ภาษาไทยเป็นภาษาดนตรี

       ๓. หากพยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำ เสียงวรรณยุกต์จะสูงกว่ารูปวรรณยุกต์ที่กำกับอยู่ ๑ ขั้นเสียง หรือเรียกอีกอย่างว่า“เสียงเกินรูป”  โดยปกตินั้นเวลาเจอข้อสอบ ถ้าวรรณยุกต์ไม่ตรงกับรูปก็เกินรูปแค่นั้น  เ่ช่น ฟ้า (รูปโท  เสียงตรี) , ค่ำ (รูปเอก  เสียงโท) , ล่อง (รูปเอก  เสียงโท) เป็นต้น  

ภาษาไทยมีลักษณะเฉพาะของตนเองแตกต่างจากภาษาอื่นการใช้ภาษาไทยให้ได้ผลตรงตาม จุดมุ่งหมายจะต้องรู้จักหลักเกณฑ์ของภาษาไทยอย่างถ่องแท้ ดังนี้
   ๑. ภาษาไทยมีตัวอักษรเป็นของตนเองภาษาไทยมีรูปตัวอักษรใช้มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวอักษรมาหลายยุคสมัย ทำให้ปัจจุบันเรามีรูปพยัญชนะรูปสระและรูปวรรณยุกต์ใช้แทนเสียงพูดในภาษาของเราเอง  ซึ่งเป็นที่น่าภาคภูมิใจยิ่งเพราะบางชาติไม่มีภาษาของตนเองใช้และยังต้องใช้ภาษาของชาติอื่นอยู่
   ๒. ภาษาไทยแท้มักเป็นคำที่มีพยางค์เดียว โดยคำพยางค์เดียวจะออกเสียงชัดเจนและมีความหมายที่ผู้ฟังสามารถเข้าใจได้ทันที เช่น พ่อ แม่ นั่ง นอน เดิน เสือ ลิง ฯลฯ
   ๓. ภาษาไทยแท้มีตัวสะกดตรงตามมาตรา มาตราตัวสะกดมี ๘ มาตรา คือแม่กก แม่กด แม่กบ แม่กง
แม่กน แม่กม แม่เกย แม่เกอว คำไทยแท้จะมีตัวสะกดตามมาตราและไม่มีการันต์ เช่น มาก ขาด นับ ของ โยม คน ร่วงโรยขาว ฯลฯ ส่วนคำไทยแท้ที่ไม่มีตัวสะกด เราเรียกว่า มาตราแม่ ก กา เช่นคำว่า ตา ดี งู โต
ฯลฯ
   ๔. ภาษาไทยมีรูปสระวางไว้หลายตะาแหน่ง เช่น ข้างหน้าพยัญชนะ ในคำว่าเสแสร้ง เฉไฉไป แพ โมโห ข้างหลังพยัญชนะ  เช่น จะ มา รา ปอ ข้างบนพยัญชนะ เช่น ดี กัน บีบ คิด ข้างล่างพยัญชนะ เช่น
ครู สู้ ขุด ทรุด ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เช่น เขา เธอ เละเทะ เกาะ ทั้งข้างหน้าและข้างบนพยัญชนะ เช่น เป็นเสียง เมีย เกลือ
   ๕. ภาษาไทยหนึ่งคำมีหลายความหมาย จะสังเกตได้จากข้อความที่ประกอบแวดล้อมหรือบริบทถ้าคำทำหน้าที่ต่างกันความหมายก็ต่างกัน เช่น "เขาสนุกสนานกันในห้องนั้น แต่น่าแปลกใจว่าทำไมเขากันไมาให้กันเข้าไปในห้อง"  คำว่า "กัน" ทั้ง ๓ คำ มีความหมายต่างกันดังนี้
                         "กัน" คำที่หนึ่ง เป็นสรรพนามแสดงจำนวนมากกว่าหนึ่ง
                         "กัน" คำที่สอง เป็นกริยา  หมายถึง การขัดขวางไม่ให้กระทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง
                         "กัน" คำที่สาม เป็นสรรพนามแสดงถึงผู้พูดแทนคำว่า " ฉัน " (ชื่อคน)
   ๖.  ภาษามีความหมายประณีตมีคำที่มีความหมายหลักเหมือนกัน แต่มีความหมายเฉพาะต่างกัน
เช่น      การทำให้ขาดจากกัน มีคำว่า ตัด หั่น แล่ เชือด เฉือน สับ ฯลฯ
             การทำให้อาหารสุก มีคำว่า ปิ้ง ย่าง ต้ม ตุ๋น ทอด ฯลฯ
             บุพบทบอกสถานที่ (ที่ติดกัน) มีคำว่า ใกล้ ชิด แนบ ข้าง ฯลฯ
   ๗.  ภาษาไทยเป็นภาษาเรียงคำการเรียงคำในภาษาไทยเป็นเรื่องสำคัญ การเปลี่ยนตำแหน่งของคำจะทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไปด้วย เช่น "พ่อแม่ เลี้ยง ลูก" กับ "ลูก เลี้ยงพ่อแม่" มีความหมายที่ต่างกัน
    ๘.  ภาษาไทยเป็นภาษาดนตรีคือ การเปลี่ยนระดับเสียงวรรณยุกต์ทั้ง ๕ เสียง ได้แก่ เสียงสามัญ
เอก โท ตรี จัตวา ทำให้ภาษาไทยมีคำเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อเปลี่ยนระดับเสียงความหมายของคำก็จะเปลี่ยน เช่น "ขาว" หมายถึง สีชนิดหนึ่งหรือกระจ่างแจ้ง เมื่อเปลี่ยนวรรณยุกต์เป็น "ข่าว" หมายถึงคำบอกเล่าเรื่องราว หากเปลี่ยนวรรณยุกต์เป็น "ข้าว" หมายถึง พืชที่ใช้เมล็ดเป็นอาหาร
   ๙.  ภาษาไทยมีวรรคตอน ด้วยเหตุที่ภาษาไทยมีวิธีเขียนคำต่อกันไม่มีการเว้นระยะระหว่างคำเมื่อจบความ การใช้วรรคตอนจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะใช้แบ่งความหมายถ้าเว้นวรรคตอนผิด ความหมายก็จะเปลี่ยนไปการพูดก็ต้องเว้นจังหวะให้ถูกที่เช่นเดียวกัน ถ้าหยุดผิดจังหวะความหมายก็จะเปลี่ยนไป เช่น พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียพันตำลึงทอง หมายถึง นิ่งเสียดีกว่าพูด
 ส่วน พูดไปสองไพเบี้ย นิ่ง  เสียพันตำลึงทอง หมายถึงยิ่งนิ่งยิ่งเสียหายมาก
   ๑๐. ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีลักษณนามคำลักษณนามจะปรากฏอยู่หลังคำนามและจำนวนนับ ซึ่งตรงกับความหมายของลักษณนามว่า คือ คำที่ทำหน้าที่ประกอบนามอื่นเพื่อแสดงรูปลักษณะ ขนาดของนามนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ปลา ๒ ตัว เรือ ๔ ลำ พระพุทธรูป ๘ องค์ พระสงฆ์ ๙ รูป บ้าน ๓ หลัง ปี่ ๕ เลา
ลักษณนามทำให้เราเข้าใจลักษณะการมองเห็นของนามข้างหน้า
  ๑๑. ภาษไทยเป็นภาษาที่มีระดับของคำได้แก่ คำราชาศัพท์ ชาติไทยเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมสูงส่งมาแต่โบราณได้รับการยกย่องไปในนานาประเทศที่มีสัมพันธไมตรีกับไทยโดยเฉพาะในเรื่องการคารวะผู้อาวุโสซึ่งแสดงออกทั้งทางกิริยามารยาทและการใช้ภาษา
  ๑๒.  ภาษาไทยมีคำพ้องเสียงพ้องรูปภาษาไทยรับภาษาต่างประเทศมาใช้ก็นำมาปรับให้เข้ากับเสียงในภาษาไทยในคำพ้องเสียง คือ มีเสียงพ้องกันแต่ความหมานต่างกัน จึงต้องเขียนให้ถูก มิฉะนั้นความหมายจะเปลี่ยนไปเช่น  กาฬ-ดำ, กาล-เวลา ส่วนคำพ้องรูป คือคำที่มีรูปเหมือนกันแต่ออกเสียงต่างกัน
รูปคำเหมือนกันแต่ความหมายต่างกันต้องเข้าใจความจึงจะใช้ได้ เช่น เพลา อ่านว่า เพ-ลา หมายถึง เวลา,เพลา อ่านว่า เพลา หมายถึง เบา ๆ หรือส่วนประกอบของยานพาหนะ






เสียงในภาษา หมายถึง เสียงที่มนุษย์เปล่งออกมาเพื่อสื่อความหมายระหว่างกัน ซึ่งการที่เสียงในภาษาจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็ต้องอาศัยอวัยวะต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดเสียง สำหรับอวัยวะที่ทำให้เกิดเสียง ได้แก่ ริมฝีปาก ปุ่มเหงือก ฟัน ลิ้น เพดานปาก ลิ้นไก่ กล่องเสียง หลอดลม และปอด

เสียงในภาษาไทยใด ถูกระบุว่าเป็นเสียงดนตรี

อ ๓.) เสียงวรรณยุกต์ หรือเสียงดนตรี ก็คือ เสียงสระ หรือเสียงพยัญชนะ ซึ่งเวลาเปล่งเสียงแล้วเสียงจะมีระดับสูง ต่ำ เหมือนกับเสียงดนตรี สำหรับเสียงวรรณยุกต์ที่ใช้ในภาษาไทยมี ๕ เสียง ดังต่อไปนี้ เสียงวรรณยุกต์ รูปวรรณยุกต์

ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีลักษณะเฉพาะอย่างไร

ลักษณะเฉพาะของภาษาไทยที่มีความแตกต่างไปจากภาษาอังกฤษที่ส่งผลต่อการท าความเข้าใจ และถ่ายทอดได้อย่างถูกต้องในกรณีของการแปลเอกสารทางวิชาการ ประกอบด้วย 1) ภาษาไทยไม่มี การใช้ค าน าหน้านามเพื่อบ่งชี้เฉพาะหรือกล่าวโดยทั่วไป 2) ประโยคภาษาไทยสามารถละประธานของ ประโยคได้ 3) ภาษาไทยมีค าก ากวม และ 4) ภาษาไทยไม่มีการเปลี่ยนรูปค า ...

เสียงในภาษาไทยหมายถึงอะไร

เสียงในภาษา หมายถึง เสียงที่มนุษย์เปล่งออกมาเพื่อสื่อความหมายระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เพื่อสนองความ ต้องการต่าง ๆ เช่น เพื่อขอความช่วยเหลือ เพื่อขอความรู้เพื่อแสดงความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ เป็นต้น

ทำไมภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์

ประโยชน์ของวรรณยุกต์ คือ ช่วยทำให้คำมีความหมายมากขึ้น แตกต่างจากภาษาของชาติอื่นๆ เช่น ปา ป่า ป้า ป๊า ป๋า (เสียงนี้มี 4 ความหมาย) ต่างจากภาษาอังกฤษไม่ว่าจะออกเสียง cat สูงต่ำอย่างไร ความหมายคงเดิม ปา หมายถึง ขว้างปา ป่า หมายถึง ที่มีต้นไม้ภูเขา และสัตว์