พระนางมัลลิกา ที่มีบทบาทสำคัญในพระพุทธศาสนามีอยู่ 2 คน คนหนึ่งเป็นธิดาของนายมาลาการ (ช่างทำดอกไม้) ในเมืองสาวัตถี ต่อมาได้เป็นมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระนางมัลลิกาอีกคนหนึ่งเป็นธิดาของมัลละกษัตริย์องค์หนึ่ง ในเมืองกุสินารา ภายหลังได้สมรสกับพันธุละเสนาบดี ซึ่งพระนางมัลลิกาที่จะศึกษาในที่นี้ หมายถึง พระนางผู้เป็นภรรยาของพันธุละเสนาบดี Show พระนางมัลลิกาเป็นราชธิดาของมัลลกษัตริย์พระองค์หนึ่งในเมืองกุสินาราแห่งแคว้นมัลละ พระนางเป็นหญิงเบญจกับยาณีที่มีความงามพร้อมทุกสัดส่วน คือ มีผมงาม ริมฝีปากงาม ฟันงาม ผิวพรรณงาม และวัยงาม เมื่อเจริญวัย พระนางมัลลิกาก็ได้สมรสกับเสนาบดีพันธุละ โอรสของมัลลกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งในเมืองกุสินาราเช่นกัน จากนั้นได้พากันอพยพไปอยู่เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล เพื่อไปพึ่งบารมีพระเจ้าปเสนทิโกศลผู้เป็นพระสหายสนิท พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบว่า เสนาบดีพันธูละ พระสหายมีฝีมือในการทำสงคราม จึงโปรดแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีบัญชาการกองทัพ เมื่อพระพุทธเจ้า ได้เสด็จมาประกาศพระศาสนา ณ แคว้นโกศล ทำให้ศาสนาได้แพร่หลายที่เมืองสาวัตถี ประชาชนพากันนับถือพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ได้มีการสร้างวัดพระพุทธศาสนาขึ้น 2 วัด คือ วัดเชตวัน สร้างถวายโดยอนาถบิณฑิกเศรษฐี และวัดบุพพาราม สร้างถวายโดยนางวิสาขา เสนาบดีพันธุละและพระนางมัลลิกาได้มีโอกาสฟังธรรมของพระพุทธเจ้าและได้ นับถือพระพุทธศาสนาจากวัดทั้งสองแห่งนี้ เสนาบดีพันธุละและ พระนางมัลลิกาได้สมรสกันแล้วหลายปี แต่ไม่มีบุตรธิดาด้วยกัน ตามธรรมเนียมอินเดียสมัยนั้นถือว่าเคร่งครัดว่า ถ้าสตรีใดไม่มีบุตรกับสามี สตรีนั้นเป็นอัปมงคล เสนาบดีพันธุละจึงส่งพระนางมัลลิกากลับเมืองกุสินารา การส่งพระนางมัลลิกากลับนั้นเท่ากับไม่ยอมรับความเป็นภรรยาสามี พระนางมัลลิกาจึงยอมกลับบ้านเมืองของตน ก่อนกลับให้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าที่เชตวัน พระพุทธเจ้าตรัสถาม ทรงทราบความจริงแล้วตรัสแก่พระนางมัลลิกาว่า ไม่ต้องกลับไปบ้านหรอก กลับไปอยู่กับท่านเสนาบดีพันธุละเถิด เสนาพันธุละได้เห็นพระนางมัลลิกากลับมา จึงถามว่า กลับมาทำไม เมื่อพระนางมัลลิกาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้ว เสนาพันธุละจึงรำพึงว่า พระพุทธเจ้าคงเห็นการณ์ไกลบางอย่าง จึงให้พระนางมัลลิกากลับ เสนาบดีพันธุละจึงรับพระนางมัลลิกาไว้เป็นชายาตามเดิม ต่อมาไม่นานนัก พระนางมัลลิกาได้ตั้งครรภ์ เมื่อครบกำหนดแล้วคลอดบุตรแฝดเป็นชายทั้งคู่ เสนาบดีพันธุละกับพระนางมัลลิกาอยู่ร่วมกันมีบุตรชายอีก 32 คน ล้วนแฝดทั้งสิ้น เมื่อทุกคนเติบโตก็ได้รับการศึกษาเล่าเรียน และได้เข้ารับราชการทหารในกองทัพ เสนาบดีพันธุละเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นคนซื่อตรง จนได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าปเสนทิโกศลให้เป็นผู้มีหน้าที่ปรบปรามข้าราชการที่ทุจริต ซึ่งเสนาบดีพันธุละได้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดี เป็นที่เคารพเชื่อถือของประชาชนทั่วไป แต่การปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามข้าราชการที่ทุจริตคดโกงนี้ได้ทำให้เสนาบดีพันธุละมีศัตรูมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการที่สูญเสียผลประโยชน์และอำนาจ จึงได้ยุยงและใส่ความว่า เสนาบดีพันธุละคิดจะแย่งอำนาจราชบัลลังก์จากพระเจ้าปเสนทิโกศล ครั้งแรกพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงไม่เชื่อ แต่หนักๆ เข้าก็มีพระทัยหวั่นไหว ทั้งนี้เพราะได้สังเกตเห็นความนับถือของประชาชนชาวเมืองที่มีต่อเสนาบดีพันธุละ พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงให้คณะนายทหารวางแผนฆ่าเสนาบดีพันธุละ พร้อมกับบุตรชายทุกคนที่เป็นนายทหาร พระนางมัลลิกาทรงทราบข่าวร้ายจากผู้ที่หวังดีที่แอบเขียนจดหมายส่งข่าวมาบอกว่า สามีและบุตรชายของนางทุกคนถูกฆ่าตาย ซึ่งในขณะนั้นพระนางมัลลิกากำลังทำบุญเลี้ยงพระที่บ้าน การทำบุญเลี้ยงพระในครั้งนั้น พระนางมัลลิกาได้นิมนต์พระสารีบุตรมาเป็นประธานสงฆ์ ขณะที่กำลังทำบุญเลี้ยงพระอยู่นั้น หญิงรับใช้ได้ยกถาดอาหารออกมาเพื่อจะถวายพระสารีบุตรหกล้ม ทำให้ถาดอาหารหลุดมือตกลงแตกกระจายต่อหน้าพระสารีบุตรและพระนางมัลลิกา พระสารีบุตรจึงกล่าวเป็นทำนองให้สติพระนางมัลลิกาว่า สิ่งของแตกสลายเป็นเรื่องธรรมดา มันแตกสลายไปแล้วก็ช่างเถอะ อย่าได้คิดเสียใจเลย เมื่อพระนางมัลลิกาได้ยินพระสารีบุตรกล่าวดังนั้น ก็ได้หยิบจดหมายลับซึ่งแจ้งข่าวร้ายเกี่ยวกับการตายของสามีและลูกๆ ของนางออกมาอ่านให้พระสารีบุตรฟัง พร้อมกับกล่าวว่า สิ่งของที่แตกสลายนี้ดิฉันทำใจได้ ไม่คิดเสียใจแต่อย่างใด แม้แต่ข่าวร้าย คือ การตายของพระสวามีและลูกๆ ของดิฉันยังทำใจได้ไม่เสียใจเลย เมื่อพระสารีบุตรพร้อมด้วยพระสงฆ์ฉันภัตตาหารเสร็จแล้วได้กล่าวอนุโมนทาแก่พระนางมัลลิกาว่า ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ไม่มีเครื่องหมายบอกให้รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ได้ ทั้งลำบาก ทั้งอายุสั้น ซ้ำเต็มไปด้วยความทุกข์ ภายหลังทำบุญ เลี้ยงพระเสร็จแล้ว พระนางมัลลิกาได้เรียกลูกสะใภ้ทุกคนมา และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พร้อมกับสอนลูกสะใภ้ว่า พวกเจ้าอย่าได้พยาบาทอาฆาตพระเจ้าปเสนทิโกศล ขอให้คิดว่าบิดาและสามีของพวกเจ้าต้องตายครั้งนี้ไม่มีความผิด เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ตายเพราะถูกคำยุยง เนื่องมาจากความอาฆาตริษยา ขอให้คิดว่าบิดาและสามีของพวกเจ้าตายเพราะกรรมเก่าที่เคยทำมาก่อน ขอให้พวกเจ้าทุกคนอย่าได้โกรธและอาฆาต เพราะจะเป็นเวรติดตัวต่อไปอีก ขอให้อภัยแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อเสนาบดีพันธุละและบุตรชายทั้งหมดถูกฆ่าตายแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ส่งหน่วยสืบราชการลับติดตามความเคลื่อนไหวของพระนางมัลลิกาทุกฝีก้าว ทรงทราบเรื่องพระนางมัลลิกาทำบุญเลี้ยงพระ และเรื่องที่พระนางมัลลิกาประชุมลูกสะใภ้ที่บ้าน เพื่อให้อภัยแก่พระองค์ พระองค์ทรงเสียพระทัยยิ่งนัก แต่ก็สายเสียแล้ว พระองค์จึงเสด็จไปที่บ้านของพระนางมัลลิกา แล้วทรงสารภาพว่าพระองค์เป็นฝ่ายผิด ขอให้พระนางมัลลิกายกโทษให้พร้อมกับพระราชทานโอกาสแก่พระนางมัลลิกาว่าต้องการอะไรขอให้บอก จะพระราชทานให้ทุกอย่าง พระนางมัลลิกาจึงฉวยโอกาสขอพระราชทานอนุญาตกกลับไปเมืองกุสินารา บ้านเดิมของตน พระเจ้าปเสนทิโกศลจำต้องพระราชทานโดยไม่เต็มพระทัยนัก แต่เพื่อชดเชยกับเรื่องนี้ พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้ทรงแต่งตั้งนายทหารผู้หนึ่งชื่อ ทีฆการายนะ ซึ่งเป็นหลานชายของเสนาบดีพันธุละขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่สืบแทนตำแหน่งของเสนาบดีพันธุละ พระนางมัลลิกาและลูกสะใภ้ได้กลับมาอยู่ที่เมืองกุสินาราด้วยความผาสุก โดยวางใจตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา เมื่อพระพุทธเจ้า เสด็จมาเมืองกุสินาราและเสด็จปรินิพพานที่นั้น พระนางมัลลิกาและลูกสะใภ้ก็ได้พากันไปนมัสการพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า ด้วย พระนางมัลลิกาได้อยู่ที่เมืองกุสินาราด้วยความสุขจนสิ้นชีวิต คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง
|