Search Engine Marketing ตัวอย่าง

SEM คือ Search Engine Marketing ซึ่งคือการตลาดบนเสิร์ชเอนจิน SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing เป็นการวมศัพท์สองคำระหว่าง Search engine กับ Marketing

Search engine คือเว็บไซต์เครื่องมือการค้นหาบนอินเทอร์เน็ต อีกอัน Marketing นั้นก็คือการตลาด พอมารวมกันก็มีความหมายว่าการตลาดบนเครื่องมือการค้นหาข้อมูลเสิร์ชเอนจินที่เราจะรู้จักกันก็จะเป็น Google.com, Yahoo, Bing หรืออย่าง Baidu ของจีน โดยในเครื่องมือการค้นหาที่เราใช้ในการค้นหาปัญหาและหาสินค้านั้น เค้าก็เปิดให้เราสามารถนำโฆษณาไปลงในช่องทางนี้ได้

Search Engine Marketing ตัวอย่าง

ความหมายใน Wikipedia ให้ความหมายไว้ว่า “SEM คือการตลาดรูปแบบนึงบน Internet ที่เกี่ยวข้องกับการผลักดัน Promotion บนเว็บไซต์ให้เพิ่มการแสดงผลบน SERPs(Search Engine Results Pages) โดยผ่านการ Optimization และ Advertising”

สรุป SEM คือ วิธีการหรือกระบวนการสร้าง traffic และ awareness ที่มาจาก search engines ทั้งในรูปแบบที่เสียเงินและไม่เสียเงิน โดยช่วยให้เข้าถึงลูกค้าใหม่ รวมทั้งแสดงเว็บไซต์ในอันดับต้น ๆ ได้ เป็นส่วนนึงของการทำ Inbound Marketing การตลาดแบบดึงดูดเข้าหาธุรกิจ

SEM จึงถือเป็นกลยุทธ์การตลาดอย่างหนึ่ง ซึ่งนักการตลาดใช้สำหรับยิง ads หรือ optimize โฆษณาเว็บไซต์ของแบรนด์ให้ปรากฏบน search engines ในอันดับสูงกว่าคู่แข่ง

SEM ทำงานอย่างไร มีอะไรบ้าง

เมื่อพอรู้ความหมายและแนวคิดพื้นฐานของ SEM บ้างแล้ว คุณสามารถทำความเข้าใจกลยุทธ์การตลาดออนไลน์นี้ได้ โดยทำความเข้าใจปัจจัยที่ช่วยเสริมให้การทำ SEM ได้ผลดียิ่งขึ้น

เดิมที คุณจะเสิร์ชหาสิ่งที่ต้องการหรืออยากรู้คำตอบจาก search engines อยู่บ่อย ๆ แน่นอนว่ากลยุทธ์ SEM จะช่วยนำพาและผลักดันแบรนด์ให้ขึ้นไปอยู่บนหน้าการค้นหาที่ลูกค้าต้องการได้

Search Engine Marketing ตัวอย่าง

ปัจจัยที่ส่งเสริมให้กลยุทธ์ SEM ประสบผลสำเร็จได้ง่ายขึ้น ประกอบด้วยขั้นตอนการทำงาน ดังนี้

  • ทำความรู้จักและเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร
  • ตั้งเป้าหมายแคมเปญให้ชัดเจนว่าคืออะไร จะวัดผลอย่างไร 
  • ค้นคว้า วางแผน และเตรียมคำหลักหรือ keyword โดยดูว่าจะใช้คำหรือกลุ่มคำใดบ้างสำหรับซื้อโฆษณา
  • จัดกลุ่ม keyword ให้เป็น ad groups 
  • ครีเอทคำโฆษณาที่ดึงดูดคนอ่าน และตอบรับกับอัลกอริธึ่ม
  • ตั้งค่าระบบให้ drive traffic ไปยังหน้า Landing Page ซึ่งเป็นหน้าเพจหรือเว็บไซต์ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการโฆษณาสินค้าหรือบริการครบถ้วน รวมทั้งเป็นจุดที่ช่วยให้กลุ่มเป้าหมาย take action บางอย่างจนสร้าง conversion ได้ตามเป้าหมายแคมเปญที่ตั้งไว้

นอกจากนี้ ยังมีคำศัพท์อื่นที่เกี่ยวเนื่องกับ SEM ที่คุณจำเป็นต้องรู้จักไว้ โดย SEM ถือเป็นคำหลักของวิธีการหรือรูปแบบโฆษณาบน search engines ซึ่งมีคำย่อยหรือ sub set คำอื่น ดังนี้

  • Paid search ads
  • Paid search advertising
  • PPC (Pay-Per-Click)
  • PPC (Pay-Per-Call)
  • CPC (Cost-Per-Click)
  • CPM (Cost-Per-Thousand Impressions)

ตามที่บอกไปในตอนแรก SEM ว่าด้วยวิธีดึง traffic เข้าเว็บไซต์ผ่าน search engines ซึ่งรวมทั้งวิธีเสียเงินและไม่เสียเงิน สิ่งหนึ่งที่ควรทำความรู้จักก็คือที่มาของ traffic แต่ละประเภท ได้แก่ Paid Search และ Organic Search

Search Engine Marketing ตัวอย่าง

PPC หรือ Paid Search คือการทำโฆษณาช่องทางการค้นหา โดย PPC ย่อมาจาก Pay-per-Click คือจ่ายราคาเป็นต่อคลิกนั้นเอง

การทำการตลาดบน search engines ที่ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณา เพื่อดันหน้าเว็บไซต์ให้ปรากฏบน search engines ในกรณีที่มีคนเสิร์ชด้วย keyword หรือ key phrase ที่ bidding ไว้ โดยค่าโฆษณาที่ต้องจ่ายขึ้นอยู่กับจำนวนคลิกหรือวิวตามที่ตั้งค่าไว้แล้ว

ติดบน search engines แต่มีวิธีการไต่อันดับเอง ซึ่งต้องรองรับกับอัลกอริธึ่มของ search engines นั้น ๆ 

นอกจากนี้ Organic Traffic ถือเป็น traffic ที่มีคุณภาพ เพราะ

  • อัลกอริธึ่มจะจับคู่กลุ่มเป้าหมายที่เสิร์ช keyword ตรงหรือใกล้เคียงกับที่เว็บไซต์แบรนด์เล่นคำนั้น ทำให้คุณได้กลุ่มเป้าหมายที่ใช่จริง ๆ
  • หากเว็บไซต์ของคุณปรากฏลำดับต้น ๆ นั่นหมายความว่าคอนเทนต์มีคุณภาพ ซึ่งจะยิ่งดึงดูด traffic คุณภาพเข้ามามากยิ่งขึ้น
  • กลุ่มเป้าหมายเชื่อใจและมั่นใจในแบรนด์ เพราะคอนเทนต์ที่นำเสนอตรงตามความต้องการและตอบโจทย์สิ่งที่พวกเขามองหาอย่างแท้จริง
  • เว็บไซต์ที่ติดหน้าแรกของการค้นหาบนกูเกิล มีโอกาสดึง traffic เข้าเว็บไซต์ตัวเองได้มากถึง 92% จากจำนวนผู้ใช้งานบนกูเกิลทั้งหมด

โดยแต่เสิร์ชเอนจินแต่ละค่ายก็มีเปิดรองรับให้เราสามารถโฆษณาได้ สามารถติดอันดับได้รวดเร็ว ขึ้นโฆษณาได้ทันที

เลือก Keyword ที่ต้องการเพื่อแสดงเว็บไซต์ได้เลย

    • อ่าน PPC หรือ Paid Search แบบเจาะลึกแบบเติม คลิก!

2. SEO(Search Engine Optimization)

Search Engine Marketing ตัวอย่าง

SEO หรือ Organic Search คือการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดันบนเสิร์ชเอนจิน เป็นการปรับปรุงเนื้อหาเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับคำค้นหา มอบเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อ user อย่างธรรมชาติ รวมถึงเว็บไซต์มีการใช้งานเป็นยังไง มอบประสบการณ์ user ได้รับประสบการณ์ที่ดีไหม ความเร็วของเว็บไซต์ ขนาดตัวหนังสือเล็กใหญ่ไปไหม ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่จะเสียในแง่ของเวลา 6 เดือนถึง 1 ปีใน Keyword ยากๆ อีกส่วนนึงคือหากใครจ้างเอเจนซี่จัดการ SEO ให้ก็จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

ส่วนหนึ่งของแนวคิด SEM ว่าด้วยรูปแบบการดึง traffic เข้าเว็บไซต์แบบไม่เสียเงิน ใช้เวลาสร้างฐานกลุ่มเป้าหมายพอสมควร แต่ได้ผลดีในระยะยาว นักการตลาดที่จะจับทางด้านนี้ต้องอัปเดตเทรนด์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งอยู่เสมอ เพราะกลยุทธ์ SEO จะปรับเปลี่ยนไปตามอัลกอริธึ่มของกูเกิลเสมอ 

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องจับทางให้แม่นหากคิดจะมาทาง SEO ก็คือการทำ On-Page และ Off-Page

On-Page ของการทำ SEO ประกอบด้วย

  • การเลือก keyword ปรับใช้ให้เหมาะสมใน title, meta descriptions, heading tags, alt text เป็นต้น
  • การเขียน copy ให้ตอบรับและได้มาตรฐานของระบบอัลกอริธึ่ม
  • การจัดวางหน้าเว็บไซต์เป็นสัดส่วน มี UX ที่ดี ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน
  • ความรวดเร็วในการดาวน์โหลดหน้าเพจแต่ละครั้งต้องไม่ใช้เวลานานเกินไป
  • การได้รับรองมาตรฐานจาก Google
  • การแชร์คอนเทนต์จากผู้ใช้งานด้วยกัน

Off-Page ของการทำ SEO ประกอบด้วย

  • การสร้างสรรค์เนื้อหาที่ดี มีประโยชน์ สามารถใส่ backlink กลับมาหาได้อย่างมีคุณภาพ
  • การสร้างสัญลักษณ์หรือปุ่มสำหรับแชร์เนื้อหาในช่องทางอื่น ๆ
  • การทำ Social Bookmark

โดยความหมายทั้งหมดและแท้จริงแล้ว SEO คือส่วนประกอบนึงของ SEM นั่นเอง แต่ในความเป็นจริงนั้น ปัจจุบันในวงการหลายๆคน ก็มีการใช้ศัพท์คำว่า SEM ใช้เรียกแทน Paid Search หรือ PPC(Pay Per Click Advertising) ไปเลย โดย Search engine land ก็บอกเช่นกันว่าทางนั้นก็เรียก SEM แล้วหมายถึง Paid search แต่ความหมายที่แท้จริง SEM ก็คือทั้ง PPC และ SEO นั้นแหละครับ

หลายๆคนที่เพิ่งรู้จักคำพวกนี้ หรือเริ่มใช้คำพวกนี้อาจจะสับสนในความหมายเชิงบริบทต่างๆ ทั้งสองความหมายไม่มีความหมายไหนผิด ตอนนี้ขอให้ทุกคนเข้าใจความหมายของรากศัพท์จริงๆ และคำที่ใช้ในปัจจุบันที่ผมกล่าวไปข้างต้นว่ามีความหมายอย่างไร

SEO หรือ PPC ดีกว่ากัน ?

เป็นคำถามที่หลายๆคนมักสงสัยว่าถ้าเริ่มทำการตลาดที่จะโปรโมทเว็บไซต์นี้ จะเริ่มจากตัวไหนก่อนดี ก่อนอื่นเลยเราต้องมาดูที่ข้อดี ข้อเสียของแต่ละตัวก่อน

Search Engine Marketing ตัวอย่าง

หลักๆเลยจะเป็นเรื่องของเวลาและจำนวน Keywords SEO มีข้อจำกัดในเรื่องเวลาที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน คีย์เวิร์ดที่จำกัด การแข่งขันที่สูง แต่จะแลกมาด้วยความน่าเชื่อถือและยอดคนค้นหาเข้ามาในระยะยาว ส่วน PPC หรือ Paid Search Advertising นั้นจะใช้เวลาค่อนข้างสั้น สามารถลองคีย์เวิร์ดได้หลายคำหลายรูปแบบ

ในมุมมองของผมนั้นผมมองว่าต้องแบ่งเป็น 2 ช่วง ก่อนคือ ช่วงแรกที่เราต้องการโปรโมทเว็บไซต์ในทันทีนั้น ให้ทำ PPC ก่อนเพื่อสามารถแสดงผลได้ทันที

และในช่วงระยะยาวนั้นให้เราทำ SEO ควบคู่ไปด้วย โดยการคัดเอาคำที่มี Result ที่ดีจากแพลตฟอร์ม PPC เอามาใช้ในการทำ SEO ต่อ

คนที่รีบอยากทำ SEO หลายๆคนมักลืมคำนึงถึง รวมถึงการไปเลือก Keyword ที่ใช้ทำ SEO โดยการคำนึงถึงเพียงจำนวนคนค้นหาต่อเดือนที่ขอเยอะๆไว้ จนลืมคิดไปว่าคำๆนั้น ให้อะไรคืนกลับมาที่ธุรกิจเราจริงๆไหม ?

เราต้องยอมรับว่า SEO ก็มีข้อจำกัดในด้านปริมาณคำที่จะสามารถใช้ได้ เรื่องของเวลาและการแข่งขัน

ส่วน PPC ก็มีต้นทุนในเรื่องของราคา การดู ROI จึงค่อนข้างสำคัญ ดังนั้นการจะบอกว่าตัวไหนดีกว่าตัวไหนคงไม่สามารถบอกได้ ผมมองว่าต้องใช้งานคู่กันหรือมองตามบริบทต่างๆ ถึง SEO จะติดอันดับการค้นหาไปแล้ว แต่ก็ยังมีหลายๆคำที่เราไม่สามารถจะแข่งขัน หรือเราไม่สามารถจะเล่นคำคีย์เวิร์ดพวกนั้นใน SEO ได้หมด เราก็ยังต้องอาศัย PPC อยู่ดี หรือใช้ในเรื่องของการแย่งพื้นที่แสดงโฆษณาเพิ่มเติมก็ทำได้

Search Engine Marketing ตัวอย่าง

สรุป ทั้ง PPC และ SEO มีจุดเด่นในตัวเอง ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของแพลตฟอร์มแต่ละตัวและเลือกหยิบใช้อย่างถูกจุด มันจะส่งผลดีต่อธุรกิจของท่านอย่างมาก และการที่เราจะนำเครื่องมือต่างๆมาใช้กับองค์กรเรานั้น เราจะใช้เครื่องมือเพียงเครื่องมือเดียวมันคงไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ใครที่ทำ Facebook ads หรือ Google ads เพียงอย่างเดียว ลองมองบริบทของตัวธุรกิจว่าสามารถทำการตลาดรูปแบบอื่นได้ไหม แล้วขยายช่องทางดู ไม่มีตัวไหนดีกว่าตัวไหนครับ อย่างที่ผมบอกไปครับ เข้าใจธรรมชาติของแต่ละแพลตฟอร์ม

ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเรื่องควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการทำ SEM หากอยากรู้การทำแคมเปญออนไลน์บน Search Engines แต่ละวิธี ต้องทำอย่างไรบ้าง และมีเทคนิคอะไรที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นไปอยู่หน้าแรกได้นั้น ต้องติดตามบทความต่อไป รวมทั้งอัปเดตทุกเรื่องการตลาดออนไลน์ได้ ที่นี่ใครที่อยากได้อัพเดทลึกๆใหม่ๆ ก่อนใคร
รวมถึงพูดคุยแชร์เทคนิคกัน คลิก Thai Digital Marketing Hub – ความรู้การตลาดออนไลน์

ขอบคุณภาพจาก:
freepik.com, pixabay.com
thedigitalonlinemarketing.info
mandrakeforum.com