ประเพณี รดน้ำ ดำหัว ภาคเหนือ

“ดำหัว” คือการรดน้ำในประเพณีสงกรานต์ รูปแบบการดำหัวที่เห็นกันในปัจจุบัน คือจะนำน้ำขมิ้นส้มป่อยมาราดรดที่มือ หรือเพียงเทใส่ในขันเงิน (สลุง) แล้วคนเฒ่าคนแก่ก็จะนำน้ำขมิ้นส้มป่อยมาพรมหรือลูบหัวพอเป็นพิธี แต่การดำหัวตามแบบล้านนาโบราณนั้น จะนำน้ำราดไปบนหัวจริง ๆ

เรื่องนี้มีอยู่ในบันทึกของ ศาสนาจารย์ ดอกเตอร์ แมคกิลวารี (Daniel Mcgilvary) มิชชันนารีชาวอเมริกันที่เข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาในล้านนา ซึ่งเดินทางถึงเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1867 (พ.ศ. 2410) แล้วได้จดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ในหนังสือ “A Half Century Among The Siamese and The Lao” หรือในชื่อแปลภาษาไทยว่า “กึ่งศตวรรษในหมู่คนไทยและคนลาว” (สำนักพิมพ์มติชน, 2544) ตอนหนึ่งเล่าถึงการเดินทางกลับถึงเชียงใหม่ของพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 6 หลังจากทรงยกกองทัพไปปราบพวกเงี้ยว เมื่อเสด็จนิวัตินครจึงจัดพิธีดำหัว มีรายละเอียดดังนี้

“ในวันขึ้นปีใหม่ของพวกลาว มีธรรมเนียมว่า ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเจ้า ขุนนางหรือผู้ทรงอิทธิพลจะต้องอวยพรให้กับองค์เจ้าหลวงและเข้าร่วมในพิธี ‘ดำหัว’ เพื่ออวยพระพรปีใหม่ สืบเนื่องมาจากพระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในเมืองเชียงใหม่ในช่วงปีใหม่ ประเพณีดังกล่าวจึงไม่อาจทำได้ในเวลาปกติ แต่เมื่อพระองค์เสด็จกลับได้สองสามวันก็มีการจัดพิธีนี้อย่างหรูหราสมพระเกียรติ

คำว่า ‘ดำหัว’ นั้นหมายถึง ‘อาบน้ำศีรษะ’ หรือ ‘ล้างศีรษะ’ และเป็นพิธีกรรมที่ชำระล้างเศียรขององค์เจ้าหลวงจริง ๆ ด้วยการเทน้ำลงไป โดยเริ่มจากพวกเจ้า และขุนนางตามลำดับตำแหน่งลงมาถึงประชาชนที่อยู่เบื้องล่างสุดของสังคม

พิธีกรรมที่สำคัญอันดับแรกจัดขึ้นในคุ้มหลวง ผม (ศาสนาจารย์ ดอกเตอร์ แมคกิลวารี) ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมอวยพระพรกับผู้อื่นด้วย ท้องพระโรงขนาดใหญ่แน่นขนัดไปด้วยคนในราชตระกูลและขุนนางตำแหน่งต่าง ๆ บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดที่จัดวางอยู่เต็มโต๊ะและบนหิ้งที่มีอยู่ทั้งหมด ทุกคนต่างถือขันเงินที่มีน้ำเต็มเปี่ยมและต่างก็เฝ้ารอคอย ในที่สุดเจ้าพนักงานที่ถือหอกเงินด้ามยาวได้ป่าวร้องว่าองค์เจ้าหลวงเสด็จมาถึงแล้ว ทุกคนในท้องพระโรงนั้นให้ความเคารพด้วยการคุกเข่าคำนับติดพื้นตามประเพณี และเมื่อเห็นผมยืนอยู่ พระองค์ทรงให้เจ้าพนักงานนำเก้าอี้มาให้ผมนั่ง พร้อมกับกล่าวว่า พิธีนี้ใช้เวลายาวนานซึ่งผมอาจจะเมื่อยได้

อาลักษณ์จึงได้อ่านสุนทรพจน์ถวายแด่องค์เจ้าหลวง ที่ได้นิวัติกลับคืนมาสู่นครหลังจากที่พระองค์ประสบความสำเร็จจากการรบ แล้วจึงมีการอัญเชิญมวลดอกไม้ทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่สูงหรือต่ำ ไม่ว่าจะเป็นจินตนาการหรือความเป็นจริง เพื่อนำมาปกป้อง นำทางและอวยพระพรองค์เจ้าหลวงกับอาณาจักรและประชาชนของพระองค์ ในขณะเดียวกับที่ได้สาปแช่งศัตรูของพระองค์ให้พินาศไป หลังจากนั้นจึงมีพิธีดำหัว นำโดยราชตระกูลสายตรงของพระองค์ แล้วจึงตามมาด้วยเจ้านายองค์อื่น ๆ ตลอดจนขุนนางตำแหน่งสูงเรียงลงไปตามลำดับ พระองค์ทรงยืนประทับอยู่ในขณะที่น้ำขันแล้วขันเล่าถูกเทราดลงบนพระเศียรจนทรงเปียกปอนไปทั้งพระวรกาย พื้นเจิ่งนองไปด้วยน้ำ พิธีดังกล่าวเหมาะกับอากาศเมืองร้อน แต่ไม่เหมาะกับอากาศเมืองหนาวอย่างยิ่ง

เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงแต่การเริ่มต้นเท่านั้น ตามประเพณีโบราณแล้ว กระโจมชั่วคราวจะถูกจัดขึ้นบนเกาะทรายกลางแม่น้ำ ภายหลังพิธีกรรมในคุ้มหลวงแล้ว องค์เจ้าหลวงเสด็จออกประทับบนหลังช้าง ที่ประดับประดาด้วยทองคำอย่างเต็มยศ ครั้งนี้ องค์เจ้าหลวงเสด็จออกเพื่อทรงรับการดำหัวจากประชาชนที่จงรักภักดีของพระองค์ พิธีก็เหมือนกับที่ทำไปแล้วในท้องพระโรง คือเริ่มด้วยขุนนางผู้ใหญ่แล้วจึงค่อยลดหลั่นลงไปสู่สามัญชน ซึ่งเข้าร่วมพิธีที่แปลกประหลาดเช่นนี้…

การดำหัวแบบล้านนาจึงเป็นการดำหัวจริง ๆ คือราดน้ำลงไปบนหัวจนเปียกไปทั้งตัว ก่อนที่ต่อมา รูปแบบการดำหัวเช่นนี้น่าจะวิวัฒน์ให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตและกาลสมัย

สำหรับการดำหัวในปัจจุบันมักจะเริ่มกันตั้งแต่วันพญาวัน หรือวันเถลิงศก ในตอนเช้าชาวบ้านจะจัดอาหารคาว-หวาน ใส่สำรับไปถวายพระสงฆ์ที่วัดเรียกว่า “ตานขันข้าว” ในตอนสายมีการฟังเทศน์อานิสงส์ปีใหม่หรือเรื่องอื่น ๆ และมีการสรงน้ำพระพุทธรูป พระเจดีย์ และพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง รวมทั้งมีการปล่อยนกปล่อยปลา สะเดาะเคราะห์ ในตอนบ่ายก็จะไปดำหัวพระสงฆ์ คนเฒ่าคนแก่ บิดามารดา หรือญาติมิตรที่เคารพนับถือ เพราะถือกันว่าวันนี้เป็นวันดีที่สุดในรอบปี คือเป็น “วันพญาวัน” วันยิ่งใหญ่กว่าวันทั้งหลายนั่นเอง

          มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมสืบสานประเพณีวัฒนธรรมล้านนา โดยจัดพิธีรดน้ำดำหัวขอพร อธิการบดีและคณะผู้บริหารอาวุโสของมหาวิทยาลัยทุกปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544  เป็นต้นมา พิธีเริ่มจากอธิการบดีพร้อมด้วยผู้บริหารมหาวิทยาลัยร่วมสรงน้ำพระพุทธรูป เพื่อเป็นสิริมงคล หลังจากนั้น อธิการบดีกล่าวอวยพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ตามปฎิทินไทยและล้านนา  หลังจากนั้นคณาจารย์ พนักงานมหาวิทยาลัย ซึ่งร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี สวมเสื้อหม้อฮ่อมและชุดพื้นเมืองเข้าร่วมรดน้ำดำหัวขอพรจากอธิการและผู้บริหารมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังมีผู้นำชุมชนโดยรอบมหาวิทยาลัย อันได้แก่ ตำบลท่าสุด ตำบลแม่ข้าวต้ม ตำบลริมกก และตำบลนางแล พร้อมด้วยตัวแทนชาวบ้านกลุ่มต่างๆ มาร่วมอวยพรกันอย่างคับคั่ง ด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง 

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะนำวิธีการรดน้ำดำหัวต่อผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถืออย่างถูกต้องกัน และสามารถนำไปบอกลูกบอกหลานในรุ่นๆ ต่อไปได้ เพื่อให้วิถีชีวิตของคนล้านนาที่ดีงามนั้นยังคงอยู่สืบไปโดยไม่ถูกบิดเบือน สุดท้ายนี้ก็ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยตลอดทั้งเทพยาดาทั้งหลาย โปรดจงปกปักรักษาทุกท่านให้แคล้วคลาดปลอดภัยในช่วงวันสงกรานต์นี้ ให้เดินทางไปกลับโดยสวัสดิภาพ และมีความสุขกับครอบครัวมากๆ ในวันสงกรานต์นี้

ประเพณี รดน้ำ ดำหัว ภาคเหนือ

ประเพณีสงกรานต์รดน้ำดำหัว

ประเพณีรดนํ้าดําหัว เป็นประเพณีของไทยอันสืบเนื่องมาจากประเพณีวันสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทยที่แสดงถึงความเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่หรือผู้ที่เคารพนับถือและผู้มีพระคุณ เพื่อแสดงความกตัญญูพร้อมกับการขอขมาและขอรับพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองเนื่องในวันสําคัญ เช่น วันขึ้นปีใหม่หรือวันสงกรานต์ของไทยในเดือนเมษายน “การดําหัว” ก็คือการรดนํ้านั่นเองแต่เป็นคําเมืองทางเหนือการดําหัวเรียกกันเฉพาะการรดนํ้าผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีตําแหน่งหน้าที่การงานสูง เช่น พ่อเมือง เป็นต้น เป็นการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไป หรือขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ สิ่งที่ต้องนําไปในการรดนํ้าดําหัวก็คือ นํ้าใส่ขันเงินใบใหญ่ ในนํ้าใส่ฝักส้มป่อยโปรยเกสรดอกไม้และเจือนํ้าหอม นํ้าปรุงเล็กน้อยพร้อมด้วยพานข้าวตอกดอกไม้เป็นเครื่องสักการะอีกพานหนึ่ง การรดนํ้าดําหัวมักจะไปกันเป็นหมู่ โดยจะถือเครื่องที่จะดําหัวไปด้วย เมื่อขบวนรดนํ้าดําหัวไปถึงบ้าน ท่านเจ้าของบ้านก็จะเชื้อเชิญให้เข้าไปในบ้าน พอถึงเวลารดนํ้าท่านผู้ใหญ่ก็จะสรรหาคําพูดที่ดีที่เป็นมงคลและอวยพรให้กับผู้ที่มารดนํ้าดําหัว ปัจจุบันนี้พิธีรดนํ้าดําหัวในจังหวัดต่างๆ ทางเหนือมักจะจัดเป็นพิธีใหญ่ ในบางแห่งมีขบวนแห่งและมีการฟ้อนรําประกอบ เช่น พิธีรดนํ้าดําหัวในจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย เป็นต้น

การดำหัวของชาวล้านนาหมายถึงการสระผม ส่วนทางด้านพิธีกรรมหมายถึงการชำระสิ่งไม่ดีสิ่งที่เป็นอัปมงคลให้หมดไปด้วยการใช้น้ำส้มป่อยเป็นเครื่องชำระชาวล้านนา นิยมจัดพิธีกรรมการดำหัวขึ้นในเทศกาลสงกรานต์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที15เมษายนคือวันพญาวันไปจนสิ้นสุดเดือนเมษายน การดำหัวในเทศกาลสงกรานต์มี 3 กรณี คือการดำหัวตนเอง การดำหัวผู้น้อย และการดำหัวผู้ใหญ่ ซึ่งการดำหัวนี้ศาสตราจารย์เกียรติคุณมณี พยอมยงค์ ผู้เป็นปูชนียบุคคล ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวล้านนาได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการดำหัวสมัยโบราณให้คนรุ่นหลังได้ทราบถึงขนบธรรมเนียมประเพณีล้านนาดังนี้ “สำหรับการดำหัวนั้น นิยมเอาน้ำใส่ขัน คือใส่สลุง เอาน้ำขมิ้นส้มป่อยใส่ เวลาดำหัวเขาจะเอาไปประเคน คือเอาไปมอบให้ท่านผู้เฒ่าผู้แก่ที่เราจะไปดำหัวนั้น เขาจะเอามือจุ่มลงในสะหลุงที่มีน้ำขมิ้นส้มป่อยอยู่ แล้วก็เอามาลูบหัวตัวเอง 3 ครั้ง จากนั้นก็เอามือจุ่มน้ำส้มป่อย สลัดเข้าใส่ลูกหลานที่มาดำหัวพร้อมกับอวยพรให้อยู่ดีมีสุข ให้อยู่ดีกินดี เราไม่นิยมเอาน้ำรดมืออย่างของภาคอื่น ซึ่งถือว่าการทำอย่างนั้นเป็นการรดศพมากกว่า
การรดน้ำผู้เฒ่าผู้แก่ล้านนาเราถือกันมาอย่างนี้ เวลาไปดำหัวให้เอาสะหลุง เอาไปประเคนพร้อมกับของกินของใช้ที่เราจะนำไปมอบให้

เรามาพูดถึงการว่าการดำหัวดีอย่างไรการดำหัวมี 2 แบบ แบบหนึ่งก็คือการสระผม คนโบราณบ้านเราเรียกว่าดำหัว มักจะเอาใบหมี่เอามะกรูดมาต้มแล้วก็เอามาสระผม มันจะหอม ไล่ขี้รังแคออกหมด ใบหมี่นี้หอมเป็นสมุนไพรโบราณ การสระผมของคนโบราณเรียกว่าดำหัว เมื่อดำหัวไล่สิ่งที่โสโครกทั้งหลายออกไปจากผมจากตัว แล้วก็จะเช็ดผมด้วยน้ำมันตานี หรือน้ำมันละหุ่ง อบด้วยดอกสะบันงา(ดอกกระดังงา)หรือกระถิน กระแจะจันหอม เป็นสูตรของคนโบราณ

การดำหัวอีกแบบหนึ่งนั้นก็คือ การให้เอาน้ำส้มป่อยไปคารวะท่านผู้เฒ่าผู้แก่ โดยทำเป็น 2 แบบ แบบหนึ่งดำหัวเพื่อขอบคุณ เช่นว่าหมอเขามาเยียวยาเราเยียวยาพ่อแม่เรา สมัยนั้นไม่ได้จ้างกันด้วยเงินแต่พอรักษาเสร็จแล้วพ่อแม่หายคนป่วยหาย ก็จะนำน้ำขมิ้นส้มป่อย ข้าวของอะไรที่หาได้ไปขอบพระคุณท่าน การไปขอบพระคุณท่านแบบนี้เรียกว่าการดำหัว เอาน้ำขมิ้นส้มป่อยไปให้ท่านสระผมสระหัวพร้อมกับคำขอบคุณ เป็นวิธีหนึ่งเรียกว่าดำหัวพ่อเลี้ยงหมอยา ต่อมาการดำหัวอีกแบบนั้น มีเทศกาลสำคัญ เช่นปีใหม่สงกรานต์นี้ ปีหนึ่งลูกหลานจะมารวมกันนำเอาของกินของใช้มาฝากบุพการีพ่อแม่พี่น้องแล้วเอาน้ำขมิ้นส้มป่อย น้ำอบ น้ำหอม ดอกไม้ของกินของใช้ ไปมอบให้เขา เขาก็จะลูบผมดังที่กล่าวมาในตอนต้นลูบหัว 3 หน แล้วเขาก็จะเอามือจุ่มแล้วสลัดใส่หัวของลูกหลานทุกคนพร้อมกับกล่าวอำนวยอวยพรว่าอยู่ดีมีสุขนะ อยู่ชุ่มเนื้อชุ่มเย็นนะ อยู่ดีสบายให้ได้ร่ำได้รวยนะ แล้วแต่เขาจะอวยพรให้ เพราะฉะนั้น การดำหัวตามที่กล่าวมานั้นจึงเป็นการดำหัวแบบสระผมธรรมดาเป็นการดำหัวตอบแทนคุณพ่อหมออย่างหนึ่งตอบบุญแทน คุณผู้เฒ่าผู้แก่ พ่อแม่ เป็นการคารวะ

ทีนี่มาพูดถึงการดำหัวสำหรับบุพการีดำหัวปีใหม่นี้ที่เรานิยมทำอยู่อย่างนี้เรามีความมุ่งหมายอย่างไรโบราณอาจารย์เจ้าทั้งหลายเขาบอกว่าการดำหัวนั้น มันมีความหมายว่าหนึ่งไปเพื่อตอบบุญแทนคุณพ่อแม่ที่เขาได้เลี้ยงดูเรามาจนเราโตขึ้นมาสามารถทำมาหากินได้มีเหย้ามีเรือนมีงานมีการทำแล้วพ่อแม่อยู่ข้างหลังแก่เฒ่าแล้วเราก็จะได้ไปเยี่ยมเยียนไปกราบด้วยความสำนึกในบุญคุณอย่างหนึ่ง ประการที่สองบางครอบครัวพ่อแม่บางท่านก็ทุกข์ยากลูกหลานไปหาเงินข้างหน้าได้เงินได้ทองมาก็จะซื้อเสื้อผ้าซื้อของกินของว่างมาฝากเขาให้ได้นุ่งได้ถ่ายได้ใส่เสื้อผ้าใหม่ในปีหนึ่ง ก็เป็นวิธีการที่ดี ประการที่สามอีกเป็นการที่ลูกหลานทั้งหลายที่จากบ้าน อื่นเมืองอื่นจากที่ไกลๆที่ตนเองไปหากินอยู่นั้นพาลูกหลานของตนไปกราบไว้บรรพบุรุษไป ไหว้พ่อไหว้แม้แม้กระทั่งไหว้กระดูกพ่อกระดูกแม่เป็นวิธีการที่ดีทำให้ลูกหลานได้รู้จักบุพการี ประการที่สี่นั้นเป็นการรวมพี่รวมน้องลูกนายแก้วกับลูกนายดำอยู่ห่างกัน นายดำอยู่ลำพูนนายแก้วอยู่เมืองฝาง ต่างคนต่างก็มีลูกแล้วได้พาลูกมารู้จักพี่รู้จักน้องกันได้สืบสานร่วมการร่วมงานกัน ประการต่อไปนั้นคือการสืบมรดกทางวัฒนธรรมพ่อแม่เคย ทำดอกทำดวงทำข้าวตอกดอกไม้ ทำธูปทำเทียนทำต้นผึ้งทำอะไรต่างๆนี้ของเครื่องใช้ในการเคารพนับถือนี้ ลูกหลานก็จะได้รับการถ่ายถอดทางบรรพบุรุษ ดังนั้นการดำหัวนี้จึงมีหลายนัยยะแห่งการกระทำที่ดีงามอย่างนี้การดำหัวที่ได้พูดมาเมื่อกี้นั้น ก็ยังมีดำหัวพิเศษต่อไปอีก เช่น ดำหัวกู่ กระดูกของบรรพบุรุษนั้นเรียกว่าดำหัวกู่ หลังจากนั้นก็มีการดำหัวตุ๊หลวง คือว่าดำหัวสมภารเจ้าอาวาส ดำหัวนายอำเภอพ่อแคว่นพ่อกำนันก็คือการไปดำหัวผู้ที่มีอำนาจ ผู้ปกครอง ผู้ที่มีพระคุณแก่เรา การดำหัวจึงเป็นประเพณีที่ดีงามเมื่อไปถึงพร้อมกันแล้วทักทายปราศรัยกันแล้วก็เอาของเข้าประเคน คือเอาของมอบให้ด้วยการเอาน้ำส้มป่อยมารวมกันเข้าไปประเคนวัตถุสิ่งของ ประเคนแล้ว คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่นก็จะกล่าวว่านำลูกหลาน เขาพากันมาขอโทษขอโพยมาดำหัวพ่อแม่หรือผู้หลักผู้ใหญ่ เขาก็จะให้พรโดยมากเป็นพรโวหารยาวเป็นที่ประทับใจเรื่องการดำหัวนี้เป็นวิธีการที่เฉลียวฉลาดของนักปราชญ์ล้านนาที่ต้องการโน้มน้าวจิตใจของบรรพชน ไม่เพียงเท่านั้น ยังน้อมจิตใจของอนุชนก็คือลูกหลานสมัยใหม่นี้ให้เห็นดีเห็นงามมีจริยธรรมอันงดงามสืบต่อไปเป็นนิรันดร์ การดำหัวของล้านนาที่ส่งผลให้พบเห็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถิ่นคือการแสดงประกอบในขบวนแห่ดำหัวโดยเฉพาะพิธีดำหัวผู้ใหญ่ เช่น พระสงฆ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่่ผู้อาวุโสหัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ซึ่งขบวนดำหัวเหล่านี้จะมีการแห่ฆ้องกลองมีการฟ้อนพื้นเมืองการแสดงพื้นบ้านรวมทั้งการรดน้ำกันอย่างสนุกสนาน ในขบวนนอกจากขบวนแห่ที่แสดงเอกลักษณ์ของชาวล้านนาแล้วยังมีเครื่องดำหัวที่เป็นเอกลักษณ์ แสดงถึงความสามัคคีของหมู่คณะ เนื่องจากจะเป็นการร่วมมือร่วมใจกันจัดทำเครื่องดำหัว ซึ่งประกอบไปด้วยต้นดอก ซึ่งเป็นพุ่มดอกไม้ที่ประกอบด้วยดอกไม้นานาชนิดต้นเทียนที่มีการนำเทียนมาประดับเป็นพุ่มพุ่ม ขี้ผึ้งที่เรียกว่าต้นผึ้งรวมทั้งหมากสุ่ม คือการนำหมากแห้งผ่าซีกมาประดับเป็นพุ่มอย่างสวยงามและหมากเป็งที่นำหมากดิบเป็นลูกๆ มาประดับเป็นพุ่มเพื่อจัดในเครื่องดำหัว ที่มีเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆอีก เช่น น้ำส้มป่อย เครื่องอุปโภคบริโภครวมทั้งผลไม้ตามฤดูกาล โดยนำเครื่องดำหัวที่จัดเตรียมไว้นี้ใส่ลงในเสลี่ยง ซึ่งชาวล้านนาเรียกว่าจองอ้อยเพื่อช่วยกันแบกหามเครื่องดำหัวไปยังที่หมายได้อย่างพร้อมเพรียงกัน พิธีกรรมในการดำหัวถือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่บุตรหลานรวมทั้งคนรุ่นใหม่นำไปยึดถือ และปฏิบัติเพื่อเป็นการคารวะ ขอพรให้ตนเองประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองในการดำเนินชีวิตต่อไปในภายภาคหน้า

ประเพณี รดน้ำ ดำหัว ภาคเหนือ

**********@@@@@@@@@@**********

ประเพณี รดน้ำ ดำหัว ภาคเหนือ

คำปั๋นปอนปี๋ใหม่ สำนวนภาษาคำเมือง(ล้านนา)
(พ่อแม่ครูบาอาจ๋ารย์ เวลาลูกหลานมาดำหัว)

เอวัง โหนตุ ดีและ อัจจะในวันนี้ ก็หากเป๋นวันดี ดิถีอันวิเศษเหตุว่าสังขารป ี๋เก่าก็ล่วงป๊นไปแล้ว ปี๋ใหม่แก้วพญาวันก็มาจุจอด รอดเถิงแก่บรรดาลูกหลานตังห ลาย บัดนี้หมายมี...(ออกชื่อ).. . เจ้าก็บ่ละเสียยังฮีต บีรีดเสียยังป๋าเวณี เจ้าตังหลาย ก็ยังได้น้อมนำมายังมะธุบุบ ผาลาจาดวงดอกเข้าตอกดอกไม้ล ำเตียน และสุคันโธตะกะ อัมภิโรตะกะ สัปป๊ะวัตถุนานาตังหลาย มาสะมาคาระวะยังต๋นตั๋วแห่ง ผู้ข้า บัดนี้ผู้ข้าก็มีธัมมะเมตต๋ า ปฏิคะหะ รับเอาแล้ว ว่าสันนี้แต๊ดีหลี

แม่นว่าเจ้าตังหลายได้ออกปา กล้ำกำเหลือ ขึ้นตี้ต่ำ ย่ำตี้สูง ปะมาต๊ะ ด้วย ก๋ายะกั๋มมัง วจี๋กั๋มมัง มะโนกั๋มมัง สังจิตจะ อสังจิตจะก็ดี ผู้ข้าก็ขออโหสิกรรม อย่าได้เป๋นนิวรณ์ธรรมกั๋มอ ันแก่กล้าอัน ตัดห้ามเสียยังจั้นฟ้าและเน รปาน แม่นว่าเจ้าตังหลายจักไปจตุ ทิสสะ อัฐฐะทิสสะ วันตกวันออก ขอกใต้หนเหนือ ค้าขายลายล่อง ท่องบ้านแอ่วเมือง และอยู่ยังบ้านจองหอเฮือน ดั่งอั้นก็ดีขอจุ่งหื้อจุ่ม เนื้อเย็นใจ๋ ภัยยะอย่ามี ตึงเมื่อหลับเมื่อตื่น เมื่อยืนเมื่อนั่งเป๋นตี้รั กจ๋ำเริญใจ๋แก่หมู่คนและเตว ดาตังหลาย แล้วจุ่งหื้อก้านกุ่งรุ่งเร ือง ไปด้วยโภคะ ธนะ ธนัง เข้าของเงินคำ สัมปะติตังหลาย แม่นจักกิ๋นก็อย่าหื้อผลาญ แม่นจักตานก็อย่าหื้อเสี้ยง หื้อมีอายุตีฆาหมั้นยืนยาวน ั้น เตี้ยงแต๊ดีหลี

สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มาเต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ อภิวาทะนะสี ลิสสะนิจจัง วุฒฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฒฑันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง....

ประเพณีรดน้ำดำหัวเป็นประเพณีภาคใด

"ดำหัว" หมายถึง "สระผม"หรือ "พิธีแสดงความเคารพผู้มีอาวุโสหรือผู้มีบุญคุณ ในประเพณีสงกรานต์" (อ้างจาก พจนานุกรมล้านนาไทยฉบับแม่ฟ้าหลวงหน้าที่ 444) (ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2542 หน้าที่ 405 ให้ความหมายว่า เป็นประเพณีทางภาคเหนือซึ่งกระทำในวันปีใหม่ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพนับถือและรักใคร่ และยังอธิบายต่ออีกว่า ...

การดำหัวในประเพณีสงกรานต์ของภาคเหนือหมายถึงอะไร

"การดำหัว" ก็คือการรดน้ำนั่นเอง แต่เป็นคำเมืองทางเหนือการดำหัวเรียกกันเฉพาะการรดน้ำผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง เช่น พ่อเมือง เจ้าเมือง เป็นต้น เป็นการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไป หรือการขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ สิ่งที่ต้องนำไปในการรดน้ำดำหัวก็คือ น้ำใส่ขันเงินใบใหญ่ ในน้ำใส่ผัก ...

รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่วันไหน

ขณะที่ การรดน้ำดำหัวในปัจจุบัน จะกระทำกันในวันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์ หรือ วันเถลิงศก เพียงวันเดียว โดยบุตรหลานของผู้สูงอายุไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะกลับมาบ้านเกิดเพื่อรวมตัวกัน รดน้ำดำหัว และขอพรจากผู้สูงอายุ

รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ทำยังไง

สิ่งที่ต้องเตรียมไปในการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ได้แก่ น้ำอบไทย น้ำหอม หรือน้ำส้มป่อย เพื่อนำไปผสมกับน้ำที่จะนำไปรดน้ำผู้ใหญ่ ข้อต่อมาคือเตรียมดอกมะลิ ดอกกุหลาบ หรือดอกไม้อื่นๆ ที่ปลูกอยู่ในบ้านก็ได้ ถัดมาต้องเตรียมขันเงินหรือขันทองเหลือง พานข้าวตอก ดอกไม้ และธูปเทียน ข้อสุดท้าย คือ เตรียมผ้าตัดเสื้อ ผ้านุ่ง ผ้าห่มผืนใหม่ ...