�ѧ����ʵ�� �Ѱ��ʵ�� ������ͧ ���ɰ��ʵ�� >> �Ѱ��ʵ����С�����ͧ �������¢ͧ������ͧ �������¢ͧ�Ѱ��ʵ�� �Ң��Ԫҷҧ�Ѱ��ʵ�� ���Ѳ�ҡ������Ըա���֡���Ԫ��Ѱ��ʵ�� ���Ѳ�ҡ������Ըա���֡���Ԫ��Ѱ��ʵ������֡���Ԫ��Ѱ��ʵ�� �Ѻ��������ҳ���֧���¤��ʵ�ȵ���ɷ�� 19 �ѧ������ѡɳ�����ʵ�������ԧ �ҡ����§����Ǻ��������Դ�ͧ��Ҫ��ҧ�ѧ���������� �� �����Դ��Ф���ʹ㨢ͧ��Ҫ������ҹ�� ���� �ѭ���Ӥѭ� �ͧ�ѧ��������ؤ�������� ����������������Ԫҡ�����ͧ�բͺࢵ�ͧ����֡�ҷ����ҧ��ҧ�ҡ ���ͧ�ҡ���Ǻ�����Ҥ����������ǡѺ����ͧ�����þѴ���ҧ����ҡ�Թ� �������ѧ� ����֡���Ԫ��Ѱ��ʵ��֧�ѧ����������Тͧ�����ǧ�Ҥ������͡�ѡɳ�ͧ���ͧ ���ͷ���¡�ҹТͧ���������ʵ���Ң�˹�觷������ѡ��觤�����������ѡɳ��ԪҢͧ������ ��������Ըա�÷ҧ�Է����ʵ���ҡ�����������§��ʵ�����ء�� �����Ǥ����Դ��Ԫ����� ���֡��ʶҺѹ�ҧ������ͧ��ҧ� �ҡ�����������ѧ����ǹ�� ������Ԫ��Ѱ��ʵ����������������ѡɳ�����ʵ��㹷ҧ�������� ����ִ��ͷ�ɮ����Ƿҧ㹡���֡���Ԩ���ҡ��� ᷹�����ִ�ѭ�Ңͧ�ѧ������Դ���㹷ҧ��Ժѵ�����ѡ��觤���ʹ� ���Ѳ�ҡ�âͧ����֡���Ԫ��Ѱ��ʵ�����͡���� 4 ���� ���¡ѹ ��� 1. ���·���֡������ǡѺ��Ѫ�ҷҧ��Ÿ��������
����Ѻ�Ըա���֡�ҷҧ�Ѱ��ʵ�� �ѧ�ա�����͡�� 2 ������˭� ��� 1. �����������õդ��� (Interpretivism) ���֡������ǡѺ����ѵ���ʵ�� ��Ѫ�� �������Ǣ�ͧ�Ѻ������ͧ ����֧��ä鹤�������������´ �����ŷ����������ԧ�ӹǹ ������Ժ�� �դ��� ��ҡ���ó� 2. ������ĵԡ�����ʵ�� (Behaviourism) �Դ�����ѧ����ʧ�����š���駷�� 2 ������������ͧ�ͧ��ɮշҧ������ͧ����繡�� �������ѡ�ҧʶԵ����͵�Ǩ�ͺ��������ԧ�ӹǹ ����� �ѡ�Ѱ��ʵ���ʧ�����š���駷�� 2 �������㹡�õդ��� ������������͡������ͧ��ش ������Ըա����ҹ ��ʹ���ѧ���֡������Ѱ���������Ѱ��ŷ���������ҧ�� 㹪�ǧ�������Ңͧʧ�����š���駷�� 2 ��ô��Ҩ������йѡ�Ԫҡ�÷ҧ�Ѱ��ʵ�������价ӧҹ��л�ԺѵԨ�ԧ �˹��§ҹ��С�з�ǧ��ҧ� ������Դ���ʺ��ó��������¹�ŧ�Ըա���֡�ҷҧ�Ѱ��ʵ��������㹷ҧ�ĵԡ�����ʵ���ҡ��� ���������������Ҩҡ��÷ӧҹ�Ѻ�ͧ��ԧ ��� �Ѱ��� ������ ���ͷ��еѴ�Թ�����ҧ�������� 1. �è����ӹҨ�ҧ������ͧ��ѧ��˹��� ����觷���Ӥѭ����ش ������� ��è���������Ƿҧ��Ƿҧ˹�� ������繡�ô����ҧ�� ����㹺ҧ����ͧ������Ҩ����ѡ�ҧ�ĵԡ�����ʵ���� �ѧ��� �Ѱ��ʵ��֧�繡��������§ͧ���Сͺ�ҧ��ǹ�ͧ����� �������õդ���� ���ͧ���Сͺ�ҧ��ǹ�ͧ����� ��ĵԡ�����ʵ��
แนวทางการศกึ ษาพัฒนาการรฐั ประศาสนศาสตร์ จลุ ศักด์ิ ชาญณรงค1์ 1 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประจาภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 114 ซอยสุขุมวิท 23 เขตวัฒนา 2 Assistant
Professor, Dr. of Public Administration at Department of Political Science Faculty of Social Science 2 บทนา ดังปรากฏหัวเร่ืองดงั กล่าวในหนังสือรัฐประศาสนศาสตร์โดยเฉพาะท่ีเป็นความเบ้ืองต้นเก่ียวกับแนวคิดทฤษฏรี ัฐประศาสนศาสตร์ อย่างไรก็ดีการศึกษาหัวเรื่องพฒั นาการของรัฐประศาสนศาสตร์ที่ดูเหมือนจะหยุดน่ิงมาหลายทศวรรษจากการศึกษาตาม
นอกจากน้ีการศึกษาหัวเร่ืองพัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์ถือว่าเป็นหัวเร่ืองท่ีทาความเข้าใจได้ไม่ง่ายนักหาก ดังนั้นในเบื้องต้น จึงจักกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวด้วยการตรวจสอบองค์ความรู้เรื่องพัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์ 3 การศึกษาพฒั นาการของรฐั
ประศาสนศาสตรโ์ ดยใช้แนวคิด“paradigm” หรือ“กระบวนทศั น์” จากบทความของ วูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) (โดยท่ัวไปนักวิชาการยอมรับกันว่าวิชารัฐประศาสนศาสตร์ถือกาเนิดมา โทมัส คูห์น (Thomas Kuhn) คือ ผู้นาเสนอความหมายของคาว่า“พาราไดม์” ที่มีอิทธิพลต่อการสร้างองค์ความรู้ใน Paradigm เป็นคากริ ิยาภาษากรกี แปลวา่ “การแสดงให้เห็นไว้ข้างเคียงกัน”อนั หมายความถึง “การแสดงตวั อย่างให้เห็น” 4 ว่ากระบวนการเรียนรู้ท่ีแท้จริงเกิดจากการสร้างความรู้ของผู้เรียนกระบวนทัศน์นี้เป็นแม่บทของความคิดที่ทาให้แนวทางการจัด
สาหรับความหมายที่ให้ไวโ้ ดย Kuhn (1970, อ้างอิงใน อมรา พงศาพิชญ์, 2557, น.10) นักวชิ าการผู้บกุ เบิกการใช้คาน้ี เน่ืองจากรัฐประศาสนศาสตร์มีความเป็นมายาวนาน ยากที่จะอธิบายสาระและเหตุการณ์ได้หมด Nicholas Henry จึงใช้ สาหรับการศึกษาพัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์ของไทย
นักวิชาการไทยได้ศึกษาผ่านการใช้แนวคิดเรื่องพาราไดม์ 5 หน้าท่ี ระบบการประสานงานและความร่วมมือเพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพและความประหยัด ต่อมาเกิดกระแสการท้าทายว่า ท้ังนี้ด้วยความคุ้นชินกับขนบการศึกษาพัฒนาการของศาสตร์ต่างๆด้วยคาว่า ยุค หรือ สมัย จนมีคาถามที่ว่า หากไม่ใช้ แนวทางการศึกษาพัฒนาการของรฐั
ประศาสนศาสตร์ ทัศน์หรือคาว่า พาราไดม์ (paradigm) ดังกล่าวข้างต้น อย่างไรก็ดีแนวทางดังกล่าวพบว่าอาจมีปัญหาหลายประการ กล่าวคือ ใน 1) แนวทางการศกึ ษาทใ่ี ชม้ ิติของเวลา เปน็ การศกึ ษาแนวคดิ และทฤษฎที างรฐั ประศาสนศาสตร์โดยจาแนกตามช่วงเวลาที่ 2) แนวทางการศึกษาท่ีใช้มิติขอบเขตและจุดเน้น หรือการศึกษาท่ีกาหนดขอบเขตหรือปริมณฑลทางวิชาการ (locus) 6 ศกึ ษาอยา่ งไร) พาราไดมท์ ่ี 2) หลักการบรหิ าร(มี locus คอื ไม่สาคัญวา่ จะใชห้ ลักการบริหารไปใช้ที่ไหนและfocus คือใชห้ ลักการ 3) แนวทางท่ีใช้มิติของหน่วยวิเคราะห์เป็นแนวทางการศึกษาที่ให้ความสาคัญต่อองค์ความรู้ที่เกิดข้ึนและการประยุกต์ใช้ นอกจากน้ียังมีการอธิบายพัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์ในลักษณะอื่นๆ อีก ดังเช่น วิธีการศึกษาพัฒนาการของ 7 ตารางท่ี 1 เปรียบเทยี บแนวทางการศกึ ษาพฒั นาการของรฐั ประศาสนศาสตร์ นักวชิ าการ แนวคิดหลกั ศึกษาพัฒนาการแบ่งเป็นสองช่วงเวลา คือ รัฐประศาสนศาสตร์ในอดีต และ แนวทางการศกึ ษาพัฒนาการของรฐั ประศาสนศาสตร์ในปัจจุบัน แนวทาง
คือ แนวการศึกษาท่ีใช้มิติของเวลา แนวทางการศึกษาท่ีใช้มิติของขอบเขตและจุดเน้น และแนวทางที่ใช้มิติของหน่วย
ในปัจจุบันพบว่าแนวทางการศึกษาโดยนักวิชาการรุ่นต่อมามักไม่ใช้การศึกษาพัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์โดยใช้ ศิริพงษ์ ลดาวัลย์ ณ อยุธยา (2555, น.30-31) ไดแ้ บง่ ช่วงสมัยของการศึกษาพัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์ออกเป็น นราธิป ศรีราม กิตติพงษ์ เกียรตวิ ัชรชัย และ ชลัช ชรัญญ์ชัย (2556) กล่าววา่ พฒั นาการของรัฐประศาสนศาสตร์ 8 Public Service : NPS) เป็นข้อเสนอ เก่ียวกับพลเมืองและการคืนอานาจให้ประชาชนโดย โรเบิรต เดนฮาร์ดทและ เจเนต แนวคิดของ นฤมล อนุสนธิ์พัฒน์ (2558) กล่าวถึงการเปล่ียนผ่านยุคสมัยของการบริหารรัฐกิจเป็นห้ายุค คือ ยุคแรก 9 อมั พร ธารงลักษณ์ (2559) กล่าวว่าความเป็นมาของรัฐประศาสนศาสตร์ เริ่มตน้ ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแบง่ เป็น 3 แนวคิดของ ไพโรจน์ ภัทรนรากุล (2559, น.2) กล่าวว่า
แนวคิดทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์มีการพฒั นามาอย่างต่อเน่ือง สาหรบั นกั วิชาการต่างประเทศ เช่น Stephen P. Osborne (2010) มองว่า แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการสาธารณะ 10 Robert B Denhardt และ Janet V. Denhardt (2011) ไดอ้ ธิบายพฒั นาการของรฐั ประศาสนศาสตรด์ ้วยการศึกษาตาม ทั้งน้ีสามารถแสดงเป็นตารางเปรียบเทียบแนวทางการศึกษาพัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์ในปจั จุบัน : แนวคิดหลัก 11 ตาราง 2 เปรยี บเทยี บแนวทางการศกึ ษาพฒั นาการของรัฐประศาสนศาสตรใ์ นปัจจุบนั ของนกั วิชาการ: แนวคิดหลัก และ กรอบ นักวิชาการ แนวคดิ หลัก กรอบหรือแนวทางการศกึ ษา ศิริพงษ์ ลดาวัลย์ ณ 4 ชว่ งสมัย ประกอบด้วย ชว่ งสมัยดั้งเดมิ ชว่ งสมัยหลัง มติ ขิ องเวลา อยุธยา สงครามโลกคร้ังท่ีสอง ช่วงสมัยกาเนิดการศึกษารัฐ ประศาสนศาสตร์ในแนวใหม่ และ ช่วงสมัยต้ังแต่ ทศวรรษ 1970 นราธิป ศรีราม 4 ยุค ประกอบดว้ ย 1) แนวคิดรัฐประศาสนศาสตรด์ ั้งเดมิ มิติของเวลา และมิติของหน่วยการ กิตตพิ งษ์ เกยี รตวิ ัชรชยั 2)แนวคิดรัฐประศาสนศาสตร์แนวใหม่ 3) แนวคิดการ วิเคราะห์ และ ชลชั ชรญั ญช์ ยั จัดการภาครัฐแนวใหม่ และ 4) แนวคิดการบริการ สาธารณะแนวใหม่ นฤมล อนุสนธพิ์ ัฒน์ 5 ยุค ประกอบด้วย 1) ยคุ แรก 2)การกาเนดิ รัฐประศาสน มิติของเวลา และมิติของขอบเขต ศาสตร์แนวใหม่ 3) แนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ และจดุ เน้น 4)การบริการสาธารณะแนวใหม่ และ 5)แนวคิดรัฐ ป ร ะ ศ า ส น ศ า ส ต ร์ พ ล เ มื อ ง แ ล ะ ก า ร มี ส่ ว น ร่ ว ม ข อ ง ประชาชน อมั พร ธารงลักษณ์ 3 ยุค ประกอบดว้ ย 1) ยุคแรก 2) ยุคหลังสงครามโลก มิติของเวลา และมิติของขอบเขต คร้ังที่สอง และ 3) ยุคท่ีเปล่ียนแปลงการศึกษารัฐ และจดุ เนน้ ประศาสนศาสตรใ์ หม่ ไพโรจน์ ภัทรนรากุล 2 ยุค ประกอบดว้ ย 1) ยุคสานกั คลาสสิค และ 2) ยุคการ มิติของเวลา และมิติของขอบเขต จัดการสมัยใหม่ รวมทั้งการท้าทายกับปัญหาและ และจุดเน้น แนวทางเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนท่ี แท้จริง Stephen P. Osborne 3 ยุค ประกอบด้วย 1) Traditional Public มิติของเวลา และมิติของหน่วยการ Administration-TPA 2) New Public Management- วเิ คราะห์ NPM และ 3) New Public Governance-NPG Robert B Denhardt 3 ยุค ประกอบด้วย 1) Traditional Public มิติของเวลา และมิติของขอบเขต และ Janet V Administration 2) New Public Management และ และจุดเนน้ Denhardt 2) New Public Service จากการพิจารณาข้อมูลและการวิเคราะห์ดังกล่าวข้างต้นผู้เขียนมีข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับแนวทางการศึกษา 12 New PM New PS และ New PG 2) พฒั นาการของรัฐประศาสนศาสตร์พิจารณาในแงข่ องผู้กระทาหรือหน่วยท่ีทางานสาธารณะ แบ่งออกเป็นสามช่วง คือ งานสาธารณะเป็นภารกิจของรัฐ งานสาธารณะเป็นภารกิจของหน่วยงานใดๆแม้แต่เอกชน งานสาธารณะเป็นภารกิจของภาคีท่ีหลากหลาย 3)
เปล่ียนจากการศึกษาพัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์(วิชา)เป็นการศึกษา สาธารณะเช่นในอดีต 5) แนวคิดที่รัฐประศาสนศาสตร์ควรบรรลุในอนาคตอันใกล้ควรเป็นไปตามแนวทางของการจัดการภาคี ดังน้ันผู้เขียนจึงสังเคราะห์การศึกษาพัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์ออกเป็นสามช่วงเวลา ประกอบด้วย ชว่ งเวลาของยคุ ด้งั เดมิ ช่วงเวลาของวิกฤตการณ์ด้านเอกลักษณ์ และ ช่วงเวลาของการใช้คาว่า “ใหม่” โดยแต่ละช่วงเวลามี ความแตกต่างของมติ ิของขอบเขตและจุดเนน้ และ มิตขิ องหน่วยการวิเคราะห์ทีแ่ ตกตา่ งกนั ช่วงเวลาของยุคดั้งเดิม คือช่วงเวลาต้ังแต่การบริหารสาธารณกิจเกิดข้ึน และเร่ิมการศึกษาบริหารสาธารณกิจอย่างเป็น มากย่งิ ขน้ึ ท้ังนจี้ ึงมีขอบเขตและจุดเน้นที่สาคญั คอื ระบบราชการหรือองค์การภาครัฐโดยใชห้ ลกั การบริหารเป็นหลักหรือแนวทาง ช่วงของวิกฤตการณ์ด้านเอกลักษณ์ คือช่วงการนาแนวทางของภาคเอกชนเข้ามาประยุกต์ใช้ในการบริหารกิจการ ดาเนินการหรือบริหารจัดการได้ดคี วรมอบให้เอกชนทาแทนภาครัฐ ท้ังน้ีจึงมีขอบเขตและจุดเน้นท่ีสาคัญ คือ
องค์การภาครัฐและ ภาครฐั และภาคเอกชนท่ีดาเนนิ กิจการสาธารณะเป็นสาคญั (new) โดยเฉพาะการจัดการภาคีสาธารณะแนวใหม่ (New Public Governance-NPG) และ การบริการสาธารณะแนวใหม่ องค์การพฒั นาเอกชน และกลุ่มผลประโยชน์ทางวิชาชีพตา่ ง ๆ ได้เข้าร่วมดาเนินงานสาธารณะร่วมกับภาครัฐ โดยรัฐจะทาหน้าที่ บริการสาธารณะ
ทั้งนี้จะมีประชาชนหรือพลเมืองเป็นแกนกลางสาคัญในการบริการสาธารณะต่างๆ ท้ังนี้จึงมีขอบเขตและจุดเน้น 13 ตาราง 3 แนวทางการศกึ ษาพัฒนาการของรฐั ประศาสนศาสตรใ์ นปจั จบุ นั ของผเู้ ขียน พฒั นาการของรฐั ประศาสนศาสตร์ ขอบเขตและจดุ เนน้ ท่สี าคญั ของการศึกษา หนว่ ยการวเิ คราะห์ของการศึกษา ช่วงเวลาของยคุ ดัง้ เดมิ ระบบราชการหรือองค์การภาครัฐโดยใช้หลักการ ระบบราชการหรอื องคก์ ารภาครัฐ บริหารเป็นหลักหรือแนวทางในการบริหารงาน ภาครัฐ ช่วงเวลาของวิกฤตการณ์ องค์การภาครัฐและภาคเอกชนโดยใช้หลักการ องค์การภาครัฐและภาคเอกชนท่ี ด้านเอกลกั ษณ์ บริหารเป็นหลักหรือแนวทางในการบริหารงาน ดาเนนิ กจิ การสาธารณะ สาธารณะ ช่วงเวลาของการใช้คาว่า “ใหม่” องค์การภาครฐั และภาคีสาธารณะโดยใชห้ ลักการ พลเมือง ภาครฐั และ ภาคีสาธารณะที่ บทสรุป เป็นการทาความเข้าใจเพื่อการน้อมนาแนวคิดเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับห้วงเวลาและสถานการณ์ การบริหารงาน 14 บรรณานุกรม บรู ณาการ (มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล), ปีท่ี 1 (ฉบับที่ 1) (ม.ค.-ม.ิ ย. 2557), 21-32. กีรติ บุญเจือ. (2548). บทบาทของกระบวนทัศน์ในการสอนปรัชญา. ราชบัณฑิตยสถาน.ปีที่ 30 (ฉบบั ที่1). (มกราคม-มีนาคม), เฉลิมพล ศรีหงส์. (2538).
พัฒนาการและแนวโน้มของการศึกษาการบริหารรัฐกิจ : ศึกษาในเชิงพาราไดม์ ใน คณาจารย์ภาควิชา ชาย โพธิสิตา. (2547). ศาสตรและศิลปแหงการวิจัยเชิงคุณภาพ. นครปฐม : สถาบันวิจัยประชากร และสังคม ณ ภทั รดศิ สุริยกมลจินดา. (2548). กระบวนทัศน์ในการสอนปรัชญา.ราชบัณฑติ ยสถาน.ปที ี่ 30 (ฉบับที่1). (มกราคม-มีนาคม), เทพศักด์ิ บุณยรัตพันธุ์.
(2552). ภาพรวมและแนวคิดทั่วไปเก่ียวกับรัฐประศาสนศาสตร์. ใน เทพศักด์ิ บุณยรัตพันธุ์ (บก.). นฤมล อนุสนธิ์พัฒน์. (2558) .แนวคิดการบริหารงานสาธารณะ : จากภาครัฐสู่ภาคพลเมือง. วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า, ปีท่ี 2 นราธิป ศรีราม กิตติพงษ์ เกียรติวัชรชัย และ ชลัช ชรัญญ์ชัย. (2556). การสังเคราะห์แนวคิดการบริการสาธารณะแนวใหม่ นิศา ชโู ต. (2548). การวิจยั เชงิ คุณภาพ. กรุงเทพมหานคร : พรนิ้ ตโพร. ไทยจากอดีตถึงปจั จุบัน. กรุงเทพมหานคร : ภาควิชารฐั ประศาสนศาสตร์ คณะรฐั ศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. ปัจจบุ ัน) . กรุงเทพมหานคร:
ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ครบรอบ 50 ปี แหง่ การสถาปนาสถาบันบัณฑติ พฒั นบริหารศาสตร์ “นิด้า 5 ทศวรรษกบั การพัฒนาทยี่ ั่งยนื ”น.1-24. พร้นิ ต้งิ กรุ๊พ. คณะรฐั ศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.ปีที่ 44 (ฉบบั ที่ 2). (กรกฎาคม-ธนั วาคม),7-20. 15 อวยชัย ชบา และ ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์. (2556). แนวคิดเก่ียวกับการบริหารรัฐกิจและรัฐ ประศาสนศาสตร์ ใน นพดล อมั พร ธารงลักษณ์. (2559) . สถานภาพของวิชารัฐประศาสนศาสตร์
ในประเทศไทย(ระหว่าง พ.ศ. 2540 - ปัจจุบัน). วารสาร Bozeman, Barry. (1979). Public Management and Policy Analysis. New York: St. Martin's Press. Change) 9, 11-17 M.E. Sharpe. P. Osborne (Ed.). The New Public Governance? Emerging Perspectives on the Theory and Practice of Public Governance. pp. 1-16.London: Routledge. Riccucci, Norma M. (2010). Public Administration: Traditions of Inquiry and Philosophies of Knowledge. Thompson, James D. (1967). Organization in Action: Social Science Bases of Administrative Theory. New |