator หรือ Auxiliary Air Valve หรือ Fast Idle Valve) รูปที่ 3 ลิ้นอากาศแบบขี้ผึ้ง 2.2 ลิ้นอากาศแบบโลหะคู่ (Bi-Metal Type) จะไม่ใช้สกรูปรับรอบเดินเบา และไม่ใช้ลิ้นควบคุมรอบเดินเบา รูปที่ 4 ลิ้นอากาศแบบโลหะคู่ 3. ลิ้นระบายไอน้ำมันเครื่อง (PCV
Valve) รูปที่ 5 ระบายไอน้ำมันเครื่องด้วยลิ้น PCV รูปทีี่ 6 ระบายไอน้ำมันเครื่องด้วย Orifice แบบที่ 1 รูปทีี่ 7 ระบายไอน้ำมันเครื่องด้วย Orifice แบบที่ 2 4. กล่องดักไอน้ำมันแบบใช้ถ่าน หรือกระป๋องผงถ่านเก็บไอเชื้อเพลิง (Charcoal Canister หรือ Carbon Canister) รูปที่ 8 ระบายไอเชื้อเพลิงแบบใช้สัญญาณสุญญากาศ รูปที่ 9 ระบายไอเชื้อเพลิงด้วยลิ้นควบคุมสุญญากาศ รูปที่ 10 สรุปวงจรกล่องดักไอน้ำมันแบบใช้ถ่านทั้ง 5 แบบ ระบบเชื้อเพลิง (Fuel System) เชื้อเพลิงจะถูกสร้างให้มีความดันสูงโดยดูดเชื้อเพลิงจากถัง ปั๊มให้มีความดันผ่านท่อ กรองเชื้อเพลิง ท่อจ่ายเชื้อเพลิง (Delivery Pipe หรือ Fuel Rail) เข้าสู่หัวฉีดโดยมีตัวคุมค่าความดันเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับความดันอากาศในท่อร่วมไอดี รูปที่ 11 ระบบเชื้อเพลิงไหลกลับ 2. ระบบเชื้อเพลิงไร้การไหลกลับ (Returnless Fuel System) เพื่อที่จะให้ลดการกลายเป็นไอของเชื้อเพลิงที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายของแก๊สไฮโดรคาร์บอน (HC) ตามมาตรฐานควบคุมมลพิษ ยูโรระดับ 3 และ 4 จึงต้องมีการออกแบบระบบเชื้อเพลิงใหม่ให้เป็นระบบเชื้อเพลิงไร้การไหลกลับ ระบบใหม่นี้จะสามารถลดอุณหภูมิของเชื้อเพลิงลงได้ประมาณ 10 องศาซี ดังนั้นการกลายเป็นไอของเชื้อเพลิงจึงถูกลดลง 33 % (ประมาณ 1 ใน 3 ของระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบเดิม) เพื่อให้สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นและประหยัดพลังงานจากเชื้อเพลิงที่นับวันจะเหลือน้อยลงไป ตัวคุมค่าความดันเชื้อเพลิง (Fuel Pressure Regulator) ของเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบไร้การไหลกลับ (Returnless Fuel System) ถูกติดตั้งที่ด้านเชื้อเพลิงออกจากปั๊มเชื้อเพลิงภายในถังเชื้อเพลิง (บางแบบอยู่นอกถังเชื้อเพลิง หลังกรองเชื้อเพลิง) ซึ่งระบบนี้จะควบคุมความดันไว้ที่ 3.1 - 3.5 kgf/cm2 โดยที่มิได้สัมพันธ์กับความดันหรือสุญญากาศในท่อร่วมไอดี ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ ของ ECU ที่จะเพิ่มระยะเวลาการฉีดเชื้อเพลิงให้สัมพันธ์กับความดันอากาศในห้องท่อร่วมไอดี ดังนั้นถ้าผู้ที่ซื้อเครื่องยนต์เก่าญี่ปุ่นในรุ่นที่ท่อจ่ายเชื้อเพลิงไม่มีตัวคุมค่าความดันเชื้อเพลิง จะต้องใช้ชุดปั๊มเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์รุ่นนั้นด้วย ซึ่งจะมีตัวคุมค่าความดันเชื้อเพลิงติดตั้งมาด้วย รูปที่ 12 ระบบเชื้อเพลิงไร้การไหลกลับ 1. ปั๊มเชื้อเพลิง (Fuel Pump) 2. กรองเชื้อเพลิง (Fuel Filter) 3. ตัวป้องกันการกระเพื่อม (Pulsation Damper) 4. ตัวคุมค่าความดัน (Pressure Regulator) 5. หัวฉีด (Injectors)
ระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญมากในการทำงานร่วมกันกับกลไกต่างๆ ของเครื่องยนต์ EFI ซึ่งเป็นระบบที่มีกระบวนการทำงานทางคอมพิวเตอร์คือต้องมีสัญญาณข้อมูลจากตัวรับรู้ (Sensor) หรือสวิตช์ส่งสัญญาณเข้าไปประมวลผลยังหน่วยควบคุมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) แล้วส่งสัญญาณออกไปยังอุปกรณ์ทำงานหรือตัวกระตุ้น (Actuator) ดังตัวอย่างที่แสดงในรูปที่ 13 รูปที่ 13 ระบบการทำงานของเครื่องยนต์ EFI (ตัวอย่างเครื่องยนต์ Honda B16A VTEC) 1. ตัวรับรู้ (Sensor) 2. หน่วยควบคุมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) 3. ตัวกระตุ้น (Actuator) คลิกดูวงจรไฟฟ้าเครื่องยนต์ Honda PGM-FI |