สอบตำเเหน่งวิชาการสาธารณสุขศาสตร์ Show รับ 2 อัตรา คนสอบทั้งหมด 378 คน เขาจะรับสมัครก่อน เเล้วจะประกาศ วันสอบ สถานที่สอบ รายชื่อผู้สมัครสอบทีหลัง สอบวันที่ 6/9/2015 1.ความรู้ความสามารถทั่วไป ปากกาน้ำเงิน เขาใช้ปากกาน้ำเงินในการฝนคำตอบเเละใช้ลิควิด ลบคำตอบได้เเปลกมาก เเต่ก่อนเคยใช้เเต่ดินสอ 2B ฝนรหัสเลยไม่ค่อยชินเท่าไหร่ ประกาศผล 14/9/2558 1.อาหารประเภทใดมีโอกาสปนเปื้อนสารฆ่าแมลงมากที่สุด ง.ลูกชิ้น หมูยอ คำตอบ: ค.ผักสด ผลไม้ ปลาเค็ม 2.ร้านอาหารที่รับรองมาตรฐานอาหารสะอาดรสชาติอร่อยต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานกี่ข้อ ก.12 ข้อ ข. 15 ข้อ ค.20 ข้อ ง. 30 ข้อ คำตอบ: ข. 15 ข้อ เกณฑ์ร้านอาหารมาตรฐาน 1. เกณฑ์ด้านกายภาพ 15 ข้อ (ต้องผ่านทุกข้อ) ดังนี้ 3. หลักเกณฑ์ส้าคัญในการพัฒนาส้วมสาธารณะให้ได้มาตรฐานประกอบด้วยอะไรบ้าง ก.ความสวยงาม สะอาด เรียบร้อย ข.ความสะอาด เรียบร้อย เพียงพอ ค.ความสะอาด เพียงพอ ปลอดภัย ง.ความสวยงาม สะอาด ปลอดภัย คำตอบ: ค.ความสะอาด เพียงพอ ปลอดภัย (ไปดูตัวย่อภาษาอังกฤษมาด้วยน่ะค่ะ ว่า มีตัวอะไรบ้าง HAS ย่อมาจากอะไร ) เกณฑ์มาตรฐานส้วมสาธารณะระดับประเทศ (HAS) สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม ส้วมสาธารณะ หมายถึง ห้องส้วมในที่สาธารณะหรือสถานประกอบการหรือสถานบริการที่จัดเตรียมไว้ให้ประชาชนทั่วไปใช้บริการ การพัฒนาส้วมสาธารณะในประเทศไทยให้ได้มาตรฐานนั้น เน้นการพัฒนาส้วมสาธารณะไทยให้บรรลุ 3 เรื่อง คือ สะอาด เพียงพอ ปลอดภัย ได้มาตรฐาน1.สะอาด (Healthy) หมายถึง ส้วมจะต้องได้รับการดำเนินการให้ถูกหลักสุขาภิบาล เช่น ห้องส้วมและสุขภัณฑ์ทั้งหมดจะต้องสะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็น มีน้ำสะอาด สบู่ล้างมือ กระดาษชำระเพียงพอ การเก็บกักหรือบำบัดสิ่งปฏิกูลถูกต้องและมีสภาพแวดล้อมสวยงาม ซึ่งจะมีผลดีทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ใช้บริการ 2.เพียงพอ (Accessibility) หมายถึง ต้องมีจำนวนส้วมให้เพียงพอแก่ความต้องการของผู้ใช้ รวมถึง ผู้พิการ ผู้สูงวัย หญิงมีครรภ์ และส้วมต้องพร้อมใช้งานตลอดเวลาที่เปิดให้บริการ 3.ปลอดภัย (Safety) หมายถึง ผู้ใช้บริการจะต้องปลอดภัยขณะใช้ส้วม เช่น สถานที่ตั้งส้วม ไม่เปลี่ยว ห้องส้วมแยกชาย-หญิง มีแสงสว่างเพียงพอ เป็นต้น
EIA (Environmental Impact Assessment) คือ “รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม” จากโครงการต่าง ๆ ของรัฐและเอกชน เช่น เขื่อน โรงไฟฟ้า ถนน สนามบิน ที่อยู่อาศัย โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ทั้งด้านบวกและลบ เพื่อเตรียมควบคุม ป้องกัน และแก้ไขก่อนเริ่มสร้างโครงการนั้น ๆ ส่วน EHIA (Environmental Health Impact Assessment) เป็นรายงานส่วนหนึ่งของ EIA อีกที แต่จะเน้นที่ “ผลกระทบต่อสุขภาพ” ของประชาชนที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการนั้น ๆ หลายประเทศออกพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ บังคับให้ภาคราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน ต้องทำ EIA และ EHIA ก่อนสร้างโครงการต่าง ๆ โดยเริ่มจากกระบวนการกลั่นกรองโครงการ จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อกําหนดขอบเขตการศึกษาและประเมินระดับผลกระทบ จากนั้นต้องจัดเวทีรับฟังการทบทวนร่างรายงานอีกครั้งเพื่อกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข และติดตามตรวจสอบ ก่อนจะทำรายงาน EIA หรือ EHIA เสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และหน่วยงานอนุญาต เมื่อผ่านความเห็นชอบแล้ว สผ. จะส่งรายงาน EIA หรือ EHIA ไปขอความเห็นประกอบจากองค์กรอิสระ ขั้นตอนสุดท้ายหน่วยงานผู้มีอํานาจอนุมัติจะเผยแพร่เหตุผลและคําชี้แจงการตัดสินใจต่อสาธารณะและบนเว็บไซต์ เพราะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมบ้านเรากำลังขยายตัวรวดเร็ว ถ้ามีแต่ผู้สร้างสิ่งต่าง ๆ โดยมุ่งแต่ผลตอบแทนทางธุรกิจ ไม่สำรวจผลกระทบก่อนดำเนินโครงการ
ย่อมมีโอกาสก่อปัญหาทรัพยากร สิ่งแวดล้อมไปจนถึงสุขภาพประชาชน EIA และ EHIA จึงเป็นเหมือนประตูด่านแรกที่จะปิดกั้นผลเสียต่าง ๆ สู่ชุมชน เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย - See more at: http://www.sarakadee.com/2013/12/20/eia-ehia/#sthash.8ZYoyoNr.dpuf อีโบลาไวรัส...ไวรัสอันตรายที่ควรรู้อีโบลาไวรัส...ไวรัสอันตรายที่ควรรู้ พญ. มาริษา พงศ์พฤฒิพันธ์ ในขณะนี้อีโบลาไวรัส (ebola virus) กำลังเป็นที่จับตามองของแพทย์ทั่วโลก เนื่องจากมีรายงานการระบาดหนักในปีนี้ และได้คร่าชีวิตผู้ป่วยชาวแอฟริกันไปหลายร้อยราย เชื้ออีโบลาไวรัสเป็นไวรัสอันตรายที่(1)ติดต่อในคนและในสัตว์และอาจทำให้ผู้ติดเชื้อนั้นเสียชีวิต โดยมี(2)อัตราการเสียชีวิตสูงถึง 60-90%(มันมีตัวเลือก 40% มาด้วยน่ะค่ะ ข้อนี้เเหละ น่าจะฝนซะ จขกท ลืมเลย ไปตอบ ข้อเลือดออกเยอะๆผิดสะงั้น เเห้วเลย ฮือๆ>< !!)ใน(3)ปัจจุบันก็ยังไม่มีทางรักษาและยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ก่อนหน้านี้มี(4)รายงานการระบาดเฉพาะในทวีปแอฟริกาโดยเริ่มมีการระบุเชื้อได้จากการตรวจทางห้องปฏิบัติการตั้งแต่ปี ค.ศ.19671 ล่าสุด (ค.ศ.2014) ได้มีรายงานการระบาดหนักเกิดที่ไลบีเรีย, กีเนียและเซียราลีโอน ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่บริเวณตะวันตกของทวีปแอฟริกา2 การติดต่อ อาการและอาการแสดง1 2. อาการในระยะที่สอง (Phase II) จะมีอาการของความผิดปกติของอวัยวะภายใน โดยจะเริ่มมีอาการในวันที่ 2-4 หลังแสดงอาการแรกเริ่ม และคงอยู่นาน 7- 10 วัน อาการและอาการแสดงได้แก่ อาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย เบื่ออาหาร เจ็บคอรุนแรง เจ็บหน้าอก กลืนลำบาก ไอแห้ง ๆ และมี ผื่นแดง ราบและนูน (maculopapular rash) กดจางได้ และไม่คัน ขึ้นตามผิวหนัง โดยเริ่มมีผื่นได้ตั้งแต่วันที่ 2-7 หลังแสดงอาการแรกเริ่ม (มักขึ้นในวันที่ 5) (รูปที่ 1)1 เมื่อผื่นหายจะเกิดเป็นขุยเล็กๆได้ (fine scaling) อาการทางตา ได้แก่ อาการตาแดง ตาสู้แสงไม่ได้(6) ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีเลือดออกในอวัยวะภายใน ทำให้เลือดกำเดาไหล, ถ่ายเป็นเลือด, อาเจียนเป็นเลือด, ปัสสาวะเป็นเลือด, และปรากฏจุดเลือดออกตามร่างกาย ร่วมกับภาวะตับถูกทําลาย ไตวาย มีอาการทางระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สับสน เซื่องซึม ก้าวร้าว (aggressiveness) และอาการชัก เป็นต้น รูปที่ 1 ผื่นแดง ราบและนูน กดจางได้ (maculopapular rash) ที่พบจากการติดเชื้ออีโบลาไวรัส1 3. อาการในระยะที่สาม (Phase III) ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจเร็ว อาจมีอาการสะอึก มีความดันโลหิตลดต่ำ เป็นผลให้อวัยวะหลายระบบเสื่อมหน้าที่ ปัสสาวะไม่ออก ซึ่งเป็นผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิต สำหรับผู้ที่รอดชีวิตจะมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้ ได้มากกว่าหนึ่งเดือน ได้แก่ อาการอ่อนเพลียรุนแรง เบื่ออาหารน้ำหนักลด และปวดข้อ อาการอื่นที่อาจพบตามหลัง ได้แก่ ตับอักเสบเป็น ๆ หาย ๆ, ไขสันหลังอักเสบ, อาการทางระบบประสาท และตาอักเสบ (uveitis) เป็นต้น การวินิจฉัย การรักษา การป้องกัน 5 อันดับโรคยอดฮิต ที่คร่าชีวิตคนไทยสูงสุด1.มะเร็ง อันดับหนึ่งครองแชมป์ติดต่อกันมา 5 ปีผู้เสียชีวิตประมาณปีละ 50,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน โดยจำนวนอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นจำนวนมากขึ้นตามลำดับ โรคมะเร็งหากเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะรายที่พบในระยะลุกลาม โรคมะเร็งที่พบมากที่สุด 6 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งในช่องปาก โดยมะเร็งที่ผู้ชายเป็นกันมากอันดับ 1 ได้แก่ มะเร็งตับ รองลงมาคือ มะเร็งปอดและมะเร็งลำไส้ใหญ่ ส่วนมะเร็งที่พบในผู้หญิงตามลำดับคือมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม และมะเร็งตับ แต่หากตรวจพบในระยะแรกอาจมีทางจะรักษาได้ จึงต้องหมั่นตรวจสุขภาพประจำปีอย่างต่อเนื่องนะคะ 2.โรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมันในเลือดสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจ อาการเตือนของโรคหัวใจประกอบไปด้วยอาการเหนื่อยเวลาออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมต่างๆอย่างต่อเนื่อง อาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก หรือมีอาการอึดอัดหายใจไม่สะดวก อาการหายใจลำบาก อาการนอนราบแล้วอึดอัด ถ้านั่งแล้วจะสบายขึ้น อาการลุกขึ้นมากลางดึกหายใจแรงๆ แล้วจึงนอนต่อไปได้ อาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ อาการเป็นลมหมดสติ เป็นคำเตือนที่ควรระวัง หรือเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจ จึงควรไปพบแพทย์ทันที 3.วัณโรค ปอดอักเสบ โรคระบบทางเดินหายใจ เป็นกลุ่มโรคเดียวกัน เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า มายโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลสิส (Mycobacterium tuberculosis) มีสถิติจากองค์การอนามัยโลระบุว่าพบประชากรโลก 1 ใน 3 หรือประมาณ 2,000 ล้านคนติดเชื้อวัณโรค และมีผู้ป่วย 15 ล้านคน สำหรับคนไทยคาดว่าราว 20 ล้านคนมีเชื้อวัณโรคในตัว พร้อมกำเริบหากสุขภาพทรุดโทรม เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าจัด หรือติดเชื้อเอดส์ ผู้ติดเชื้อวัณโรคเหล่านี้อาจป่วยได้ถึงปีละ 1 แสนคน และจำนวนอาจสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางคนที่ไม่ใส่ใจในสุขภาพตัวเอง ไม่ตรวจสุขภาพประจำปี อาจจะเกิดอาการรุนแรง หรือรักษาได้หายยากกว่าเนื่องจาตรวจพบช้าเกินไป 4.โรคของต่อมไร้ท่อ (โรคกลุ่มเบาหวาน ไทรอยด์ ต่อมหมวกไต) ในส่วนของต่อมไร้ท่อ มีหน้าที่ควบคุมและประสานงานกับระบบต่างๆ ภายในร่างกายให้คงอยู่ในสภาวะสมดุล โดยต่อมไร้ท่อภายในร่างกาย เช่น ต่อมใต้สมอง ตับอ่อน ต่อมหมวกไต จะผลิตสารที่เรียกว่า ฮอร์โมน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตต่อร่างกาย ลักษณะของโรคเกิดจากการถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม เป็นมาโดนกำเนิด หรือเกิดจากความผิดปกติของสภาพร่างกาย จากอุปนิสัยเคยชินในการรับประทานอาหาร ดังนั้นสิ่งที่สามารถควบคุมได้คือการเลือกรับประทานให้ถูกสุขลักษณะ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารให้ถูกต้องนะคะ 5.โรคจากการดื่มแอลกอฮอล์ สาเหตุสำคัญของโรคเกือบ 100% มาจากอุบัติเหตุ นอกจากนั้นยังเกิดโรคร้ายแรงตามมาอีกมากมาย เช่นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ ตับอ่อนอักเสบ โรคกระเพาะและกระเพาะรั่ว ภาวะเลือดออกจากทางเดินอาหาร เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้มักเป็นเรื้อรังและทำให้ผู้เจ็บป่วยทุกข์ทรมาน ทั้งยังก่อเกิดภาวะแทรกซ้อนในโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง (เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบ) โรคนี้เราสามารถควบคุมไม่ให้เกิดขึ้นได้ หากคุณเป็นคนที่รักสุขภาพ ไม่ทำลายสุขภาพตัวเองด้วยเครื่องดื่มแอลกฮอล์และของมึนเมา จาก http://monavie-valent.blogspot.com/p/5.html
จาก http://ops.moph.go.th/str.html http://www.moph.go.th/moph-links-province-2.php(จำชื่อ รพ. รพสต สสจ ในลิ้งนี้ไปน่ะค่ะ คงตอบได้เเน่นอน!!!) 11.สรุปแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8-11 ที่ออกข้อสอบ ในตัวเลือก ถามว่าฉบับไหนเน้น คน เเละสังคม ฉบับที่ 8 พ.ศ.2540-2544
ธรรม มีพลังและเอื้ออาทร เน้นการผลิตและบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีความมั่นคงของพลังงานและอาหาร และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 12.ถามว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11
เน้นคือ ข้อใดข้อนี้น่าจะตอบว่าถูกทุกข้อน่ะค่ะ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2555-2558 ธรรม มีพลังและเอื้ออาทร เน้นการผลิตและบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีความมั่นคงของพลังงานและอาหาร และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 13.Pravalence rate ส่วนสูง 1 ปี ของทารกแรกเกิด ความยาวเมื่อแรกคลอดของเด็กทารกแรกเกิดนั้นในปกติแล้วจะเป็น 50 เซนติเมตร และเมื่อเด็กแรกเกิดมีอายุ 1 ปี เด็กควรที่จะมีพัฒนาการทารกความสูงอยู่ที่ 1.5 เท่าของความยาวแรกเกิด ซึ่งควรที่จะมีเท่ากับ 75 เซนมิเมตร และสูงมากกว่าเดิม 2 เท่าตัวหลังจากที่เป็นความยาวแรกเกิด
-น้ำหนักจะเป็น 3 เท่าของแรกเกิด ประมาณ 9 กิโลกรัม (21-22 ปอนด์) -สูง 29 นิ้ว หรือประมาณ 71-74 เซนติเมตร(จขกท ตอบ 65 ผิดเลย) -เส้นรอบศีรษะกับหน้าอกจะเท่ากัน -มีฟัน 6 ซี่ -ชีพจร 100-140 ครั้งต่อนาที -การหายใจ 20-40 ครั้งต่อนาที การเคลื่อนไหว -ยืนได้ตามลำพัง -เดินได้เมื่อมีคนจูงเดิน เกาะเก้าอี้เดินได้ -จับดินสอสีและขีดบนกระดาษได้ การออกเสียงและด้านสังคม -สามารถพูดได้ 2 คำติดต่อกัน เช่น “พ่อ พ่อ” “แม่ แม่” -จำชื่อตนเองได้ -ชอบพูดคุยคนเดียวหรือกับคนที่อยู่ใกล้ตัวเขา -เข้าใจคำห้ามต่าง ๆ เช่น อย่า, ไม่ -สนใจต่อตนเองเท่านั้น -แสดงความอิจฉา พอใจโกรธ 17.ฟันน้ำนมขึ้นบนล่างตอนอายุกี่เดือน ฟันกระต่าย – เริ่มขึ้นตั้งแต่อายุ 6-10 เดือน ในช่วงนี้ฟันคู่หน้าทั้งบนล่างจะเริ่มงอก อาจทำให้คุณแม่รู้สึกไม่ค่อยสบายนักเวลาให้นม จาก http://th.theasianparent.com/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/ 18.รอบศรีษะเเรกเกิด วัดได้ 35 ซม เเล้ว 4 เดือน จะมีความยาวเท่าไหร่ 18. ยุคกำเนิดกระทรวงสาธารณสุข=ปี 2485 ในยุคกำเนิดกระทรวงสาธารณสุขนี้ แบ่งออกเป็น 2 สมัย ดังนี้ คือ สมัยรัชกาลที่ 8ในปี พ.ศ. 2485 ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาจัดการปรับปรุงทางการแพทย์ โดยมีการประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 และได้ประชุมอีก 4 ครั้ง รวมเป็น 5 ครั้ง ครั้งหลังเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 สามารถเสนอรายงานการจัดตั้ง กระทรวงสาธารณสุข ให้รัฐบาลเสนอต่อรัฐสภา ต่อมาก็ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2485 มีกระทรวงสาธารณสุขขึ้น ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัตินี้ และมาตรา 13 โดยมีข้อความในพระราชกฤษฎีกาในเรื่องเหตุผลที่มาของการสถาปนากระทรวงสาธารณสุข ปรากฎดังนี้ "โดยเหตุที่การสาธารณสุข และการแพทย์ในเวลานี้ ยังกระจัดกระจายอยู่ในกระทรวงและกรมหลายแห่ง งานบางอย่างทำซ้ำและก้าวก่ายกัน และบางอย่างก็ไม่เชื่อม ประสานกันเป็นเหตุให้ต้องเปลืองเจ้าหน้าที่ และค่าใช้จ่าย ไปในทางไม่ประหยัด จึงสมควรปรับปรุงเสียใหม่ เพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น" ในด้านการแพทย์รัชสมัยนี้ มีการศึกษาวิจัยสมุนไพรเพิ่มขึ้น ในระหว่างปี พ.ศ. 2485 - 2486 ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ลุกลามเข้ามาในเขตเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนยา ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ได้ทำวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาไข้มาลาเรียที่โรงพยาบาลสัตหีบ หลังสงครามโลกสงบลง ยังคงมีปัญหาขาดแคลนยาแผนปัจจุบันรัฐบาลจึงมี นโยบายให้โรงงานเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุขนำสมุนไพรมาผลิตเป็นยารักษาโรคเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในนักวิชาการสาธารณสุข แพทย์และประชาชนคนไทยว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ได้ทรงอุทิศพระองค์ ทรงมีพระเมตตาปราณีต่อพสกนิกรของพระองค์ ทรงพระตระหนัก เป็นอย่างยิ่งว่า สุขภาพของคนไทยเป็นเรื่องสำคัญและต้องการได้รับการแก้ไข ทรงเล็งเห็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยเป็นอย่างดี และทรงมีพระราชหฤทัยอย่างแน่วแน่ที่จะดำเนินการแก้ปัญหาเหล่านั้น จะเห็นได้จากพระราชหัตถเลขาของพระองค์ที่มีไปถึงกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ความตอนหนึ่งว่า "หม่อมฉันรู้สึกอยู่เสมอว่า การสาธารณสุขนั้นเป็นของสำคัญ เป็นสิ่งบำรุงกำลังของชาติไทย เป็นสาธารณสุขประโยชน์กับมนุษยชาติทั่วไป เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสอันใดที่หม่อมฉันพอที่จะช่วยออกกำลังกาย ปัญญา หรือทรัพย์ อันเป็นทางที่จะทะนุบำรุงให้การนั้นเจริญขึ้นแล้ว หม่อมฉันยินดีปฏิบัติได้เสมอ" สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 69 ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ 7 ในสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวสาอัยยิกาเจ้า) ทรงมีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินี ร่วมพระมารดารวม 7 พระองค์สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงพระราชสมภพในวันศุกร์ เดือนยี่ ปีเถาะ ขึ้น 3 ค่ำ ซึ่งตรงกับวันที่ 1 มกราคม พุทธศักราช 2434 ณ พระตำหนักสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทาน นามว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าชาย มหิดลอดุลยเดช
นเรศวรมหาราชาธิบดินทร์ จุฬาลงกรณนรินทร์วรางกูร สมบูรณ์เบญจพรสิริสวัสดิ์ ขัตติยวโรภโตสุชาต คุณ สังกาศเกียรติประกฤษฐ ลักษณวิจิตรพิสิษฐบุรุษย ชนุตมรัตน์พัฒนศักดิ์ อัครวรราชกุมาร" ทรงบรรพชาสามเณร เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ถึงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2447 และทรงผนวชวันที่ 21 สิงหาคม รัตนโกสินทรศก 123 ภายหลังทรงลาผนวชแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียน แฮโรว์ ในปี พ.ศ. 2448 เพื่อทรงศึกษาวิชาเบื้องต้นในปี พ.ศ. 2450 สมเด็จฯ
พระบรมราชชนก ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศเยอรมนี เพื่อทรงศึกษาที่ โรงเรียนเตรียมนายร้อย เมืองปอตสดัม เป็นเวลา 1 ปีระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยชั้นต้น ประเทศเยอรมนี แพทย์ที่เยอรมันได้ทำการรักษาพระอาการประชวรด้วยโรคกระดูกสันหลังคด ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จะมีพระอาการเป็นปกติหลังจากนั้นแล้วทรงศึกษาด้านการทหาร ณ โรงเรียน นายร้อยทหารบก Royal Prussian Military College, Gross Lichterfelde ใกล้กรุงเบอร์ลิน ภายหลังที่ทรงสำเร็จจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกแล้ว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงศึกษาด้านทหารเรือ ณ Imperial German Naval College เมืองเฟลนสบูร์ก ตอนเหนือ ของประเทศเยอรมนี ระหว่างปี พ.ศ. 2454 - 2457 เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากรัฐบาลสยามในพระบาทสมเด็จฯ พระบรมราชชนก ต้องเสด็จกลับประเทศสยาม และทรงเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือในระยะเวลาที่ทรงรับราชการกองทัพเรือนั้น ทรงทุ่มเทพระสติปัญญาในการพัฒนากองทัพเรือ ทรงบันทึก โครงการสร้างกองเรือรบ
ทรงเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดหาเรือตอร์ปิโดรักษาฝั่งสำหรับป้องกันน่านน้ำไทย และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเรือดำน้ำ รวมทั้งปัญหาด้านโภชนาการ สำหรับการปฏิบัติงานในเรือดำน้ำ แต่กลับทรงพบอุปสรรคหลายประการในการวางโครงการใหม่ ๆ ให้กับกองทัพเรือ จึงทรงลาออกจากราชการทหารเรือในช่วงท้ายเวลาที่ทรงปฏิบัติราชการกองทัพเรือและมีพระดำริที่จะลาออกนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ผู้บัญชาการโรงเรียนราชแพทยาลัย (คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาลปัจจุบัน) ได้เสด็จไปเฝ้าเพื่อเชิญเสด็จประพาสเรือยนต์ไปตามคลองต่าง ๆ
ได้รับสั่งให้เรือแวะที่สะพานท่าน้ำโรงพยาบาลศิริราช และทูลเชิญเสด็จฯพระบรมราชชนกทอดพระเนตรโรงพยาบาล และทรงพบเห็นสภาพผู้ป่วยไม่มีที่พักคนไข้นอนเรียงกันอยู่ อย่างแออัดเมื่อสมเด็จฯพระบรมราชชนกทรงเห็นถึงความจำเป็นของบ้านเมืองในขณะนั้น และทรงเห็นว่าการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับด้านการแพทย์และสาธารณสุขจะทำให้ทรงช่วยเหลือกิจการด้านนี้ในประเทศเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น สมเด็จฯพระบรมราชชนก เสด็จออกไปยังมหาวิทยาลัยเอดินเบอระ สกอตแลนด์ เพื่อทรงศึกษาด้านการแพทย์ แต่เนื่องจากสภาพอากาศในสกอตแลนด์เป็นอุปสรรคต่อพระอนามัย
จึงเสด็จไปที่สหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2475 พระองค์เสด็จไปศึกษาวิชาการสาธารณสุข และวิชาการแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกาทรงสอบได้ประกาศนียบัตรการสาธารณสุขและปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต ชั้น Cum Lande พระองค์เป็นผู้ทรงบำเพ็ญประโยชน์ต่อวงการแพทย์ การสาธารณสุข การพยาบาล การเภสัชกรรม ทันตศึกษา การประมง และการศึกษาของประเทศ เป็นคุณูปการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการแพทย์ พระราชกรณียกิจของพระองค์ มีดังนี้ ถามว่า โรคเมอร์ อยุ่อันดับที่เท่าไหร่ =22 ข้อสอบข้อเขียน 5 ข้อให้กระดาษเปล่า เอสี่ มีเส้นมา 3 แผ่น (เคล็ดลับเซพเวลา เเละ หน้ากระดาษไม่เลอะลิควิด (ข้อนี้ จขกท ตอบว่า เป็นหลักปฎิบัติ ความยุติธรรม ความเสมอภาค เเละความโปร่งใส่ เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อยเเละผาสุข เเละยกตัวอย่างเหตุการณ์ เช่น การสอบเเข่งขันเข้าตำเเหน่งนักวิชาการสาธารณสุขโดยความโปร่งใส การกระจายบริการทางการเเพทย์อย่างเท่าเทียมกันทุกภาคส่วน เเละการประเมินคุณภาพโรงพยาบาลอย่างโปร่งใส เป็นต้น ไม่รู้ คะเเนนเต็ม 10 จะได้เท่าไหร่น้า > <) ธรรมาภิบาล ( Good Governance) คือ การปกครอง การบริหาร การจัดการการควบคุมดูแล กิจการต่าง ๆ ให้เป็นไปในครรลองธรรม นอกจากนี้ยังหมายถึงการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งภาครัฐและเอกชน ธรรมที่ใช้ในการบริหารงานนี้ มีความหมายอย่างกว้าง กล่าวคือ หาได้มีความหมายเพียงหลักธรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่รวมถึง ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และความถูกต้องชอบธรรมทั้งปวง ซึ่งวิญญูชนพึงมีและพึงประพฤติปฏิบัติ อาทิ ความโปร่งใสตรวจสอบได้ การปราศจากการแทรกแซงจากองค์กรภายนอก เป็นต้น ธรรมาภิบาล เป็นหลักการที่นำมาใช้บริหารงานในปัจจุบันอย่างแพร่หลาย
ด้วยเหตุเพราะ ช่วยสร้างสรรค์และส่งเสริมองค์กรให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพ อาทิ พนักงานต่างทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตและขยันหมั่นเพียร ทำให้ผลประกอบการขององค์กรธุรกิจนั้นขยายตัว นอกจากนี้แล้วยังทำให้บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง ศรัทธาและเชื่อมั่นในองค์กรนั้น ๆ อันจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น องค์กรที่โปร่งใส ย่อมได้รับความไว้วางใจในการร่วมทำธุรกิจ รัฐบาลที่โปร่งใสตรวจสอบได้ ย่อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและประชาชน ตลอดจนส่งผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและความเจริญก้าวหน้าของประเทศ เป็นต้น
(http://th.wikipedia.org) สำนักงาน ก.พ. (คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ. คือ คณะกรรมการที่รับผิดชอบงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ)ได้กำหนดไว้โดยได้เสนอเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่า หลักธรรมาภิบาลนั้นประกอบด้วย 6 หลักการคือ 1. หลักคุณธรรม หลักของธรรมาภิบาลในภาครัฐ 1.ยึดมั่นในหลักของวัตถุประสงค์ในการให้บริการแก่ประชาชนหรือผู้ที่มาใช้บริการ (Clear statement-high service quality) 2.ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในหน้าที่และบทบาทของตน (Public Statement ว่าจะทำหน้าที่อย่างไรโดยวิธีอะไรที่จะบรรลุเป้าหมาย) 3.ส่งเสริมค่านิยม (Values) ขององค์กร และแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของธรรมาภิบาลโดยการปฏิบัติหรือพฤติกรรม (Behaviors) (moral integrity and etiquette in the responsiveness to the diverse public) 4.มีการสื่อสารที่ดี การตัดสินใจอย่างโปร่งใส และมีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม (Providing information to flow two-ways) 5.พัฒนาศักยภาพและความสามารถของส่วนบริหารจัดการอย่างต่อเนื่องและให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (ผู้บริหารต้องมีความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง) 6.การเข้าถึงประชาชน และต้องรับผิดชอบต่อการทำงานและผลงานอย่างจริงจัง ***** ขอขอบคุณข้อมูลจาก ppt ของอาจารย์สุธรรม ส่งศิริ ***** จาก http://network.moph.go.th/km_ict/?p=360 2. บริการเชิงรุก “ทีมหมอครอบครัว” ที่ปรึกษาด้านสุขภาพ ใกล้บ้านคุณ
นอกจากให้ความช่วยเหลือยามเจ็บไข้แล้วเป็นหลักแล้ว อสม.ยังมีหน้าที่ส่งเสริมและเป็นที่พึ่งในการวางแผนการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว โดยประชาชนอาจไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลทุกครั้ง
เพราะหากมีอาการเจ็บป่วยที่สามารถดูแลในเบื้องต้นเอง โดยความช่วยเหลือของ อสม.ใกล้บ้าน แต่หากจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ ทีมหมอครอบครัวก็จะประสานงานให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม และทันเวลาในยามฉุกเฉิน ผู้ป่วยติดเตียง-ติดบ้าน ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลใกล้ชิด คือกลุ่มแรกที่จะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมหมอครอบครัว กระทรวงสาธารณสุขได้คิกออฟโครงการไปเมื่อปลายปี 2557 ซึ่งขณะนี้ ทุกอำเภอทั่วประเทศมีทีมหมอครอบครัวลงพื้นที่ดูแลประชาชนแล้ว ส่วนในกรุงเทพมหานครนั้นปักหมุดให้เขตดุสิตและเขตดอนเมืองเป็นพื้นที่นำร่องของทีมหมอครอบครัวกรุงเทพฯ
คาดว่าจะให้บริการครบทุกเขตเร็วๆ นี้ โดยสามารถสอบถามเกี่ยวกับทีมหมอครอบครัวของบ้านตัวเองได้ที่ รพ.สต. หรือ รพ.รัฐ ใกล้บ้าน หรือโทร.1330 ทั้งนี้เป้าหมายสำคัญของทีมหมอครอบครัวคือการพัฒนาไปถึงขั้นสร้างให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ ไว้ใจ รู้จักและผูกพันกับทีมงาน “หมอ” ที่ร่วมกันบริการสุขภาพและให้การดูแล “สมาชิกทุกคนในครอบครัวในทุกโอกาสและทุกรูปแบบ” ให้บริการแบบรอบด้านที่ตอบสนองความต้องการชุมชน
และมีระบบการดูแลรับส่งต่อผู้ป่วยอย่างไร้รอยต่อ เพื่อสุขภาพคนไทยที่ยั่งยืน “ประชาชนทั่วไทยอุ่นใจ มีญาติทั่วไทยเป็นหมอครอบครัว” จากhttp://www.manager.co.th/GoodHealth/ViewNews.aspx?NewsID=9580000066379 ภูเขาน้ำแข็ง David McClelland ได้เปรียบเทียบความหมายของสมรรถนะไว้ในหนังสือ The Competency Foundation โดยอธิบายบุคลิกลักษณะ (Characteristic) ของคนเปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่อยู่เหนือน้ำ สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย จาก http://suphawitza2.blogspot.com/ ขั้นตอนการสอบสวนโรคระบาด
|