แบบรายงานค่าจ้าง ประกันสังคม

หนังสือแจ้งการประเมินเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนประจำปี (กท. 26 ก.)และแบบแสดงเงินค่าจ้างประจำปี (กท. 20 ก.)
  • หนังสือมอบอำนาจ
  • หนังสือรับรองของแพทย์ผู้รักษา
  • หนังสืออุทธรณ์
  • แบบฟอร์มขอรับประโยชน์ทดแทน

    • แบบขอรับค่าบริการทางการแพทย์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางของผู้ป่วยประกันสังคม (สปส.2-17)
    • แบบคำขอรับค่าบริการทางการแพทย์ โดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมและฉีดยาอิริโธรปัวอิติน(รายสัปดาห์) (สปส.2-181ก) (ใช้สำหรับสถานพยาบาล)
    • แบบคำขอรับค่าบริการทางการแพทย์ของผู้ป่วยประกันสังคม(สำหรับสถานพยาบาล) (สปส.2-15 )
    • แบบคำขอรับค่าบำบัดทดแทนไต (สปส.2-18)
    • แบบคำขอรับค่าอวัยวะเทียมอุปกรณ์ในการบำบัดโรค สำหรับผู้ประกันตนสถานพยาบาล (สปส.2-09)
    • แบบคำขอรับบริการทางการแพทย์ โดยการล้างช่องท้องด้วยน้ำยาแบบถาวรและการฉีดยาอิริโธรปัวอิติน (รายเดือน)(สปส.2-181ข) (ใช้สำหรับสถานพยาบาล)
    • แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีทันตกรรม (สปส.2-16)
    • แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน (สปส.2-017)
    • แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกองทุนประกันสังคม (สปส.2-01)
    • แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนการบำบัดทดแทนไต กรณีปลูกถ่ายไต (สปส.2-182)
    • แบบหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์กรณีตาย (ตัวอย่าง)
    • ใบรับรองแพทย์
    • หนังสือขอใช้สิทธิบุตรคนเดิมกรณีกลับเข้าเป็นผู้ประกันตน (กรณีสงเคราะห์บุตร)
    • หนังสือมอบอำนาจ (รับเงินประโยชน์ทดแทน)
    • หนังสือรับรองของนายจ้าง
    • หนังสือรับรองของบุคคลซึ่งอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยากับผปต.โดยเปิดเผย กรณีผปต.ถึงแก่ความตาย(เฉพาะกรณีสงเคราะห์บุตร)
      นายจ้างมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนซึ่งจำนวนเงินเรียกเก็บอยู่ระหว่าง 0.2% - 1.0% ของค่าจ้างที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้ลูกจ้างรวมทั้งปี (ค่าจ้างไม่เกิน 240,000 บาท/คน/ปี) รวมทั้งยื่นแบบรายงานค่าจ้างประจำปี


      แบบรายงานค่าจ้าง ประกันสังคม

      รายงานค่าจ้างกองทุนเงินทดแทนประจำปี

      สรุปการจ่ายเงินสมทบกองทุนทดแทนและการยื่นแบบรายงานค่าจ้างประจำปี

      1. ภายในเดือนมกราคม

      • นายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบประจำปี ตามแบบใบประเมินเงินสมทบประจำปี (กท.26ก) เป็นยอดที่สำนักงานประกันสังคมประเมินและส่งมาให้นายจ้างในช่วงเดือนธันวาคม

      2. ภายในเดือนกุมภาพันธ์

      • นายจ้างจะต้องยื่น "รายงานค่าจ้างกองทุนทดแทนประจำปี (กท.20ก)"

      • คือ การรายงานค่าจ้างที่จ่ายจริงทั้งหมดของปีที่ผ่านมา เช่น เงินเดือน ค่าจ้างรายวัน โดยไม่รวมถึงค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด เงินโบนัส เป็นต้น

      • ช่องทางการรายงานมี 2 วิธี คือ รายงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ e-wage ผ่านทาง www.sso.go.th หรือ ยื่นแบบรายงานค่าจ้างผ่านทางสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา

      3. ภายในเดือนมีนาคม

      • ให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบจากการรายงานค่าจ้าง ตามที่คำนวณได้จากใบแจ้งเงินสมทบจากการรายงานประจำปี (กท.25ค)

      ช่องทางการจ่ายชำระเงินสมทบกองทุนทดแทน มี 2 วิธีดังนี้

      • ชำระเงินสมทบผ่านระบบ e-Payment ผ่านทาง www.sso.go.th และระบบ e-Service เลือกชำระเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน นายจ้างสามารถจ่ายได้ทั้งธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย

      • ชำระผ่านเคาน์เตอร์กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด หรือที่เทสโก้ โลตัส ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยทั้ง 4 แห่งออกใบเสร็จรับเงินให้ทันที

        เป็นเรื่องปกติของการทำงานย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นได้เสมอ ทั้งจากปัญหาส่วนตัว ปัญหาเรื่องงาน ปัญหากับผู้บังคับบัญชา การทำงานร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนปัญหาจากการอยู่รวมกันกับคนหมู่มาก ซึ่งทั้งหมดนี้อาจนำพาให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงและส่งผลกระทบต่อบริษัทได้

        ดังนั้น พฤติกรรมการแสดงออกของลูกจ้างในการทำงานหลายๆ อย่าง อาจทำให้เจ้าตัวถูกประเมินให้ออกจากงาน และนายจ้างสามารถไม่จ่าย "ค่าชดเชย" และ "เงินทดแทน" ได้อีกด้วย ซึ่งพฤติกรรมแบบไหนบ้างที่ลูกจ้างต้องระวังอย่าให้เกิดขึ้น เพื่อรักษาสิทธิ์ลูกจ้างพึงได้รับดังนี้

        • ค่าชดเชยที่ลูกจ้างควรจะได้รับ

        ค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับเมื่อนายจ้างเลิกจ้าง สามารถแบ่งได้เป็น 4 กรณี ดังนี้

        1.กรณีที่นายจ้างเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีความผิด

        - ลูกจ้างทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน

        - ลูกจ้างทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน

        - ลูกจ้างทำงานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน

        - ลูกจ้างทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240วัน

        - ลูกจ้างทำงานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน

        2.กรณีนายจ้างจะเลิกจ้างเนื่องจากเหตุปรับปรุงหน่วยงาน กระบวนการผลิต การจำหน่าย หรือการบริการอันเนื่องมาจากการนำเครื่องจักรมาใช้หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักร หรือเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องลดจำนวนลูกจ้าง โดยนายจ้างต้องปฏิบัติดดังนี้

        - แจ้งวันที่จะเลิกจ้าง เหตุผลของการเลิกจ้าง และรายชื่อลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง ให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน ก่อนวันที่จะเลิกจ้าง

        - ถ้าไม่แจ้งลูกจ้างก่อนวันที่จะเลิกจ้าง หรือแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่าระยะเวลา 60 วัน นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้กับลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 60 วัน หรือเท่ากับค่าจ้างของการทำงาน 60 วัน สุดท้ายสำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย

        ค่าชดเชยแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านี้ ให้ถือว่านายจ้างได้จ่ายค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายด้วย

        3.กรณีลูกจ้างทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยปกติ

        - ลูกจ้างทำงานติดต่อกันครบ 6 ปีขึ้นไป นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยปกติ ที่ลูกจ้างนั้นมีสิทธิ์ได้รับอยู่แล้ว ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 15 วันต่อการทำงานครบ 1 ปี หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน 15 วันสุดท้ายต่อการทำงานครบ 1 ปีสำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย

        - ค่าชดเชยพิเศษนี้รวมแล้วต้องไม่เกินค่าจ้างอัตราสุดท้าย 360 วัน หรือไม่เกินค่าจ้างของการทำงาน 360 วันสุดท้าย สำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน โดยคำนวณเป็นหน่วย แต่รวมแล้วต้องไม่เกินค่าจ้างอัตราสุดท้าย 360 วัน

        - เพื่อประโยชน์ในการคำนวณค่าชดเชยพิเศษ เศษของระยะเวลาทำงานที่มากกว่า 180 วัน ให้นับเป็นการทำงานครบ 1 ปี

        4.กรณีที่นายจ้างย้ายสถานประกอบการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นอันมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัว

        - นายจ้างต้องแจ้งล่วงหน้าให้แก่ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อบกว่า 30 วันก่อนย้าย ถ้าลูกจ้างไม่ประสงค์จะไปทำงานด้วย ลูกจ้างมีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาจ้างได้โดยได้รับค่าชดเชยพิเศษไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของอัตราค่าชดเชยปกติที่ลูกจ้างพึงมีสิทธิ์ได้รับ

        - ถ้านายจ้างไม่แจ้งให้ลูกจ้างทราบการย้ายสถานประกอบกิจการล่วงหน้า นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน

        • กรณีใดบ้างที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายชดเชยให้แก่ลูกจ้าง

        และถึงแม้ว่าลูกจ้างจะมีสิทธิ์ได้รับค่าเชยเชยเมื่อไม่ได้ทำงานต่อกับบริษัทแล้ว แต่ถ้าหากมีสาเหตุเป็นไปตามข้อกำหนดเหล่านี้ นายจ้างมีสิทธิ์ไม่จ่ายค่าชดเชยและเงินทดแทนได้ ดังนี้

        - ลูกจ้างลาออกเองโดยสมัครใจ

        - ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง เช่น ลูกจ้างกระทำการโกงเงิน ยักยอกเงิน หรือแสวงหาผลประโยชน์จากบริษัทเพื่อไปเป็นของตัวเอง

        - จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ถือว่าเข้าข่ายกระทำความผิดโดยนายจ้างสามารถเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ถือเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม

        - ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง

        - ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือระเบียบ หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน ซึ่งหนังสือเตือนนั้นให้มีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด

        - ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกัน ไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตาม โดยไม่มีเหตุอันควร

        - ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ในกรณีนี้ถ้าเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษต้องเป็นกรณีที่เป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหาย

        - กรณีการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน และนายจ้างเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น ได้แก่งาน ดังนี้

        1) การจ้างงานในโครงการ เฉพาะที่ไม่ใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้าง ซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอน

        2) งานที่มีลักษณะเป็นครั้งคราว ที่มีกำหนดงานสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงาน

        3) งานที่เป็นไปตามฤดูกาล และได้จ้างในช่วงเวลาฤดูกาลนั้น ซึ่งงานจะต้องเสร็จภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี โดยนายจ้างได้ทำสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง

        ด้วยเหตุนี้หากลูกจ้างเกิดปัญหาไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา พฤติกรรมที่แสดงออกอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทที่ตนเองปฏิบัติงานอยู่ จนถึงขั้นถูกเลิกจ้าง ดังนั้น จึงควรศึกษาข้อกำหนดต่างๆ ให้ดีเสียก่อน เพื่อรักษาสิทธิ์ของตนเองที่พึงจะได้รับ อย่างน้อยอาจทำให้ใจเย็นลง มีสติในการแก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้อย่างถูกวิธี และไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทด้วย