พรหมวิหาร 4 หรือ พรหมวิหารธรรม หนึ่งในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา เป็นคำสอนที่เรียบง่าย สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุขได้ อีกทั้งยังถือเป็นธรรมะที่ผู้นำควรยึดถือปฏิบัติสำหรับการบริหารองค์กร ซึ่งจะสามารถสร้างความสุขในสังคมการทำงานได้มากยิ่งขึ้น Show พรหมวิหาร 4 คืออะไร มีอะไรบ้าง?พรหมวิหาร 4 คือ หลักคุณธรรมที่ทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติตามเป็นผู้ประเสริฐ ซึ่งคำว่า "พรหมวิหาร" มีความหมายว่า ธรรมอันเป็นที่อยู่ของพรหม การยึดถือหลักธรรมดังกล่าวจะทำให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข โดยเชื่อว่ามนุษย์จะประเสริฐได้ก็ต่อเมื่อมีคุณธรรม พรหมวิหาร 4 ประกอบด้วยหลักธรรม 4 ข้อ ได้แก่ 1. เมตตา
พรหมวิหาร 4 หลักธรรมสำหรับผู้นําพรหมวิหาร 4 ยังเป็นตัวอย่างของหลักธรรม ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้สำหรับผู้ปกครอง ผู้นำ และหัวหน้างานหน่วยต่างๆ ได้ เนื่องจากหากนำหลักพรหมวิหาร 4 มาบริหารองค์กร และบุคลากรแล้ว นอกจากจะทำให้ทุกคนทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสุข ยังช่วยให้บรรยากาศในสถานที่ทำงาน น่าทำงานยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยสามารถยกตัวอย่างพรหมวิหาร 4 ที่ใช้เป็นธรรมะประจำใจสำหรับการบริหารงาน ดังนี้ 1. เมตตา : หัวหน้าเอาใส่ใจ ดูแล สนับสนุนการทำงานของลูกน้อง ให้คำแนะนำด้วยความเมตตา และปรารถนาดี
สร้างบรรยากาศความสุขด้านการทำงาน
อานิสงส์ของพรหมวิหาร 4หลวงพ่อฤาษีลิงดํา แห่งวัดท่าซุง ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ชาวพุทธให้ความนับถือ เคยให้โอวาทเกี่ยวกับการปฏิบัติตามหลักพรหมวิหาร 4 ไว้ในหนังสือโอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง ว่าสามารถให้อานิสงส์แก่ผู้ปฏิบัติเป็นความสุขถึง 11 ประการ ได้แก่ 1. นอนหลับเป็นสุข
พรหมวิหาร 4 ไม่ได้เป็นหลักธรรมที่เข้าใจยาก หรือซับซ้อนอะไรเลย หากแต่เป็นหลักปฏิบัติทั่วไปในชีวิตประจำวัน หากปรับเปลี่ยนทัศนคติ และหมั่นสร้างนิสัยความเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่นเป็นประจำ ทุกคนก็สามารถมีพรหมวิหาร 4 ในใจได้เช่นกัน หลักธรรมของนักบริหาร หลักธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นถึงแม้ว่าจะมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลนับถึงปัจจุบัน เป็นเวลา2550กว่าปีแล้วแต่ทุกหลักธรรมยังคงทันสมัยอยู่เสมอ สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็น เครื่องดำเนินชีวิตและแนวทางในการบริหารงานได้เป็นอย่างดีที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหลักธรรมดังกล่าว เป็นความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ที่เรียกว่า“สัจธรรม” ปฏิบัติได้เห็นผลได้อย่างแท้จริงอยู่ที่เราจะนำ หลักธรรมข้อใดมาใช้ให้เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด สำหรับนักบริหารก็มีหลักธรรมสำหรับยึดถือ และปฏิบัติอย่างมากมายซึ่งได้นำเสนอไว้บ้างเรื่องที่สำคัญดังต่อไปนี้ ๑. พรหมวิหาร4 เป็นหลักธรรมของผู้ใหญ่(ผู้บังคับบัญชา)ที่ควรถือปฏิบัติเป็นนิตย์ มี 4 ประการ คือ 1. เมตตาความรักใคร่ปราถนาจะให้ผู้อื่นมีความสุข 2.กรุณาความสงสารคิดช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ 3.มุทิตาความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข 4. อุเบกขาวางตนเป็นกลางไม่ดีใจไม่เสียใจเมื่อผู้อื่นถึงวิบัติมีทุกข์ ๒.อคติ 4 อคติหมายความว่าการกระทำอันทำให้เสียความเที่ยงธรรมมี 4 ประการ1.ฉันทาคติลำเอียงเพราะรักใคร่ 2.โทสาคติลำเอียงเพราะโกรธ 3.โมหาคติลำเอียงเพราะเขลา 4.ภยาคติลำเอียงเพราะกลัว อคติ 4 นี้ ผู้บริหาร/ผู้ใหญ่ ไม่ควรประพฤติเพราะเป็นทางแห่งความเสื่อม๓.สังคหวัตถุ 4 เป็นหลักธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของกันและกันเห็นเหตุให้ตนเองและหมู่คณะก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง 1.ทานให้ปันสิ่งของแก่คนที่ควรให้ 2.ปิยวาจาเจรจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน 3.อัตถจริยาประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ 4.สมานนัตตตาวางตนให้เหมาะสมกับฐานะของตน ๔.อิทธิบาท 4 เป็นหลักธรรมถือให้เกิดความสำเร็จ 1.ฉันทะความพึงพอใจในงาน 2.วิริยะ ความขยันมั่นเพียร 3.จิตตะ ความมีใจฝักใฝ่เอาใจใส่ในงาน 4.วิมังสาไตร่ตรองหาเหตุผล ๕.ทศพิธราชธรรม 10ประการ เป็นหลักธรรมสำหรับพระมหากษัตริย์จะพึงถือปฏิบัติมาแต่โบราณกาลแด่นักบริหารเช่น สรรพสามิตจังหวัดสรรพสามิตอำเภอก็น่าจะนำไปอนุโลมถือปฏิบัติได้ หลักทศพิธราชธรรม10ประการมีอยู่ดังนี้ 1. ทานคือ การให้ปันซึ่งอาจเป็นการให้เพื่อบูชาคุณหรือให้เพื่อเป็นการอนุเคราะห์ 2.ศีล ได้แก่การสำรวมกายวาจา ใจ ให้เรียบร้อยสะอาดดีงาม 3.บริจาคได้แก่ การให้ทรัพย์สิ่งของเพื่อเป็นการช่วยเหลือหรือความทุกข์ยากเดือดร้อน ของผู้อื่นหรือเป็นการเสียสละเพื่อหวังให้ผู้รับได้รับความสุข 4.อาชวะได้แก่ความมีอัธยาศัยซื่อตรงมั่นในความสุจริตธรรม 5.มัทวะได้แก่ความมีอัธยาศัยดีงามละมุนละไมอ่อนโยน สุภาพ 6.ตบะได้แก่การบำเพ็ญเพียรเพื่อขจัดหรือทำลายอกุศลกรรมให้สิ้นสูญ 7. อโกรธะได้แก่ความสามารถระงับหรือขจัดเสียได้ซึ่งความโกรธ 8.อวิหิงสา ได้แก่การไม่เบียดเบียนคนอื่น 9.ขันติได้แก่ความอดกลั้นไม่ปล่อยกายวาจาใจ ตามอารมณ์หรือกิเลสที่เกิดมีขึ้นนั้น 10.อวิโรธนะได้แก่การธำรงค์รักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม ๖.บารมี 6 เป็นหลักธรรมอันสำคัญที่จะนิยมมาซึ่งความรักใคร่นับถือนับว่าเป็นหลักธรรมที่เหมาะมาก สำหรับนักบริหารจะพึงยึดถือปฎิบัติมีอยู่ 6ประการคือทาน 1.ทานการให้เป็นสิ่งที่ควรให้ 2.ศีลการประพฤติในทางที่ชอบ 3.ขันติ ความอดทนอดกลั้น 4.วิริยะ ความขยันหมั่นเพียร 5.ฌาน การเพ่งพิจารณาให้เห็นของจริง 6.ปรัชญาความมีปัญญารอบรู้ ๗.ขันติโสรัจจะเป็นหลักธรรมอันทำให้บุคคลเป็นผู้งาม(ธรรมทำให้งาม) 1. ขันติคือความอดทนมีลักษณะ 3ประการ 1.1อดใจทนได้ต่อกำลังแห่งความโกรธแค้นไม่แสดงอาการ กายวาจาที่ไม่น่ารัก ออกมาให้เป็นที่ปรากฏแก่ผู้อื่น 1.2อดใจทนได้ต่อความลำบากตรากตรำหรือความเหน็ดเหนื่อย 2. โสรัจจะความสงบเสงี่ยมทำจิตใจให้แช่มชื่นไม่ขุนหมอง ๘.ธรรมโลกบาลเป็นหลักธรรมที่ช่วยคุ้มครองโลกหรือมวลมนุษย์ให้อยู่ความร่มเย็นเป็นสุขมี2ประการคือ 1.หิริ ความละอายในตนเอง 2.โอตัปปะความเกรงกลัวต่อทุกข์และความเสื่อมแล้วไม่กระทำความชั่ว ๙.อธิฐานธรรม4เป็นหลักธรรมที่ควรตั้งไว้ในจิตใจเป็นนิตย์เพื่อเป็นเครื่องนิยมนำจิตใจให้เกิดความรอบรู้ความจริง รู้จักเสียสละและบังเกิดความสงบมี4ประการ1. ปัญญาความรู้ในสิ่งที่ควรรู้รู้ในวิชา 2.สัจจะความจริง คือประพฤติสิ่งใดก็ให้ได้จริงไม่ทำอะไรจับจด 3. จาคะ สละสิ่งที่เป็นข้าศึกแห่งความจริงใจ คือ สละความเกียจคร้านหรือความหวาดกลัวต่อความยุ่งยากลำบาก รักใคร่และความขัดเคืองเป็นต้น ๑๐.คหบดีธรรม 4เป็นหลักธรรมของผู้ครองเรือนพึงยึดถือปฏิบัติมี 4 ประการ คือ 1.ความหมั่นเพียร 2. ความโอบอ้อมอารี 3.ความไม่ตื่นเต้นมัวเมาในสมบัติ 4.ความไม่เศร้าโศกเสียใจเมื่อเกิดภัยวิบัติ ๑๑.ราชสังคหวัตถุ 4 เป็นหลักธรรมอันเป็นเครื่องช่วยในการวางนโยบายบริหารบ้านเมืองให้ดำเนินไปด้วยดี มี 4ประการ คือ 1. ลัสเมธังความเป็นผู้ฉลาดปรีชาในการพิจารณาถึงผลิตผลอันเกิดขึ้นในแผ่นดินแล้วพิจารณาผ่อนผันจัดเก็บเอาแต่บางส่วนแห่งสิ่งนั้น 2.ปุริสเมธังความเป็นผู้ฉลาดในการดูคนสามารถเลือกแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งในความถูกต้องและเหมาะสม 3.สัมมาปาลังการบริหารงานให้ต้องใจประชาชน 4. วาจาเปยยังความเป็นบุคคลมีวาจาไพเราะรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวตามเหตุการณ์ตามฐานะและตามความเป็นธรรม ๑๒.สติสัมปชัญญะ เป็นหลักธรรมอันอำนวยประโยชน์แก่ผู้ประพฤติเป็นอันมาก 1.สติคือความระลึกได้ก่อนทำ ก่อนบูชาก่อนคัดคนมีสติจะไม่เลินเล่อเผลอตน 2.สัมปชัญญะคือความรู้ตัวในเวลากำลังทำกำลังพูดกำลังคิด ๑๓.อกุศลมูล 3อกุศลมูลคือรากเหง้าของความชั่วมี 3 ประการคือ 1. โลภะความอยากได้ 2.โทสะความคิดประทุษร้ายเขา 3.โมหะความหลงไม่รู้จริง ๑๔.นิวรณ์ 5 นิวรณ์แปลว่าธรรมอันกลั้นจิตใจไม่ให้บรรลุความดีมี5ประการ 1.กามฉันท์พอใจรักใคร่ในอารมณ์มีพอใจในรูป เป็นต้น 2.พยาบาทปองร้ายผู้อื่น 3.ถีนมิทธะความที่จิตใจหดหู่และเคลิบเคลิ้ม 4.อุธัจจะกุกกุจจะความฟุ้งซ่านและรำคาญ 5. วิจิกิจฉาความลังเลไม่ตกลงใจได้ ผู้กำจัดหรือบรรเทานิวรณ์ได้ย่อมได้นิสงส์5ประการคือ1.ไม่ข้องติดอยู่ในกายตนหรือผู้อื่นจนเกินไป 2.มีจิตประกอบด้วยเมตตา 3.มีจิตอาจหาญในการประพฤติความดี 4.มีความพินิจและความอดทน 5.ตัดสินใจในทางดีได้แน่นอนและถูกต้อง ๑๕.เวสารัชชกรณะ 5 เวสารัชชกรณะแปลว่า ธรรมที่ยังความกล้าหาญให้เกิดขึ้นมี5ประการคือ1.ศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ 2.ศีลประพฤติการวาจาเรียบร้อย 3.พาหุสัจจะความเป็นผู้ศึกษามาก 4.วิริยารัมภะตั้งใจทำความพากเพียร 5.ปัญญา รอบรู้สิ่งที่ควรรู้ ๑๖.อริยทรัพย์ 7 1.ศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ 2.ศีล ประพฤติการวาจาเรียบร้อย 3.หิริความละอายต่อบาปทุจริต 4.โอตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปทุจริต 5.พาหุสัจจะ ความเป็นคนได้ยินได้ฟังมามาก 6.จาคะ การให้ปันสิ่งของแก่คนที่ควรให้ 7. ปัญญา ความรอบรู้ทั้งสิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นไท ๑๗.สัปปุริสธรรม 7 เป็นหลักธรรมอันเป็นของคนดี(ผู้ประพฤติชอบ)มี7ประการ1.ธัมมัญญุตาความเป็นผู้รู้ว่าเป็นเหตุ 2.อัตถัญญุตาความเป็นผู้รู้จักผล 3.อัตตัญญุตาความเป็นผู้รู้จักตน 4.มัตตัญญุตาความเป็นผู้รู้จักประมาณ 5.กาลัญญุตาความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันเหมาะสม 6.ปุริสัญญุตาความเป็นผู้รู้จักสังคม 7.บุคคลโรปรัชญญุตาความเป็นผู้รู้จักคบคน ๑๘.คุณธรรมของผู้บริหาร 6 ผู้บริหารนอกจากจะมีคุณวุฒิในทางวิชาการต่าง ๆ แล้วยังจำเป็นต้องมีคุณธรรมอีก 6 ประการ1.ขมามีความอดทนเก่ง 2.ชาตริยะระวังระไว 3. อุฎฐานะหมั่นขยัน 4.สังวิภาคะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 5.ทยา เอ็นดูกรุณา 6.อิกขนาหมั่นเอาใจใส่ตรวจตราหรือติดตาม ๑๙.ยุติธรรม 5 นักบริหารหรือผู้นำมักจะประสบปัญหาหรือร้องเรียนขอความเป็นธรรมอยู่เป็นประจำ หลักตัดสินความเพื่อให้เกิดความ “ยุติธรรม” มี5ประการ คือ 1.สัจจวาแนะนำด้วยความจริงใจ 2.บัณฑิตะฉลาดและแนะนำความจริงและความเสื่อม 3.อสาหะเสนะตัดสินด้วยปัญญาไม่ตัดสินด้วยอารมณ์ผลุนผลัน 4.เมธาวีนึกถึงธรรม(ยุติธรรม) เป็นใหญ่ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง5.ธัมมัฎฐะไม่ริษยาอาฆาต ไม่ต่อเวร ๒๐.ธรรมเครื่องให้ก้าวหน้า 7 นักบริหารในตำแหน่งต่าง ๆ ย่อมหวังความเจริญก้าวหน้าได้รับการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นพระพุทธองค์ทรงตรัสธรรมเครื่องเจริญยศ (ความก้าวหน้า)ไว้ 7 ประการ คือ 1.อุฎฐานะหมั่นขยัน 2.สติ มีความเฉลียว 3.สุจิกัมมะการงานสะอาด 4.สัญญตะระวังดี 5.นิสัมมการีใคร่ครวญพิจารณาแล้วจึงธรรม 6.ธัมมชีวีเลี้ยงชีพโดยธรรม 7.อัปปมัตตะไม่ประมาท ๒๑.ไตรสิกขา เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เกิดความตั้งใจดีและมีมือสะอาดนักบริหารต้องประกอบตนไว้ในไตรสิกขาข้อที่ต้องสำเหนียก3ประการ คือ 1. ศีล 2.สมาธิ 3.ปัญญา ทั้งนี้เพราะศีลเป็นเครื่องสนับสนุนให้กาย (มือ) สะอาด สมาธิเป็นเครื่องสนับสนุนให้ใจสงบ ปัญญาเป็นเครื่องทำให้ใจสว่างรู้ถูกรู้ผิด ๒๒.พระพุทธโอวาท 3 นักบริหารที่ทำงานได้ผลดีเนื่องจากได้”ตั้งใจดี”และ“มือสะอาด”พระพุทธองค์ได้วางแนวไว้ 3 ประการ ดังนี้ 1.เว้นจากทุจริตการประพฤติชั่วทางกายวาจา ใจ 2. ประกอบสุจริตประพฤติชอบทางกายวาจาใจ 3.ทำใจของตนให้บริสุทธิ์สะอาดไม่โลภไม่โกรธไม่หลง การนำหลักธรรมที่ประเสริฐมาปฎิบัติ ย่อมจักนำความเจริญตลอดจนความสุขกาย สบายใจให้บังเกิดแก่ผู้ประพฤติทั้งสิ้นสมดังพุทธสุภาษิตที่ว่า “ ธัมโมหเว รักขติธัมมจาริง”ธรรมะย่อมคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติธรรม |