Show
4 คุณสมบัติ ใช้ลดระยะเวลาวิทยฐานะแบบใหม่ สายงานการสอนกลุ่มประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ ก.ค.ศ. ประกาศใช้หลักเกณฑ์การประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะ (ใหม่) 4 สายงานวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ.ลงนามในหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. แจ้งหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ใหม่) หรือเกณฑ์ PA ทั้ง 4 สายงาน ได้แก่ สายงานการสอน (ว 9/2564) สายงานบริหารสถานศึกษา (ว 10/2564) สายงานนิเทศการศึกษา (ว 11/2564) และสายงานบริหารการศึกษา (ว 12/2564) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติ โดยจะเริ่มใช้หลักเกณฑ์ใหม่นี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นไป โดย รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวว่า การจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินฯ ทั้ง 4 สายงานนี้ สืบเนื่องจากที่ ก.ค.ศ. ได้เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ทุกสายงาน ทุกตำแหน่ง และทุกวิทยฐานะ ใหม่ ซึ่งเป็นการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบและลักษณะงานที่ปฏิบัติให้สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก จึงเป็นที่มาของการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่ง และวิทยฐานะใหม่ทั้ง 4 สายงานด้วย โดยที่หลักเกณฑ์ใหม่นี้จะเป็นประโยชน์กับผู้เรียน สถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับครู ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ และผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา ให้ได้มีการพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพสูงขึ้นตามระดับวิทยฐานะ และทำให้กระบวนการพัฒนาผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ การจัดการศึกษา มีแนวทางในการพัฒนาที่ชัดเจน สามารถนำมากำหนดแผนพัฒนาการนิเทศการศึกษา หรือแผนพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน และที่สำคัญเป็นการลดกระบวนการและขั้นตอนโดยนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ (ระบบ Digital Performance Appraisal : DPA) เพื่อเป็นการลดภาระในการจัดทำเอกสารและงบประมาณการประเมิน รวมถึงเกิดการเชื่อมโยง บูรณาการในระบบการประเมินวิทยฐานะ การประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อเลื่อนเงินเดือน และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะไปในคราวเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ลดความซ้ำซ้อนในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล และเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และหลังจากนี้จนถึงเดือนตุลาคม 2564 สำนักงาน ก.ค.ศ. จะได้มีการสื่อสาร และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินฯ ดังกล่าว ให้กับข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านช่องทางการสื่อสารของสำนักงาน ก.ค.ศ. ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับข้าราชการครู บุคลากรศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้องได้ใช้เป็นแหล่งข้อมูลกลางในการเข้าศึกษารายละเอียดของหลักเกณฑ์ดังกล่าวต่อไป
กลุ่มประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ ก.ค.ศ. ยืนยัน เกณฑ์ ว 9/2564 เป็นธรรม ชี้เป็นระบบพัฒนาวิชาชีพครูใหม่ โดยเน้นผลลัพธ์ของผู้เรียนเป็นสำคัญวันที่ 11 มิถุนายน 2564 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ.เป็นผู้รับรายชื่อข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู (ว 9/2564) ซึ่งประกาศ ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 จาก น.ส. ศริญญา สุกใส ประธานชมรมข้าราชการครูแห่งประเทศไทย พร้อมตัวแทนครู หลังจากที่ช่วงเช้าได้มีการยื่นหนังสือร้องเรียน ต่อ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยขอให้ สำนักงาน ก.ค.ศ. พิจารณาเยียวยาครูคาดว่าจะที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศใช้หลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะแบบใหม่ รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวว่า การดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ได้มีการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ทำความเข้าใจเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่หลักเกณฑ์และวิธีการ ฯ ประเมินวิทยฐานะใหม่ (ว 9/2564) ตั้งแต่ปี 2563 อย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดกับผู้เรียนเป็นสำคัญ สำหรับกรณีที่ประธานชมรม ฯ ได้ยื่นหนังสือถึงสำนักงาน ก.ค.ศ.ขอให้พิจารณาเยียวยาครูที่อาจได้รับผลกระทบจากการประกาศใช้หลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าว พิจารณารายละเอียดแล้วเห็นว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งตนได้ชี้แจงข้อเท็จจริงกับครูกลุ่มดังกล่าวจนเกิดความเข้าใจแล้ว พร้อมยืนยันว่าครูยังสามารถเลือกประเมินวิทยฐานะตามหลักเกณฑ์เดิมได้ ส่วนผู้ที่จบปริญญาโท และได้บรรจุเป็นครูในปี 2560 หากไม่สามารถใช้วุฒิปริญญาโทในการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะครั้งนี้ก็สามารถนำวุฒิไปใช้ในการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะในครั้งถัดไปได้ ไม่มีการเสียสิทธิอย่างแน่นอน พร้อมทั้งขอยืนยันว่าการปรับปรุงหลักเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่ นี้ จะเป็นประโยชน์กับผู้เรียน สถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และที่สำคัญจะเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาในภาพรวมของประเทศ โดยขอให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เปลี่ยนแนวคิดว่า "ทำแล้วตัวเองจะได้อะไร แต่ให้คิดว่าทำแล้วเด็กจะได้อะไร" ทั้งนี้ประธานชมรมข้าราชการครูแห่งประเทศไทยและคณะ ได้เข้าใจเรื่องดังกล่าวโดยละเอียดแล้ว และมีความพึงพอใจก่อนเดินทางกลับ รศ.ดร.ประวิต กล่าว ภาพ / ข่าว : กลุ่มประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ การประชุมสัมมนาเพื่อจัดทำข้อมูลการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
วันที่ 9 มิถุนายน 2564 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาเพื่อจัดทำข้อมูลการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ณ ห้องประชุมจรูญ มิลินทร์ ชั้น 7 อาคารรัชมังคลาภิเษก สำนักงาน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษาธิการ สืบเนื่องจากสำนักงาน ก.ค.ศ. ได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู (ว 9/2564) ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา (ว 10/2564) ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ (ว 11/2564) และตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา (ว 12/2564) นั้นสำนักงาน ก.ค.ศ. พิจารณาเห็นว่า เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในทุกตำแหน่ง เกิดความเข้าใจในหลักเกณฑ์และวิธีการประเมิน ฯ ดังกล่าว จึงได้จัดการประชุมสัมมนาเพื่อจัดทำคู่มือการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ และตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา เพื่อให้ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาหารือเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับภาระงาน แบบข้อตกลงในการพัฒนางาน แบบประเมินผลการพัฒนางานตามข้อตกลง ตัวชี้วัด และแบบประเมินเพื่อให้มีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะ ก่อนนำเสนอ ก.ค.ศ. พิจารณาให้ความเห็นชอบให้สามารถนำคู่มือการประเมิน ฯ ในตำแหน่งครู และตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ไปทดลองโดยนำร่องกับสถานศึกษาแต่ละสังกัด แต่ละขนาด และแต่ละประเภทการจัดการศึกษา เพื่อศึกษาวิเคราะห์ผลการทดลองใช้และนำมาปรับปรุงคู่มือการประเมิน ฯ ดังกล่าว ก่อนนำไปปฏิบัติพร้อมกันทั่วประเทศ โดยได้เชิญที่ปรึกษาสำนักงาน ก.ค.ศ. ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.ค.ศ. ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม สำหรับการประชุมในครั้งนี้ได้ปฏิบัติตามแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างเคร่งครัด เช่น การใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า การเว้นระยะห่าง การตรวจวัดอุณหภูมิ และจุดบริการแอลกอฮอล์ เจล รวมถึงกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมการประชุมด้วย
ระพีพรรณ จวงถาวร : ภาพ ศรายุทธ มาทัพ หัวหน้ากลุ่มประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ : ข่าว / Editor การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำตัวชี้วัดและแบบประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 3 สายงาน
วันที่ 30 มีนาคม 2564 รศ.ดร. ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นประธานเปิดการประชุม และบรรยายพิเศษ ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำตัวชี้วัดและแบบประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 3 สายงาน ณ โรงแรมนูโว ชิตี กรุงเทพมหานคร สืบเนื่องจากการที่ ก.ค.ศ. ได้อนุมัติปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะของข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงได้อนุมัติหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะ ทุกสายงาน (สายงานการสอน สายงานบริหารสถานศึกษา สายงานนิเทศการศึกษา สายงานบริหารการศึกษา) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ซึ่งหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะฯ ดังกล่าว ได้กำหนดให้มีตัวชี้วัดในการประเมินด้วย ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการจัดทำตัวชี้วัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้จัดการประชุมในครั้งนี้ขึ้น เพื่อรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ และร่วมกันพิจารณาจัดทำตัวชี้วัดและแบบประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 3 ตำแหน่ง ได้แก่ ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ และตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ให้มีรายละเอียดตัวชี้วัดที่ใช้สำหรับการประเมิน มีความเหมาะสม เกิดประโยชน์สูงสุดกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของตำแหน่งต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงกันทั้งระบบ โดยได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่หลากหลาย ผู้แทนส่วนราชการ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่ปรึกษาสำนักงาน ก.ค.ศ. ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.ค.ศ. เข้าร่วมการประชุม เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ก่อนที่สำนักงาน ก.ค.ศ. จะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ธาริณี นาคเมธี : ภาพ / ข่าว ศรายุทธ มาทัพ หัวหน้ากลุ่มประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ : Editor ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 10/2564ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 10/2564 ในวันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564 โดยมีนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานการประชุม และมี รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นเลขานุการการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้ 1. เห็นชอบ วิธีการดำเนินการบริหารจัดการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปี พ.ศ. 2564โดยมอบ สพฐ. ดำเนินการจัดสอบภาค ก ความรู้ความสามารถทั่วไป และ ภาค ข มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ในอำนาจหน้าที่ของ กศจ. และ อ.ก.ค.ศ. สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ การใดที่ กศจ. ได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ว 14/2563 ไปแล้ว ให้ส่งมอบให้ สพฐ. เพื่อดำเนินการต่อไป จากที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ดำเนินการเปิดรับสมัครบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปี พ.ศ. 2564 และประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบภาค ก และภาค ข เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ปรากฏว่าเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถดำเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปี พ.ศ. 2564 ได้ตามกำหนดการสอบเดิมทำให้เกิดผลตามมาในด้านคุณภาพของการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษา คุณภาพของผู้เรียนและการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของทั้งประเทศ ดังนั้น เพื่อให้การสอบแข่งขันฯ สามารถดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพได้ในสภาวการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเป็นไปตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) จึงให้ผู้มีสิทธิสอบ ภาค ก และ ภาค ข ตามที่ได้ประกาศรายชื่อไว้แล้วแจ้งความประสงค์ในการเข้าสอบในจังหวัดที่ตนเองพักอาศัยในปัจจุบัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเคลื่อนย้ายของผู้เข้าสอบในการเดินทางไปสอบในจังหวัดที่ได้ยื่นใบสมัครไว้ 2. อนุมัติ (ร่าง)
หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงาน กศน. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการสำนักงาน กศน. จังหวัดกรุงเทพมหานคร สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเนื่องจาก ก.ค.ศ. ได้กำหนด มาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหม่ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครเข้ารับการคัดเลือก 1.1 ผู้มีสิทธิสมัครเข้ารับการคัดเลือกต้องเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงาน กศน. และปัจจุบันต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งเดียวกันกับตำแหน่งที่สมัครเข้ารับการคัดเลือก 1.2 คุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 1.3 เป็นผู้มีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง ตามมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ 2. กำหนดหลักสูตรการคัดเลือก ประกอบด้วย 3 ภาค ดังนี้ ภาค ก ความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการบริหารงานในหน้าที่ การวิเคราะห์กฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานและการนำไปใช้ (คะแนนเต็ม 100 คะแนน) ภาค ข ความสามารถทางการบริหาร (คะแนนเต็ม 100 คะแนน) ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง (คะแนนเต็ม 100 คะแนน) 3. เกณฑ์การตัดสิน 3.1 ผู้ผ่านการคัดเลือกต้องได้คะแนน ภาค ก และภาค ข แต่ละภาคไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบ 3.2 ผู้ผ่านการคัดเลือกต้องได้คะแนน ภาค ค ไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบ 3.3 ผู้ได้รับการคัดเลือกต้องได้คะแนนรวม ภาค ก ภาค ข และภาค ค ไม่ต่ำกว่าร้อยละหกสิบและ 4. ให้ อ.ก.ค.ศ. สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้กำหนด จำนวนตำแหน่งว่างที่จะใช้บรรจุและแต่งตั้ง วันและเวลาในการคัดเลือก องค์ประกอบ ตัวชี้วัด คะแนนการประเมิน ภาค ข และ ภาค ค และการประเมินสัมฤทธิผลการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งการบริหารจัดการเกี่ยวกับการออกข้อสอบ และเป็นผู้ดำเนินการคัดเลือก 5. กำหนดระยะเวลาการขึ้นบัญชีผู้ได้รับการคัดเลือก ไม่เกินสองปี 6. กำหนดให้ผู้ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามหลักเกณฑ์และวิธีการนี้ ต้องได้รับการประเมินสัมฤทธิผลการปฏิบัติงานในหน้าที่เพื่อพัฒนาการศึกษาเป็นระยะเวลา 1 ปี 3. เห็นชอบ การกำหนดตำแหน่งอื่นที่ ก.ค.ศ. เทียบเท่าตามมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ สำหรับการกำหนดตำแหน่งอื่นที่ ก.ค.ศ. เทียบเท่าเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งนั้น มีจำนวน 11 ตำแหน่ง ประกอบด้วย 1) ครู 2) รองผู้อำนวยการสถานศึกษา 3) ผู้อำนวยการสถานศึกษา 4) รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 5) ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 6) รองผู้อำนวยการสำนักงาน กศน.จังหวัด/รองผู้อำนวยการสำนักงาน กศน.กรุงเทพมหานคร 7) ผู้อำนวยการสำนักงาน กศน.จังหวัด/ผู้อำนวยการสำนักงาน กศน.กรุงเทพมหานคร 8) ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนอำเภอ 9) รองผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด 10) ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด 11) ศึกษานิเทศก์ โดยกำหนดตำแหน่งที่เทียบเท่าไว้เช่นเดิม ซึ่งเป็นตำแหน่งตาม พรบ. ข้าราชการครู พ.ศ. 2523 เพื่อให้ผู้ที่สามารถเข้าสู่ตำแหน่งนั้น สามารถเข้าสู่ตำแหน่งเพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพ 4. อนุมัติ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดตำแหน่งเพื่อบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เนื่องจากจำนวนการเกิดของประชากรในอนาคตที่มีจำนวนลดลง ทำให้จำนวนประชากรที่จะเข้าเรียนลงลดประกอบกับมีการปรับปรุงการปฏิรูปการศึกษา และปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยและหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะส่งผลให้อนาคตจะมีสถานศึกษาขนาดเล็กกระจายตัวอยู่นอกเขตเมืองเพิ่มมากขึ้น ก.ค.ศ. จึงได้กำหนดเกณฑ์อัตราฯ ตาม ว 23/2564 ขึ้น ซึ่งหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าว ได้กำหนดให้มีครูในสาขาวิชาเอกต่าง ๆ เพียงพออย่างเหมาะสม ไม่เกิดการกระจุกตัวของครูในสาขาใดสาขาหนึ่ง นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการได้มีนโยบายในการควบรวมสถานศึกษา และได้มีการกำหนดตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษาเกิดขึ้นในสถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 120 คนขึ้นไป ส่งผลทำให้อัตรากำลังสายงานการสอนของสถานศึกษาขนาดต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงไป ก.ค.ศ. จึงได้ศึกษา วิเคราะห์หลักเกณฑ์และวิธีการเกลี่ยอัตรากำลังฯ ที่มีอยู่เดิม เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์อัตรากำลังที่กำหนดใหม่ และเพื่อประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอนและสามารถตอบโจทย์ด้านการบริหารสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าว ได้กำหนดวิธีการบริหารอัตรากำลังฯ ออกเป็น 3 กลุ่ม ตามรายละเอียดดังนี้ กลุ่มที่ 1การบริหารอัตรากำลัง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการควบรวมสถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการเป็นกรณีการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือน ไปกำหนดในสถานศึกษาแห่งใหม่ ทำได้ทั้งภายในจังหวัดและต่างจังหวัด มี 2 วิธี วิธีที่ 1 ตัดโอนตำแหน่งฯ สายงานการสอนจากสถานศึกษา ที่ยุบ รวม เลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไปกำหนดเป็นสายงานการสอน ในสถานศึกษาแห่งใหม่ ที่มีอัตรากำลังสายงานการสอนต่ำกว่าเกณฑ์ วิธีที่ 2 ตัดโอนตำแหน่งฯ สายงานบริหารสถานศึกษาจากสถานศึกษา ที่ยุบ รวม เลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ไปกำหนดเป็นสายงานการสอนหรือสายงานบริหารสถานศึกษา ในสถานศึกษาแห่งใหม่ที่มีอัตรากำลังสายงานการสอนหรือสายงานบริหารสถานศึกษาต่ำกว่าเกณฑ์ กลุ่มที่ 2 การบริหารอัตรากำลัง เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามเกณฑ์อัตรากำลัง ว 23/2563 ที่ต้องการให้โรงเรียนมีครูที่เหมาะสมกับภาระงาน และมีครูครบในสาขาวิชาเอกแบ่งได้เป็น 2 วิธี วิธีที่ 1 “การปรับปรุงการกำหนดตำแหน่ง” ซึ่งจะกระทำได้ภายในสถานศึกษานั้น เท่านั้น ได้แก่ 1) ปรับปรุงสายงานการสอนเป็นสายงานการสอน 2) ปรับปรุงสายงานการสอนเป็นสายงานบริหารสถานศึกษา และ 3) ปรับปรุงสายงานบริหารสถานศึกษาเป็นสายงานการสอน ทั้งนี้ สถานศึกษานั้น ๆ ต้องมีอัตรากำลังสายงานที่รับการปรับปรุงต่ำกว่าเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กำหนด วิธีที่ 2 “การตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือน” เป็นการตัดโอนไปกำหนดในสถานศึกษาแห่งใหม่ ซึ่งจะกระทำได้ภายในจังหวัดเท่านั้น เท่านั้น ได้แก่ 1) ตัดโอนสายงานการสอนเป็นสายงานการสอน 2)
ตัดโอนสายงานการสอนเป็นสายงานบริหารสถานศึกษา และ ๓) ตัดโอนสายงานบริหารสถานศึกษาเป็นสายงานการสอน ทั้งนี้ สถานศึกษาที่รับการตัดโอนต้องมีอัตรากำลังสายงานที่รับการตัดโอนต่ำกว่าเกณฑ์ กลุ่มที่ 3 การบริหารอัตรากำลัง กรณีกระทรวงศึกษาธิการอนุมัติให้ถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นกรณีการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือน ไปกำหนดในสถานศึกษาแห่งใหม่ ได้ทั้งภายในจังหวัดและต่างจังหวัด 5. เห็นชอบ (ร่าง) ระเบียบ ก.ค.ศ.เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษจากสภาพการทำงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ..... ตามที่มาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 บัญญัติให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอาจได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตามระเบียบที่ ก.ค.ศ. กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี รวมถึงแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 ยุทธศาสตร์ที่ 6 การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษา กำหนดให้สำนักงาน ก.ค.ศ. เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการพัฒนาระบบเงินเดือนและค่าตอบแทน สำหรับครูที่มีสมรรถนะสูง และครูที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดารเสี่ยงภัย และพื้นที่พิเศษ ซึ่ง ก.ค.ศ. ได้นำรายละเอียดข้อมูลที่ได้ศึกษาจากการลงพื้นที่เพื่อดูสภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่จริงมาวิเคราะห์และพิจารณาแนวทางการกำหนดอัตราเงินเพิ่มพิเศษสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ต้องปฏิบัติงานด้วยความเสียสละ อดทนสูง มีความยากลำบาก ตรากตรำในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตลอดจนต้องใช้ความรู้ความชำนาญ และความเอาใจใส่ต่อผู้เรียนเป็นพิเศษ ซึ่งสมควรกำหนดให้ได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ โดยมีสาระสำคัญของ (ร่าง) หลักเกณฑ์ฯ ดังนี้ 1. กำหนดเหตุพิเศษ จากปฏิบัติงานด้วยความเสียสละ อดทนสูง ขาดโอกาสในการพัฒนาตนเอง ทั้งนี้ นักเรียนพักนอน หมายถึง ผู้เรียนที่ศึกษาและต้องพักนอนอยู่ในสถานศึกษา เนื่องจากไม่สามารถเดินทางไป – กลับระหว่างสถานศึกษาและบ้านพักได้ภายในวันเดียวกัน เนื่องจากความยากลำบากในการเดินทาง โดยความเห็นชอบของส่วนราชการต้นสังกัดและโดยอนุมัติของ ก.ค.ศ. และกลุ่มชาติพันธุ์ หมายถึง กลุ่มชาติพันธุ์ตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด 2. ผู้มีสิทธิได้รับเงินเพิ่ม ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานการสอน และสายงานผู้บริหารสถานศึกษา ที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษา ดังนี้ (1) สถานศึกษาตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔ แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการครูฯ พ.ศ. 2547 (2) โรงเรียนสาขา/ห้องเรียนสาขาที่ส่วนราชการต้นสังกัดกำหนด (3) สถานที่จัดการเรียนการสอนที่ส่วนราชการต้นสังกัดกำหนด โดยอนุมัติของ ก.ค.ศ. หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ กศจ. ที่ได้รับมอบหมาย โดยสถานศึกษาต้องมีพื้นที่ตั้งเป็นเกาะ หรือบนภูเขาสูง หรือหุบเขา หรือเชิงเขา ที่ไม่สามารถเดินทางด้วยพาหนะใด ๆ ได้สะดวกตลอดปี หรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ หรือพื้นที่อื่นตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด 3. อัตราเงินเพิ่ม 3,000 บาท/เดือน โดยให้จ่ายเป็นรายเดือนในลักษณะจ่ายควบกับเงินเดือน และไม่นำไปรวมคำนวณบำเหน็จบำนาญ กรณีปฏิบัติงานไม่เต็มเดือน ให้ได้รับเงินเพิ่มตามส่วนของจำนวนวันที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการนำ (ร่าง) ระเบียบ ก.ค.ศ. เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษจากสภาพการทำงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ..... เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
กลุ่มประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ สำนักงาน ก.ค.ศ. ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 2/2564ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 2/2564 ในวันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 โดยมีนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่สำคัญ ดังนี้ 1. เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา สืบเนื่องจาก ก.ค.ศ. ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ได้เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่งและทุกวิทยฐานะ สำหรับตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งได้กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบใหม่ ให้สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งกำหนดลักษณะงานที่ปฏิบัติ 5 ด้าน คือ 1. ด้านการบริหารวิชาการและความเป็นผู้นำทางวิชาการ 2. ด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา 3. ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรม 4. ด้านการบริหารงานชุมชนและเครือข่าย และ 5. ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ รวมถึงการกำหนดคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งซึ่ง ก.ค.ศ. ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานการสอนไปแล้ว และเพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมถึงโมเดลการศึกษายกกำลังสอง ของกระทรวงศึกษาธิการ “ปลดล็อก ปรับเปลี่ยน เปิดกว้าง” จึงเป็นที่มาของการจัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งได้มีการศึกษา การระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการ มีผลการวิจัยเป็นฐานในการดำเนินการ รวมถึงได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่นี้ ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่าหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าว จะเป็นประโยชน์กับผู้เรียน สถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษาได้พัฒนาตนเองให้มีศักยภาพสูงขึ้นตามระดับวิทยฐานะ มีภาวะผู้นำในการบริหารวิชาการ และบริหารการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนคุณภาพครู คุณภาพผู้เรียน และคุณภาพการศึกษาได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ผู้บริหารสามารถเข้าถึงครูและห้องเรียนมากยิ่งขึ้นจะทำให้ได้รับทราบปัญหา และสามารถนำมากำหนดแผนพัฒนาสถานศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน และยังทำให้ผู้บริหารสถานศึกษาได้ทราบจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนาของครูและบุคลากรในสถานศึกษา ซึ่งจะทำให้มีแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะครู เพื่อให้ครูสามารถนำผลการพัฒนามาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการจัดการเรียนรู้และการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน สำหรับการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่นี้เป็นการลดกระบวนการและขั้นตอน โดยการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ลดภาระในการจัดทำเอกสารและงบประมาณเกี่ยวกับการประเมิน เกิดการเชื่อมโยงบูรณาการในระบบการประเมินวิทยฐานะ การประเมินผลการปฏิบัติงาน การเลื่อนเงินเดือน และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะโดยใช้ตัวชี้วัดเดียวกัน ทำให้ลดความซ้ำซ้อน และมี Big data ในการบริหารงานบุคคลสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ 1. กำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษาทุกคน
ต้องทำข้อตกลงในการพัฒนางานกับผู้บังคับบัญชาชั้นต้น ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทายเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษา ฯลฯ โดยมีรอบการประเมินปีงบประมาณละ 1 ครั้ง โดยผลการประเมินไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการบริหารงานบุคคล ได้แก่ ใช้เป็นคุณสมบัติในการขอรับการประเมินเพื่อให้มีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ ใช้เป็นผลการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ (มาตรา 55) และใช้เป็นองค์ประกอบในการประเมินเพื่อพิจารณาเลื่อนเงินเดือน สำหรับการยื่นคำขอ ให้ยื่นได้ตลอดปี ภาคเรียนละ 1 ครั้ง โดยหากยื่นไว้แล้ว ต้องได้รับแจ้งมติไม่อนุมัติก่อน จึงจะยื่นในวิทยฐานะเดิมได้ 2. คุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอ 1) ต้องมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง/วิทยฐานะ 4 ปีติดต่อกัน หรือมีคุณสมบัติเป็นไปตามเงื่อนไขที่ ก.ค.ศ. กำหนด กรณีลดระยะเวลาจะต้องมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง/วิทยฐานะ 3 ปีติดต่อกัน 2) มีการพัฒนางานตามข้อตกลง ในช่วงระยะเวลาย้อนหลัง 3 รอบการประเมิน ผ่านเกณฑ์ 3) ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย/จรรยาบรรณที่หนักกว่าภาคทัณฑ์ในช่วง 4 ปีย้อนหลัง 4) สำหรับผู้ขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ/เชี่ยวชาญพิเศษ ต้องมีผลงานทางวิชาการตามที่ก.ค.ศ. กำหนดด้วย 3. การประเมิน กำหนดให้มีการประเมิน 2 ด้าน ด้านที่ 1 ด้านทักษะการวางแผนกลยุทธ์ การใช้เครื่องมือ หรือนวัตกรรมทางการบริหาร ด้านที่ 2 ด้านผลลัพธ์ในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษา สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษจะมีการประเมิน ด้านที่ 3 ด้านผลงานทางวิชาการ 4. การยื่นคำขอให้ยื่นคำขอและหลักฐานประกอบการประเมินผ่านระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล(Digital Performance Appraisal : DPA) 5. เกณฑ์การตัดสินในแต่ละด้านต้องได้คะแนนจากกรรมการแต่ละคน ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 สำหรับการขอมีวิทยฐานะชำนาญการ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ร้อยละ 75 และร้อยละ 80 สำหรับการขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ ตามลำดับ โดยหลักเกณฑ์และวิธีการฯนี้ กำหนดให้มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 2. เห็นชอบ (ร่าง) กฎ ก.ค.ศ. การให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ พ.ศ..... ตามที่ ก.ค.ศ. ได้ออกกฎ ก.ค.ศ.
ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำหรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ พ.ศ. 2553 รวมถึงกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำหรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555
ระพีพรรณ จวงถาวร : ภาพ ธาริณี นาคเมธี : ข่าว ศรายุทธ มาทัพ หัวหน้ากลุ่มประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ : Editor รวมคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการทำ ว PAนับถอยหลังอีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่การยื่น ว PA เรามาดูกันว่า คำถามยอดฮิตสรุปจากกิจกรรม Live “ร่วมเรียนรู้ พร้อมเข้าสู่ระบบ PA” เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2564 มีอะไรกันบ้าง คำถามที่ 1 : ในกรณีที่ดำรงตำแหน่งครูผู้ช่วย จะต้องทำ PA ด้วยหรือไม่ ? คำถามที่ 2 : กรณีที่ผู้ได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็นครูผู้ช่วยก่อน 5 ก.ค. 60 และได้ดำรงตำแหน่งครูตั้งแต่ 5 ก.ค. 60 ซึ่งมีคุณสมบัติตรบตาม ว 17/2552 แต่ยังไม่เคยขอมีวิทยฐานะชำนาญการในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่านตาม ว 21/2560 จะสามารถยื่นขอตาม ว 17/2552 ได้หรือไม่ ? ซึ่งเป็นระยะเวลาเปลี่ยนผ่านตาม ว 9/2564 คำถามที่ 3 : ในกรณียื่นขอมี / เลื่อนวิทยฐานะในระบบ DPA จะต้องส่งแผนการจัดการเรียนรู้และคลิปการสอนทุกรอบปีงบประมาณ หรือไม่ ? คำถามที่ 4 : การขอมี หรือเลื่อนวิทยฐานะในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน ใครเป็นผู้ประเมินผลการพัฒนาฯ ตาม ว 17/2552 และประเมินเมื่อใด ? คำถามที่ 5 : สามารถนำวุฒิปริญญาโทเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ที่ได้ก่อนการบรรจุเป็นครู มาใช้ลดระยะเวลาการขอเลื่อนวิทยฐานะเป็นชำนาญการพิเศษ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการของ ว 9/2564 ได้หรือไม่ ? ขอบคุณ Infographic จาก Starfish : shorturl.at/fqE12 กลุ่มประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ สำนักงาน ก.ค.ศ. แนวคิดระบบพัฒนาวิชาชีพครู The system of Teacher Professional Developmentกลุ่มประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ |