Show เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ หรือ ตะวันออกกลาง หรือ เอเชียตะวันตก มีพื้นที่ประมาณ 6,835,434 ตารางกิโลเมตร เป็นดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยทะเลทรายแห้งแล้งกว้างใหญ่ ในภูมิภาคนี้ยังมีแม่น้ำสายสำคัญที่เป็นแหล่งอารยธรรมโลก คือ แม่น้ำไทกริส–ยูเฟรทีสในประเทศอิรัก เป็นบริเวณที่มีการทำการเกษตรได้ดีที่สุด ด้วยลักษณะทางกายภาพส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย ดินแดนแถบนี้จึงอุดมไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน ทำให้น้ำมันกลายเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศในแถบนี้ อย่างไรก็ตาม เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ยังให้กำเนิดศาสนาที่สำคัญ เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนายูดาย และศาสนาอิสลาม ถึงแม้ว่าดินแดนแถบนี้จะแห้งแล้ง แต่เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง เพราะมีอาณาเขตติดต่อกับทวีปแอฟริกาทางด้านตะวันตก และทวีปยุโรปทางตะวันตกเฉียงเหนือและทิศเหนือ ลักษณะภูมิประเทศของเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ มีลักษณะส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง (เช่น ที่ราบสูงอิหร่านและที่ราบสูงอานาโตเลีย) นอกจากนี้ ยังมีบริเวณที่เป็นคาบสมุทรที่สำคัญ คือ คาบสมุทรอาหรับ ลักษณะทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ คือ อุตสาหกรรมน้ำมัน (โดยเฉพาะประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก) ประเทศที่มีความเจริญทางด้านอุตสาหกรรมมากที่สุดในภูมิภาคนี้ คือ ตุรกี บางประเทศอาจถูกจัดให้อยู่ในทวีปยุโรปแทน เนื่องจากมีลักษณะทางวัฒนธรรมจากทวีปยุโรปมากกว่า ได้แก่ ตุรกี ไซปรัส อาร์เมเนีย จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจาน Related postsเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ (อังกฤษ: Southwest Asia) หรืออาจเรียกว่า เอเชียตะวันตก หรือ ตะวันออกใกล้ และตะวันออกกลาง ล้อมรอบด้วยทะเล 5 แห่งคือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลดำ ทะเลแคสเปียน ทะเลอาหรับ ทะเลแดง และดินแดนในภูมิภาคนี้มีความเจริญทางอารยธรรมอย่างมากเช่น อารายธรรมลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติสภูมิภาคนี้มีพื้นที่ประมาณ 6,835,434 ตารางกิโลเมตร มีศาสนาที่สำคัญคือศาสนาอิสลาม ศาสนายูดายของอิสราเอล และมีนับถือศาสนาคริสต์ในไซปรัส ปัจจุบันภูมิภาคนี้ยังคงมีความแตกแยกกันในเรื่องเชื้อชาติและศาสนา บางประเทศอาจถูกจัดให้อยู่ในทวีปยุโรปแทน เนื่องจากมีลักษณะทางวัฒนธรรมจากทวีปยุโรปมากกว่า ได้แก่ ตุรกี ไซปรัส อาร์เมเนีย จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจาน ประเทศในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้[แก้]
อารยธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันตก อารยธรรมเมโสโปเตเมีย “เมโสโปเตเมีย” แปลว่าดินแดนระหว่างแม่น้ำสองสาย ได้แก่ แม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรติส ลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลมผืนใหญ่ทอดโค้งจากฝั่งทะเลด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจรดอ่าวเปอร์เซีย จึงมีสมญานามว่า “ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์” ด้วยความอุดมสมบูรณ์ทำให้ชนเผ่าต่างๆ เข้ามาตั้งถิ่นฐานมากมาย เช่น 1. สุเมเรียน – ตั้งอยู่ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของที่ราบเมโสโปเตเมียที่เรียกว่า “ซูเมอร์” – ปกครองแบบนครรัฐ (City States) แต่ละนครรัฐเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน มีกษัตริย์เป็นผู้นำ นครรัฐที่สำคัญเช่น เมืองอูร์ เมืองเออรุคและเมืองอิริดู เป็นต้น – นับถือเทพเจ้าหลายองค์ มีเทพเจ้าประจำนครรัฐ เน้นโลกนี้เป็นสำคัญ ไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า – ประดิษฐ์อักษรคูนิฟอร์ม(รูปลิ่ม) เขียนลงบนแผ่นดินเหนียวด้วยปากกาที่ทำจากต้นอ้อแล้วนำไปตากแห้ง – สร้างซิกกูแรต (วิหารบูชาเทพเจ้า) – วรรณกรรมกิลกาเมช กล่าวถึงการพจญภัยของสีรบุรุษชาวสุเมเรียน – วรรณกรรมเอนลิล กล่าวถึงการสร้างโลกและน้ำท่วมโลก – รู้จักใช้ระบบชลประทาน เช่น อ่างเก็บน้ำ เขื่อนกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำ – ดำรงชีพด้วยการเพาะปลูก พืชที่สำคัญคือ ข้าวสาลี – รู้จักใช้ยานพาหนะเช่น รถม้า – รู้จักใช้โลหะผสม(สำริด) ทำเครื่องมือ เครื่องประดับ – รู้จักทอผ้า – รู้จักการบวก ลบ คูณ ทำปฏิทินจันทรคติ(ข้างขึ้น ข้างแรม) การนับวันเวลา 2. อัคคัด หรือ อัคคาเดียน – เป็นพวกเร่ร่อนเผ่าเซมิติกตั้งถิ่นฐานบริเวณทะเลทรายซีเรียและทะเลทรายอาหรับ ได้เข้ายึดครองดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของดินแดนเมโสโปเตเมีย – ซากอนผู้นำชาวอัคคัด ได้ยึดครองนครรัฐของพวกสุเมเรียนและรวบรวมดินแดนบริเวณฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจนถึงอ่าวเปอร์เซียขึ้นป็นจักรวรรดิ – ปกครองไม่นานก็ถูกสุเมเรียนโค่นล้มแล้วปกครองใหม่เป็นครั้งที่สอง 3. อมอไรต์ หรือ บาบิโลน – เป็นเผ่าเซมิติก อพยพมาจากทะเลทรายอาระเบียน มายึดครองนครรัฐของสุเมเรียน – ขยายอาณาจักรไปกว้างขวางและสถาปณาจักรวรรดิบาบิโลเนีย – กษัตริย์ที่สำคัญคือพระเจ้าฮัมมูราบี – มีการประมวลกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คือกฎหมายฮัมมูราบี มีบทลงโทษแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” 4. ฮิตไทต์ – เป็นเผ่าอินโดยุโรเปียน – เดิมอยู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย ขยายตัวมาตามลุ่มแม่น้ำยูเฟรติส โจมตีทางเหนือของซีเรีย ปล้นกรุงบาบิโลนและปกครองดินแดนเมโสโปเตเมียต่อมา – มีความสามารถในการรบมาก – เป็นชนเผ่าแรกที่รู้จักใช้เหล็กทำเป็นอาวุธ รู้จักใช้รถเทียมม้าทำศึก – ตรงกับสมัยที่อียิปต์เรืองอำนาจ – กษัตริย์ฮัตตูซิลิที่ 3แห่งฮิตไทต์ และฟาโรห์รามเสสที่ 2แห่งอียิปต์ได้ทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน และหากบุคคลที่ 3มาโจมตี ต้องช่วยเหลือกัน 5. แอสซีเรียน – เป็นเผ่าเซมิติกมาจากทะเลทรายอาหรับ – ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองนิเนเวห์ – สามารถในการรบและการค้า – ขยายอำนาจถึงฟินิเชีย ปาเลสไตน์ อียิปต์และเปอร์เซีย – กองทัพแข็งแกร่ง มีระเบียบวินัยสูง – ใช้เหล็กทำอาวุธ – มีการก่อสร้างที่ใหญ่โตมหึมา มำทำเป็นโดม เช่นพระราชวังซาร์กอน – มีการปั้นแบบนูนตัวและลอยตัว ให้อารมณ์สมจริง – มีการแกะสลักภาพ เคลื่อนไหวแบบธรรมชาติ – กษัตริย์องค์สุดท้ายคือ “พระเจ้าอัชชูบานิปาล” เป็นสมัยที่เจริญสูงสุด มีการสร้างหอสมุดรวบรวมข้อมูลมหาศาลและยังรวบรวมแผ่นดินเหนียวที่มีอักษรคูนิฟอร์ม22,000แผ่น 6. แคลเดียน – เป็นเผ่าเซเมติก โค่นล้มแอสซีเรียนได้ – สถาปณาจักรวรรดิแคลเดียนหรือบาบิโลเนียใหม่ – สร้างสวนลอยแห่งบาบิโลน ในสมัยพระเจ้าเนบูชัดเนสซาร์ – ทำแผนที่ดวงดาว – คำนวณการเกิดสุริยุปราคา จันทรุปราคา – แบ่งสัปดาห์เป็น 7 วัน 7. เปอร์เซีย – ชนเผ่าอินโดยุโรเปียน ปกครองบริเวณที่ราบสูงอิหร่านมีราชวงศ์ต่างๆปกครอง ดังนี้ 1) ราชวงศ์อะคีเมนิด – ก่อตั้งโดยพระเจ้าไซรัสมหาราช ขยายอำนาจไปจนถึงแม่น้ำสินธุ อียิปต์ – พระเจ้าดาริอุส ขยายจักรวรรดิกว้างขวางไปอีก สร้างเมืองหลวงที่สวยงามชื่อ “เปอร์ชีโปลิช” สร้างถนนเชื่อมดินแดนในจักรวรรดิ ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของเปอร์เซีย – มีศาสนาโซโรแอสเตอร์ เป็นศาสนาประจำชาติ มีเทพเข้าอาหุรามาสดาเป็นเทพฝ่ายดีและอาหริมันป็นเทพฝ่ายชั่ว – ถูกกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีกยึดครอง ทำให้เสื่อมลง 2) ราชวงศ์เซลิวชิด – ก่อตั้งโดยทหารของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีก แต่ไม่มีอำนาจ 3) จักรวรรดิของชาวปาร์เถียน – ย้ายเมืองหลวงไปที่แบกแดด 4) ราชวงศ์ซัลซานิด – ปกครองเป็นเวลา 400ปีเศษ มีศาสนาอิสลามมาแทนที่ศาสนาซีโรแอสเตอร์ 5) ราชวงศ์อับบาสิด หรือ อาหรับมุสลิม – มุสลิมรุ่งเรืองทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ – กษัตริย์ที่สำคัญคือ ฮารูณ อัล ราชิด ส่งเสริมด้านการค้าจนรุ่งเรือง 6) สมัยมองโกลปกครอง – ฮุลากุข่านหลานเจงกิสข่านมายึดกรุงแบกแดด ปกครองเป็นเวลา 200ปีครึ่ง 7) ราชวงศ์ซาฟาวี – ขับไล่มองโกลไปได้ ย้ายเมืองหลวงไปที่อิสฟาฮาน – กษัตริย์ที่สำคัญคือ ชาห์ อับบาสมหาราช ปฏิรูปการปกครอง – นับถืออิสลามนิกายชีอะห์ 8) ราชวงศ์คะจาร์ – เชื้อสายเติร์ก ไม่ค่อยมีอำนาจ ปกครองแบบเผด็จการ – รัสเซียและอังกฤษขยายอำนาจ 9) ราชวงศ์ปาเลวี – กษัตริย์คนแรกคือ เรซา ชาห์ ปาเลวี เปลี่ยนชื่อจากเปอร์ซียเป็นอิหร่าน – สมัยพระเจ้ามุฮำมัด เรซาห์ ชาห์ นำกฎหมายฝรั่งเศสมาใช้ มีการปฏิรูปที่ดิน แต่เศรษฐกิจก็ถดถ้อย 10) สมัยสาธารณรัฐอิสลาม – อยาโตลลา โคไมนี โค่นราชวงศ์ปาเลวี เปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐ – ต่อต้านสหรัฐอเมริกา – เมื่ออยาโตลลา โคไมนีถึงแก่กรรม ผู้นำได้ดำเนินนโยบายสายกลาง ปฏิรูปเศรษฐกิจ ให้เสรีภาพ ให้สิทธิสตรี 8. ฮิบรู – เป็นบรรพบุรุษของชาวยิว – เรื่องราวของชาวฮิบนูปรากฏอยู่มนภาคแรกของคัมภีร์ไบเบิล – กษัตริย์เดวิด เป็นปฐมกษัตริย์ – กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ กษัตริย์โซโลมอน – นับถือลัทธิยูดาย หลังจากกรีก-โรมัน เรืองอำนาจในเอเชียตะวันตก แต่อารญธรรมเมโสโปเตเมียก็ไม่สูญสลายก็มีวัฒนธรรมกรีก-โรมัน เป็นรากฐานวัฒนธรรมโลกต่อมา แหล่งอารยธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หมายถึง ดินแดนที่อยู่ระหว่างจีนและอินเดีย ปัจจุบันได้แก่ ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และติมอร์ตะวันออก ดินแดนเหล่านี้ในอดีตเรียกกันหลายอย่าง เช่น เอเชีย-ดินแดนมรสุม ที่เรียกเช่นนี้เนื่องมาจากมีสภาพภูมิอากาศแบบมรสุม ซึ่งมีความสำคัญต่อดินแดนบริเวณนี้ หรือ เรียกว่า อินโดจีน เพราะอยู่ระหว่างอินเดียกับจีย ส่วนคำว่า “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เพิ่งเริ่มใช้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรคือ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ได้ตั้งศูนย์บัญชาการการรบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South – East Asia Command) ขึ้นในค.ศ.1943 เมื่อทำการสงครามกับญี่ปุ่น การเรียกชื่อเช่นนี้เพื่อความเด่นชัดทางด้านภูมิศาสตร์เพื่อกำหนดเขตการปฏิบัติการของกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตร โดยหมายความถึง ภูมิภาคที่ประกอบด้วยประเทศพม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยไม่รวมถึงฟิลิปปินส์ จนในทศวรรษ 1960 จึงรวมฟิลิปปินส์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาค และในค.ศ.1984 เมื่อบรูไนได้รับเอกราชก็เข้าร่วม รวมทั้งติมอร์ตะวันออกในค.ศ.2002 ดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้มีหลักฐานของมนุษย์อยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ พบมนุษย์ชวา ในถ้ำแห่งหนึ่งบนเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นมนุษย์วานรในสมัยหินเก่า ที่ยังมีการเร่ร่อนอาศัยอยู่ตามถ้ำ ต่อจากนั้นมาอีกหลายพันปี เมื่อเข้าสู่ยุคหินกลาง เป็นช่วงระยะที่มีการอพยพของมนุษย์เผ่าพันธุ์ต่างๆจากแผ่นดินใหญ่ลงสู่ภาคใต้ และข้ามไปยังหมู่เกาะต่างๆ ได้แก่พวก ออสเตรลอยด์ (Australoid) เนกริโก (Negreto) พวกเมลาเนซอยด์ (Malanesoid) ปัจจุบันกลายเป็นคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย และหมู่เกาะในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคหินใหม่มีการอพยพของชนกลุ่มใหญ่เป็นพวกชาติพันธุ์มองโกลอยด์มากที่สุด อพยพมาจากตอนกลางของทวีปเอเชียโดยเฉพาะบริเวณประเทศจีนและทิเบต เข้าสู่บริเวณที่ราบลุ่มของภูมิภาคคือ ลุ่มแม่น้ำแดง แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำอิระวดี แม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งกลุ่มที่อาศัยอยู่ในภูเขาและที่ราบสูง เช่น ชาวเขาเผ่าต่างๆ บางพวกอพยพลงมาทางใต้เข้าสู่บริเวณคอคอดกระจนถึงแหลมมลายูและบริเวณหมู่เกาะ บ้างตั้งแหล่งอาศัยอยู่ถาวร บ้างอพยพย้อนกลับขึ้นบนพื้นแผ่นดินใหญ่อีก ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ทำให้ชุมชนในภูมิภาคได้ตั้งหลักแหล่งอยู่ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำ และที่ราบชายทะเล ผู้นำพื้นเมืองได้รวบตัวตั้งเป็นชุมชนต่าง ๆ และมีการพัฒนาการมาเป็นลำดับ สามารถปลูกข้าวเลี้ยงดูประชากร สร้างคติและความเชื่อของตน จากที่ตั้งของภูมิภาคที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง 2 อาณาจักรใหญ่ คือ จีนและอินเดีย จึงได้รับอิทธิพลเข้ามาพร้อมกับการค้าขายแลกเปลี่ยน จึงนำวัฒนธรรม ความเจริญของทั้งสองแห่งมาผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิม เช่น แบบแผนการปกครองแบบอินเดีย แนวคิดของพุทธศาสนา และ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ดินแดนทางตอนล่างของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สัมพันธ์กับพ่อค้าชาวอินเดียโดยการค้า เนื่องจากพบหลักฐานทางวัตถุจากอินเดียและโรมในภูมิภาคนี้ เช่น หินหยก ลูกปัดลวดลายแบบอินเดีย ภาชนะสำริด เหรียญทองแดงของจักรพรรดิโรมัน ตะเกียงโรมันที่พงตึกและตราโรมันที่ออกแก้ว หลักฐานเหล่านี้เป็นสื่อของการแลกเปลี่ยนระหว่างการค้าทางแถบชายฝั่งจากการแล่นเรือของพ่อค้าชาวอินเดียมาทางหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ผ่านลงทางภายใต้ของประเทศไทย และอีกส่วนหนึ่งเลียบฝั่งทะเลอันดามันเข้าทางทิศตะวันตกของประเทศไทยสู่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมกันนั้น ก็พบหลักฐาน ของการอาณาจักรต่างๆ ในเอกสารของจีน แสดงถึงการติดต่อค้าขายกันเป็นอย่างดี อาณาจักรต่างๆที่พัฒนาขึ้นมา มีดินแดนกว้างขวาง( ครอบคลุมหลายประเทศในปัจจุบัน ) เช่น อาณาจักรฟูนัน ครอบครอง ประเทศกัมพูชา เวียดนามตอนใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย บางตอนของที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และภาคใต้ของไทย ลงมาถึงแหลมมลายู สถานที่ตั้งทางด้านยุทธศาสตร์ของฟูนัน ทำให้สามารถควบคุมเส้นทางช่องแคบเชื่อมฝั่งทะเลของอ่าวไทยเข้ากับทะเลอันดามันและเมืองท่าต่างๆของจีนตอนใต้ ทำให้มีความมั่งคั่งและอิทธิพลทางด้านการเมือง ฟูนันมีอำนาจการปกครองเหนือลังกาสุกะ(Langkasuka มีเมืองหลวงอยู่ในบริเวณปัตตานีปัจจุบัน) และเมืองตามพรลิงค์(Tambralings มีเมืองหลวงอยู่ที่นครศรีธรรมราชหรือเมืองไชยา จ.สุราษฎร์ธานี) เมืองทั้งสองตั้งอยู่สองฝั่งเส้นทางเดินเรือค้าขายที่สำคัญ อาณาจักรฟูนันเป็นผู้วางรากฐานอารยธรรมอินเดียในอินโดจีน และเป็นรัฐที่เป็นรากฐานของประเทศกัมพูชา เมื่อสิ้นสุดอาณาจักรฟูนัน อาณาจักรที่เจริญขึ้นแทนที่ คือ อาณาจักรขอมซึ่งเจริญอยู่หลายพันปี จนสิ้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อาณาจักรอ่อนแอลง ทำให้ชนชาติไทยซึ่งตั้งหลักอยู่บริเวณตอนบนของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา รวมกำลังตั้งเป็นรัฐอิสระจากเขมร คือ อาณาจักรสุโขทัย และ อาณาจักรล้านนา ต่อมาอิทธิพลขอมอ่อนลง มีการตั้งอาณาจักรอยุธยาและในค.ศ.1431 ได้ยกกองทัพไปตีนครธมโดยเจ้าสามพระยา อำนาจของเขมรที่มียาวนานกว่า 600 ปีได้สิ้นสุดลง แต่อาณาจักรเขมรยังคงอยู่โดยย้ายราชธานีไปอยู่ที่พนมเปญ เพื่อให้ห่างไกลจากราชอาณาจักรไทย เมืองนครวัดและนครธมถูกปล่อยเป็นเมืองร้าง อาณาจักรทวารวดี วัฒนธรรมทวารวดีได้แพร่กระจายจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทางภาคกลางของประเทศไทยไปทั่วทุกภูมิภาคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากชุมชนโบราณที่โคกสำโรง และบ้านหมี่จังหวัดลพบุรี และเมืองศรีเทพ เพชรบูรณ์ซึ่งเป็นเมืองสำคัญจากลุ่มแม่น้ำป่าสักไปสู่ลุ่มแม่น้ำมูล และลุ่มแม่น้ำชีทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย รวมไปถึงตอนใต้ของพม่า อาณาจักรศรีวิชัย ความสำคัญของศรีวิชัยที่ปรากฏจากจดหมายเหตุของจีนสมัยราชวงศ์ถังคือเป็นศูนย์กลางการค้าขายสินค้าข้ามสมุทรทางฝั่งทะเลตะวันตกและตะวันออก ผ่านช่องแคบมะละกา ดังนั้นจึงได้พบ ลูกปัดจากดินแดนทางตะวันตกและเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งพบเรื่อยลงมาทั้งที่เกาะสุมาตราและทางภาคใต้ของประเทศไทย (แคว้นไชยา)จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบโดยกว้างจากปาเล็มบัง เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย มาจนถึงคาบสมุทรมาเย์และทางภาคใต้ของประเทศไทย ได้มีข้อสรุปเกี่ยวกับศรีวิชัยคือ “ศรีวิชัย” ไม่ใช่ชื่ออาณาจักรที่มีศูนย์กลางของอำนาจในทางการเมืองและควบคุมเศรษฐกิจอยู่เมืองใดเมืองหนึ่งเพียงแห่งเดียว แต่ศรีวิชัยเป็นชือกว้าง ๆ ทางศิลปะ และวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าทางทะเลแถบคาบสมุทร กลุ่มบ้านเมืองหรือแว่นแคว้นต่าง ๆ เหล่านี้มีวัฒนธรรมร่วมกันคือ การนับถือพุทธศาสนามหายานและมีรูปแบบศิลปกรรมแบบศรีวิชัยเช่นเดียวกัน จากตัวอย่างของอาณาจักรโบราณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงให้เห็นว่าบรรพบุรุษของประชาชนในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ต่างมากจากรากเง้าเดียวกัน มีพื้นฐานด้านวัฒนธรรมประเพณีเดียวกันมาก่อน บางดินแดนก็คาบเกี่ยวกัน ยากที่จะบอกว่าเป็นของชนชาติใดอย่างแน่นอนตายตัว เมื่อกาลเวลาที่เปลี่ยนไปนับพันปี ย่อมทำให้บางอาณาจักรต้องเสื่อมสลายไป และมีอาณาจักรใหม่เจริญขึ้นมาแทนที่ สมัยล่าอาณานิคม ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16-19 ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกชาติตะวันตกเข้ายึดครอง ในตอนแรก ชาติตะวันต้องการผูกขาดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเครื่องเทศ ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากในการถนอมอาหาร (บางประเทศต้องการเผยแผ่ศาสนา ได้แก่ฝรั่งเศส) แต่เมื่อประเทศในยุโรป ต่างแย่งชิงผลประโยชน์กันเอง ทำให้ต้องใช้กำลังทหารปกครองผลประโยชน์ของชาติตน และนำไปสู่การใช้กำลังเข้ายึดครอง หลังจากนั้นจึงใช้กำลังทหารบังคับให้ดินแดนต่างๆ ดำเนินนโยบายแบบที่ตนต้องการ ประเทศต่างๆที่ต้องตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก ได้แก่ พม่า มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน เป็นอาณานิคมของอังกฤษ ลาว กัมพูชา เวียดนาม เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคมของสเปน และต่อมาเป็นสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ยกเว้นเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่รอดพ้นจากการยึดครอง จนเมื่อสงครามโลก ครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 จึงทยอยกันได้รับเอกราชแต่รูปแบบการเมือง การปกครองของแต่ละประเทศได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และในช่วงของการเรียกร้องเอกราชนั้น ทำให้บางประเทศต้องเผชิญกับภาวะสงครามอย่างยาวนาน โดยเฉพาะเวียดนาม เพราะชาติมหาอำนาจ(คือสหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส)ต้องการคงอิทธิพลของตนไว้ ไม่ต้องการให้จีน หรือ รัสเซียเข้ามามีอิทธิพลแทนที่ แหล่งอารยธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการที่ประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เคยอยู่ภายใต้อาณาจักรเดียวกัน หรือคาบเกี่ยวกับมาก่อน ประกอบกับได้รับอิทธิพลจากจีน-อินเดีย และได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ หรือ ศาสนาพราหมณ์ เหมือนกัน จึงทำให้ให้มีแหล่งโบราณสถานจำนวนมาก ที่มีส่วนคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ดังจะยกตัวอย่าง ดังนี้ มหาสถูปบุโรพุทโธ หรือ บรมพุทโธ (ภาษาอินโดนีเซีย: Chandi Borobudur) ตั้งอยู่ในภาคกลางของเกาะชวา ห่างจากยอกยาการ์ตาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 40 กิโลเมตร สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 1293 – 1393 โดยบุโรพุทโธเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ถ้าไม่นับนครวัดของกัมพูชาซึ่งเป็นทั้งศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ บุโรพุทโธจะเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปีพ.ศ. 2534 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้บุโรพุทโธเป็นมรดกโลก เมืองหลวงพระบาง เป็นเมืองเอกของแขวงหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำคาน ซึ่งไหลมาบรรจบกัน เป็นเมืองที่องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นมรดกโลกด้วย เว้ เป็นเมืองเอกของจังหวัดถัวเทียน-เว้ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และเคยเป็นเมืองหลวงเก่าในสมัยราชวงศ์เหงียนช่วงปี พ.ศ. 2345-2488 มีชื่อเสียงจากโบราณสถานที่มีอยู่ทั่วเมือง จำนวนประชากรอยู่ที่ประมาณ 340,000 คน หมู่โบราณสถานในเมืองเว้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2536 เจดีย์ชเวดากอง ตามตำนานนั้นสร้างเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าสร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6–10 สร้างโดยชาวมอญ พระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้างจนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 เมื่อพระเจ้า พินยาอู ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมมาเรื่อยมา จนมามีความสูง 98 เมตรในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แผ่นดินไหวเล็กๆน้อยๆ เรื่อยมาทำให้พระเจดีย์นั้นได้รับความเสียหาย และเมื่อปี พ.ศ.2311 (ในสมัยกรุงธนบุรี) ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างหนัก ทำให้ยอดของพระเจดีย์หักถล่มลงมา นครวัด ตั้งอยู่ที่เมืองเสียมราฐ (เสียมเรียบ) ในประเทศกัมพูชา สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในพุทธศตวรรษที่ 16-17 เพื่อเป็นศาสนสถานประจำนครของพระองค์ เมื่อสมัยแรกนั้น นครวัดได้ถูกสร้างเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไวษณพนิกาย แต่ต่อมาในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้เปลี่ยนให้เป็นวัดในศาสนาพุทธนิกายมหายาน ในปัจจุบันปราสาทนครวัดนับเป็นสิ่งก่อสร้างสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา และได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร ในปี ค.ศ. 1586 พ.ศ. 2129ได้มีนักบวชจากโปรตุเกส นามว่า อันโตนิโอ ดา มักดาเลนา เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ได้ไปเยือนปราสาทนครวัด แต่ที่จะถือว่าเป็นการเปิดประตูให้แก่ปราสาทนครวัดนั้น คือการค้นพบของ อองรี มูโอต์ นักสะสมแมลงและนักสำรวจชาวฝรั่งเศส เมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้วมา อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ครอบคลุมพื้นที่โบราณสถานกรุงสุโขทัย ตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า (เขตเทศบาลตำบลเมืองเก่า) อำเภอเมืองสุโขทัยจังหวัดสุโขทัย ผังเมืองสุโขทัยมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร กว้างประมาณ 1.6 กิโลเมตร มีประตูเมืองอยู่ตรงกลางกำแพงเมืองแต่ละด้าน ภายในยังเหลือร่องรอยพระราชวังและวัดอีก 26 แห่ง วัดที่ใหญ่ที่สุดคือวัดมหาธาตุ อุทยานแห่งนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยกรมศิลปากรด้วยความช่วยเหลือจากองค์การยูเนสโก มีผู้เยี่ยมชมหลายแสนคนต่อปี ซึ่งสามารถเดินเท้าหรือขี่จักรยานเที่ยวชมได้ ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2534 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้อุทยานแห่งนี้เป็นแหล่งมรดกโลกร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์ที่กำแพงเพชรและศรีสัชนาลัยภายใต้ชื่อว่า “เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร“ ลักษณะทางสังคมของเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ Social characteristics of south west asia เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ เป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก เรียกว่าอารยธรรมเมโสโปเตเมีย อยู่ในเขตรูปพระจันทร์เสี้ยว โดยเฉพาะที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส ที่สำคัญ ได้แก่ อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุและอินเดีย อินเดียเป็นอารยธรรมของคนในแถบเอเชียใต้และมีอิทธิพลต่ออารยธรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอารยธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก อารยธรรมอินเดียโบราณหรืออารยธรรมลุ่มแม้น้ำสินธุ จัดเป็นอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ดินแดนบริเวณนี้ประมาณ ๓,๐๐๐-๒,๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล จัดเป็นแหล่งอารยธรรมเมืองแห่งหนึ่งของโลกยุคโบราณ จากการขุดค้นพบ “เมืองโมเฮนโจดาโร (Mohenjo-daro) และเมืองฮารัปปา (Harappa) ซึ่งเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมแห่งนี้ พบว่ามีความเจริญอย่างยิ่งในด้านการวางผังเมือง เพราะมีการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบระเบียบ มีระบบท่อระบายน้ำ มีสระขนาดใหญ่ภายใต้ตึก ๓ ชั้น ยุ้งฉางสำหรับเก็บผลผลิตทางการเกษตร และมีหลักฐานการติดต่อค้าขายกับดินแดนเมโสโปเตเมียอีกด้วย เมืองโมเฮนโจดาโรและฮารัปปา ผู้คนที่มีบทบาทในการพัฒนาและสร้างสรรค์อารยธรรมในแถบนี้มีด้วยกัน ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในลุ่มแม่น้ำสินธุตั้งแต่ปลายยุคหินใหม่ เรียกว่า “ดราวิเดียน” มีรูปร่างเล็ก ผิวดำ จมูกแบน ส่วนอีกลุ่มหนึ่ง คือ “อินโด-อารยัน” มีรูปร่างสูงใหญ่ จมูกโด่ง ผิวขาว มีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณภาคกลางของทวีปเอเซียรอบๆ ทะเลสาบแคสเปียน ต่อมาได้อพยพจากถิ่นเดิมไปยังดินแดนอื่นๆ กลุ่มหนึ่งอพยพไปตั้งถิ่นฐานบริเวณคาบสมุทรกรีซและในแหลมอิตาลี กลุ่มนี้เรียกว่า “อินโดยูโรเปียน” กลุ่มที่สองไปตั้งถิ่นฐานทางทิศตะวันออกเฉียงใต้บริเวณอัฟกานิสถานและขยายสู่ทิศตะวันตกเข้าไปยังเปอร์เซีย กลุ่มนี้เรียกว่า “เปอร์เซีย” และกลุ่มที่สามขยายมาทางตะวันออกเข้ามาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย กลุ่มนี้เรียกว่า “อินโดอารยัน” และได้พัฒนาอารยธรรม ต่อมาดินแดนแห่งนี้ได้กลายเป็นบ่อเกิดของลัทธิความเชื่อ ศาสนา และระบบปรัชญามากมาย พัฒนาการทางความคิดที่สำคัญในอารยธรรมอินเดียเริ่มจากการนับถือเทพเจ้าหลายองค์โดยการสวดสรรเสริญและอ้อนวอนเทพเจ้า ในช่วงแรกเป็นการสืบต่อกับด้วยการท่องจำแบบปากเปล่าในกลุ่มของผู้ทำพิธีกรรมเท่านั้น ต่อมาได้พัฒนาเป็นคัมภีร์ประกอบด้วยสามส่วนคือ ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท รวมเรียกว่า “ไตรเวท” ภายหลังได้แต่งคัมภีร์ชื่ออถรรพเวทเพิ่มขึ้นรวมเป็นสี่ส่วน แต่ก็ยังเรียกว่าคัมภีร์พระเวทเหมือนเดิม เรียกยุคนี้ว่า “ยุคพระเวท” พัฒนาการความคิดของอินเดียในยุคถัดมามีความหลากหลายทางความคิด ในส่วนที่พัฒนาต่อจากพระเวท คือ มหากาพย์ที่สำคัญสอง เรื่อง คือ มหาภารตะและรามายณะ แต่ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนากระแสความคิดอื่นที่แตกต่างไปจากความคิดแบบพระเวท นั่นคือ กระแสความคิดจากพุทธศาสนาและจากศาสนาเชน พัฒนาการความคิดจากคัมภีร์พระเวทนั้นมีหลายระดับ คือ เริ่มแรกเป็นความคิดความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าแบบ “พหุเทวนิยม” (Polytheism) นั่นคือการนับถือเทพเจ้าหลายองค์ ต่อมาได้พัฒนามาเป็นการยกย่องและให้การนับถือเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว เรียกว่า “เอกเทวนิยม” (Monotheism) แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีการนับถือเทพองค์อื่นๆ ไปด้วยแต่ไม่ได้ยกย่องเป็นเทพสูงสุด ในช่วงหลังได้พัฒนาแนวความคิดให้เป็นปรัชญามากยิ่งขึ้น จึงเกิดคัมภีร์อุปนิษัท ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการขั้นสุดท้ายของคัมภีร์พระเวทในนามของศาสนาฮินดู แนวความคิดในปรัชญาอุปนิษัทได้พัฒนามาสู่ “เอกนิยม” อย่างสัมบูรณ์ นั่นคือมีความเชื่อในความจริงสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว มีลักษณะเป็นอมตะ เที่ยงแท้แน่นอน และเป็นจุดหมายของมนุษย์ทุกคน เรียกว่า “พรหมัน” หรือ “ปรมาตมัน” แต่ความจริงที่ถูกเสนอโดยปรัชญาอุปนิษัทก็ถูกแย้งโดยพุทธศาสนา และศาสนาเชน ซึ่งทั้งสองแนวความคิดนี้ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดในปรัชญาอุปนิษัท โดยศาสนาเชนได้เสนอความคิดเรื่องความจริงสูงสุดนั้นคือ การเข้าถึง “ไกรวัลย์” หรือโมกษะ ด้วยการชำระวิญญาณให้บริสุทธิ์ด้วยการทรมานตนเองเท่านั้น ศาสดามหาวีระ ผู้ก่อตั้งศาสนาเชน และสาวกที่ยึดหลักการทรมานตนเอง ส่วนพุทธศาสนานั้นมีความคิดแย้งกับทั้งสองกระแสความคิด คือ พระเวทและศาสนาเชน โดยเสนอว่า การที่มนุษย์จะเข้าถึงความจริงสูงสุดได้นั้นจะต้องขจัดกิเลสด้วยการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ไม่ใช่ด้วยการอ้อนวอนเทพเจ้าหรือการทรมานร่างกายแต่อย่างใด พุทธศาสนาจึงเสนอความคิดเรื่อง “ไตรลักษณ์” คือ หลักอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา และหลักการปฏิบัติแบบทางสายกลาง เรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดชอบ การกระทำชอบ การเลี้ยงชีพชอบ การทำความเพียรชอบ การตั้งสติชอบ และการตั้งใจชอบ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “มรรค ๘” ประการ ความคิดจากอารยธรรมอินเดียได้แพร่กระจายได้ตามอาณาจักรต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะความคิดจากศาสนาฮินดูได้แพร่เข้าสู่อาณาจักรทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนก่อให้เกิดวิหารเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา ก่อให้เกิดสถาปัตยกรรม จิตรกรรม และวรรณคดีทางศาสนามากมาย ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาได้รับการยอมรับมากขึ้นและได้แพร่ขยายเข้ามาสู่ทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะการแพร่ขยายไปตามเส้นทางสายไหมจากอินเดียสู่จีนและเปอร์เซีย แนวความคิดทางพุทธศาสนาก็เข้ามาเจริญแทนที่กระแสความคิดเดิม ประเทศใดในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้4. เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ประกอบด้วยประเทศต่างๆ 17 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย เยเมนเหนือ เยเมนใต้ โอมาน อาหรับ กาตาร์ คูเวต บาห์เรน อิรัก จอร์แดน ซีเรีย เลบานอน อิสราเอล อิหร่าน ตุรกี ไซปรัส
เอเชียตะวันตกเฉียงใต้เป็นทางผ่านของภูมิภาคใดบ้างเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ตั้งอยู่ระหว่างละติจูดที่ 7 องศาเหนือ ถึงละติจูดที่ 42 องศาเหนือ และระหว่างลองจิจูดที่ 26 องศาตะวันออก ถึงลองจิจูดที่ 75 องศาตะวันออก โดยมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับทะเลดำ ทะเลแคสเปียน และภูมิภาคเอเชียกลาง ทิศตะวันออก ติดต่อกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกและภูมิภาคเอเชียใต้
ที่ตั้งของชุมชนโบราณในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้คือที่ใดอารยธรรมเมโสโปเตเมียอันเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุด บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีสและศาสนาอิสลามเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมมุสลิม ซึ่งอารยธรรมทั้งสองเป็นอารยธรรมสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
ประเทศใดบ้างที่จัดอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกประเทศในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้. บาห์เรน. ไซปรัส. อิหร่าน. อิสราเอล. จอร์แดน. เลบานอน. |