น้อม สํา นึก ในพระมหากรุณาธิคุณ ร.9 13 ตุลาคม

13 ตุลาคม 2565 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

13 ตุลาคม 2565 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนจัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมเครื่องราชสักการะ (เครื่องทองน้อย) ตามอาคารสถานที่ของหน่วยงานและบ้านเรือน ตลอดเดือนตุลาคม 2565

13 ตุลาคม 2564 “ดอยคำ” น้อมรำลึก ในหลวงรัชกาลที่ 9

น้อม สํา นึก ในพระมหากรุณาธิคุณ ร.9 13 ตุลาคม

เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ในวันที่ 13 ตุลาคม 2564

พระผู้ทรงก่อตั้ง “ดอยคำ” ด้วยพระราชประสงค์ในการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของเกษตรกรในพื้นที่ห่างไกล

บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด นำโดย นายพิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่และพนักงาน ได้ประกอบพิธีทำบุญตักบาตรแด่พระภิกษุสงฆ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ณ สำนักงานใหญ่ ราชเทวี

ขณะที่โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป ทั้ง 3 แห่ง ได้ประกอบพิธีทำบุญถวายอาหารเพลพระสงฆ์ และทำกิจกรรมจิตอาสา พัฒนาพื้นที่ใกล้เคียงโดยรอบ

“ดอยคำ” ร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานพระราชปณิธาน ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

สำนักงานใหญ่ ทำบุญตักบาตร ณ สำนักงานใหญ่ ราชเทวี

โรงงานหลวงฯที่ 1 (ฝาง) ถวายอาหารเพลพระสงฆ์ ณ วัดทุ่งจำลอง และทำกิจกรรมพัฒนาพื้นที่ป่า ณ บ้านสันมะกอกหวาน

โรงงานหลวงฯที่ 2 (แม่จัน) ถวายอาหารเพลพระสงฆ์ ณ วัดป่าห้า

โรงงานหลวงฯที่ 3 (เต่างอย) ถวายอาหารเพลพระสงฆ์ และทำความสะอาดวัด ณ วัดนางอย

น้อม สํา นึก ในพระมหากรุณาธิคุณ ร.9 13 ตุลาคม

การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร  มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช  บรมนาถบพิตร 13  ตุลาคม  2559นำมาซึ่งความโศกเศร้าอาดูรเสียใจอาลัยรัก  เทิดทูนของปวงประชาชนคนไทยทั่วประเทศและที่พำนักอาศัยในต่างแดน อย่างยากที่จะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดหรือตัวหนังสือได้ หลายต่อหลายคนในช่วงเวลารู้ข่าวการเสด็จสวรรคตนั้นไม่สามารถกลั้นน้ำตาแห่งการอาลัยได้ ยิ่งเมื่อถามไถ่พูดคุยคำพูดที่เปล่งออกแทบไม่เป็นประโยคกระอึกกระอักด้วยก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอด้วยความอาดูร  มีแต่น้ำตาพร่างพรูไหลออกมาอาบสองแก้มนองหน้า  อีกไม่น้อยเอาแต่กอดกันหลั่งน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้นปานประหนึ่งจะขาดใจเสียให้ได้ 

กาลเวลาผ่านไปจากวันที่คนไทยสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศชาติคือผู้ที่คนทั้งแผ่นดินเคารพรักเทิดทูนเชิดชูบูชา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐในฐานะพ่อของแผ่นดิน วันนี้คนไทยทุกคนก็ยังคงน้อมรำลึกถึงพระองค์ท่านมิส่างซา  น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทุ่มเทพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจโดยมิได้ทรงรู้เหน็ดเหนื่อย  มิทรงคำนึงถึงความสำราญส่วนพระองค์ด้วยการ เสด็จพระราชดำเนินไปทุกหนแห่งไม่ว่าจะต้องทรงปีนเขา  บุกป่า  ลุยน้ำ  กรำแดดฝน ก็มิทรงย่อท้อยากลำบากแค่ไหนก็เสด็จฯไปเมื่อทรงทราบว่าราษฎรของพระองค์ทุกข์ยากลำบากขาดแคลนเดือดร้อนในการดำเนินชีวิต  ทั้งนี้เพื่อที่จะทรงสร้างประโยชน์สุขดับทุกข์เข็ญให้แก่ประชาชนที่ทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่าคือลูกๆของพระองค์นั่นเอง

ทรงปฏิบัติพระองค์อย่างนี้ต่อเนื่องนับ 70  ปีตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชตราบเสด็จสวรรคต วันเวลาผ่านไปวันนี้วันที่  13  ตุลาคม 2563 วันเสด็จสวรรคตเวียนมาบรรจบครบ อีก ปีหนึ่ง  คนไทยทุกคนก็ยังคงอยู่ในอากัปกิริยาโศกเศร้าอาลัยเมื่อน้อมรำลึกถึงพระองค์ท่าน  ทุกคนรู้สึกอย่างเดียวกันว่าทรงสถิตย์อยู่ในใจมิได้เสด็จจากไปไหนเลย  เอ่ยพระนามในหลวงรัชกาลที่9  บางคนน้ำตาคลอเบ้าปริ่มจะหยดย้อย  บางคนน้ำตาถึงย้อยลงร่องแก้มทุกครั้งอย่างไม่รู้ตัว   

ไม่ว่าในหลวงรัชกาลที่9จะเสด็จสวรรคต แล้วกี่ปี  คนไทยทั้งประเทศก็ยังไม่ส่างความอาลัยรำลึกถึงด้วยความรักความเทิดทูน และยังน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ตลอดเวลา 70 ทรงงานหนักเพื่อให้ประชาชนคนไทยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นอยู่ดีมีสุขอย่างพออยู่พอกินพึ่งพาตนเองได้ ประเทศไทยเจริญงอกงามตามวิถีแห่งวัฒนธรรมประเพณีดีงามด้วยเพราะความเป็นคนดีของคนไทยผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่พระราชไว้ทั่วทุกภูมิภาคเป็นต้นแบบที่จะน้อมนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพในพื้นที่ของตนเองได้ ทั้งแบบอย่างการใช้ทรัพยากรป่า ทรัพยากรน้ำและทรัพยากรดินโดยเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยกันรวมแล้วเกินกว่า 4,500 โครงการ  ด้วยพระเมตตาพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าวคนไทยทุกคนน่าจะพูดออกมาจากความรู้สึกตรงกันว่าพระองค์ทรงเป็นดั่งพ่อและเป็นพ่อที่ทรงงานหนักที่สุดในโลกเพื่อลูกๆคนไทยจะหาพ่อคนใดในโลกเสมอเหมือนมิมีอีกแล้ว

ทรงทุ่มเทพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างหนักหน่วง เพื่อลูกๆอยู่ดีพออยู่พอกินพอเพียง ประเทศชาติเจริญงอกงามตามวิถีดีงามแห่งวัฒนธรรมประเพณีไทยนำมาซึ่งความสุขสงบอย่างยั่งยืน  ด้วยเพราะดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทที่ทรงเป็นแบบอย่างรวมถึงได้พระราชทานหลักคิดให้นำไปปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันคือหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านหลักการทรงงานด้วยพระราชปณิธานสร้างประโยชน์สุขแก่พสกนิกรทุกหมู่เหล่า 

ถึงจะยังเศร้าโศกอาลัยแต่วันนี้คนไทยได้เปลี่ยนความโศกเศร้าอาลัยโทมนัส ให้กลับกลายเป็นพลังตั้งหัวใจสืบสานพระราชปณิธาน  มุ่งมั่นปฏิบัติตนโดยการทำความดี น้อมนำหลักการดำเนินชีวิตปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระราชทานเป็นเครื่องมือพัฒนาคุณภาพชีวิต  เป็นเครื่องมือพัฒนาสังคมชาติบ้านเมือง  เป็นคนไทยที่ประสานพลังของจิตอาสาช่วยเหลือกันและกันทั้งประเทศ  สามัคคีกันไม่ทะเลาะกัน  ไม่แก่งแย่งกันด้วยความโลภ  พึ่งพาอาศัยแบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  ให้อภัยกันด้วยเมตตารักใคร่กัน อันเป็นเครื่องแสดงออกถึงการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล            

น้อม สํา นึก ในพระมหากรุณาธิคุณ ร.9 13 ตุลาคม

เป็นที่ประจักษ์ต่อพสกนิกรไทย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร  มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช  บรมนาถบพิตร  นับแต่เสด็จขึ้นครองราชย์ตราบจนเสด็จสวรรคตเป็นเวลา 70  ปี พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ทรงครองแผ่นดินนี้โดยทรงยึดมั่นในหลักธรรมแห่งศาสนา  เฉพาะอย่างยิ่งทรงยึดมั่นในหลักทศพิธราชธรรมเป็นเครื่องมือปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของราษฎรอย่างเสมอต้นเสมอปลาย  อีกทั้งยังพระราชทานแนะนำราษฎรทุกหมู่เหล่ายึดมั่นหลักคุณธรรมในการใช้ครองตนครองเรือน ครองการดำเนินชีวิตร่วมกันในสังคม ได้พระราชทานพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติตนของผู้ปกครอง  ตลอดจนศีลธรรมที่จำเป็นเพื่อสร้างสันติสุขและความมั่นคงในสังคมไทยแก่พสกนิกรและคณะบุคคลผู้บริหารประเทศเสมอมา

                แม้เสด็จสวรรคตแล้วแต่พระบรมราโชวาท  พระราชดำรัสที่พระราชทานไว้แก่คนไทยทั้งประเทศยังคงเป็นแสงสว่างแห่งปัญญานำพาผู้น้อมนำปฏิบีติสู่ความเจริญรุ่งเรืองความสุขในชีวิต

                พระราชดำรัสพระบรมราโชวาทที่พระราชทานล้วนแฝงองค์ความรู้คือปัญญา ล้วนแต่เตือนสติให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทจนนำทางไปสู่ความสำเร็จความสุขแบบพอเพียงที่เรียกว่าศาสตร์พระราชาในการน้อมปฏิบัติดำเนินชีวิตในสังคม  ยิ่งการอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยแบ่งปันกัน การมีความเมตตากรุณาต่อกัน มีสำนึกเสียสละให้แก่กันและกันล้วนเป็นหลักศาสตร์พระราชา  โดยตลอดระยะเวลาแห่งพระชนมชีพทรงดำเนินพระองค์เป็นแบบอย่างเป็นที่ประจักษ์คือทรงครองแผ่นดินโดยธรรม

                ทศพิธราชธรรม ทีทรงนำเป็นหลักธรรมปฏิบัติพระองค์คือ จริยวัตร 10 ประการที่ทรงประพฤติเปนหลักธรรมประจําพระองคหรือเป็นคุณธรรมประจําตนของผูปกครองบ้านเมือง ใหมีความเป็นไปโดยธรรม และยังประโยชนสุขใหเกิดแก่ประชาชนและประเทศชาติ

                ทศพิธราชธรรม ประกอบด้วย 10อ ได้แก่ ทาน หมายถึง การใหการเสียสละ นอกจากเสียสละทรัพย์สิ่งของแลว ยังหมายถึงการให้น้ำใจแก่ผู้อื่นด้วย

                ศีล หมายถึง ความประพฤติที่ดีงาม ทั้งกาย วาจา และใจ ใหปราศจากโทษทั้งในการปกครอง อันไดแก่ กฎหมายและนิติราชประเพณีและในทางศาสนา

                ปริจจาคะ หมายถึง การเสียสละความสุขสวนตน เพื่อความสุขส่วนรวม

                อาชชวะ หมายถึง ความซื่อตรงในฐานะที่เปนผู้ปกครอง ดํารงอยูในสัตย์สุจริต

                ข้อถัดมาซึ่งเป็นข้อที่ห้า มัททวะ หมายถึง การมีอัธยาศัยออนโยน เคารพในเหตุผล ที่ควรมีสัมมาคารวะตอผู้อาวุโส และออนโยนตอบุคคลที่เสมอกันและต่ำกว่า

                ข้อหกตปะ หมายถึง มีความอุตสาหะในการปฏิบัติงาน โดย ปราศจากความเกียจคราน

                อักโกธะ หมายถึง การระงับความโกรธ ไมมุ่งรายผู้อื่น แมจะลงโทษผู้ทําผิด ก็ทําตามเหตุผล

                อวิหิงสา หมายถึง การไมเบียดเบียนหรือบีบคั้น ไม่กอทุกข์หรือเบียดเบียนผูอื่น

                ข้อที่เก้าขันติ หมายถึง การมีความอดทนตอสิ่งทั้งปวง รักษาอาการ กาย วาจา ใจ ให้เรียบรอย

                ข้อมราสิบสุดท้าย  อวิโรธนะ หมายถึง ความหนักแนน ถือความถูกต้อง เที่ยงธรรมเปนหลัก ไม่เอนเอียงหวั่นไหวดวยคําพูด อารมณ์หรือลาภสักการะใด ๆ

  

น้อม สํา นึก ในพระมหากรุณาธิคุณ ร.9 13 ตุลาคม
            

          พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร  มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช  บรมนาถบพิตรทรงปฏิบัติมั่นพระองค์อยู่ในหลักทศพิธราชธรรมอย่างจริงจังเป็นที่ชื่นชมโสมมนัสเป็นที่เทิดทูนยกย่องทั้งจากประชาชนคนไทยทั่วทั้งประเทศและผู้คนในนานาอารยประเทศสร้างความภาคภูมิใจแก่คนไทยที่ได้เกิดมาในใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร

                แม้เสด็จสวรรคตแล้วแต่พระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ยังเป็นมรดกที่พระราชทานไว้ให้คนไทย อันได้แก่หลักธรรมที่นำพาสู่ความเป็นคนดี  วันนี้คนไทยแสดงออกถึงความกตัญญูคือการร่วมสืบสานเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาทจากพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระราชทานไว้ให้เป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตในการบริหารประเทศ  บริหารองค์กรและการปฏิบัติตนทั้งของผู้ปกครอง และผู้ใต้ปกครอง  ประชาชนทั่วไปที่มีหลายประเทศได้นำไปเป็นวิถีปฏิบัติดำเนินชีวิตของประชาชนแล้วขออัญเชิญมาพอเป็นตัวอย่างเพื่อน้อมรำลึกถึงพระองค์ท่าน

                พระราชดำรัสพระราชทานในการเสด็จออกมหาสมาคม เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2502 ความตอนหนึ่งว่า

                "...ขอให้ทุกฝ่ายจงสมัครสมาน กลมเกลียวกันบำเพ็ญ กรณียกิจเพื่อความเจริญ รุ่งเรืองวัฒนาถาวรของ ประเทศชาติและเพื่อ ความสมบูรณ์พูนสุข ได้บังเกิดแก่อาณาประชา ราษฎร์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป..."

                พระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2512 ความตอนหนึ่งว่า

                "...ท่านผู้ใหญ่ไปตรวจราชการที่ไหนถ้าไปถึงไม่มีใครเลี้ยงก็โกรธ แต่ถ้าไปถึงแล้วเลี้ยงก็พอใจแต่ ว่าเงินที่เลี้ยง... เอามาจากไหน เมื่อไม่ มีเงินรับรอง ของส่วนภูมิภาคก็ต้องไปเรี่ยไร กัน ไปเรี่ยไรจากข้าราชการชั้น ผู้น้อย หรือ ไม่อย่างนั้นก็ไปขูดรีดจาก พ่อค้า แล้วพ่อค้าก็ต้องถือว่า เป็นการลงทุน มันก็กลายเป็นคอรัปชั่นไป..."

                พระบรมราโชวาท พระราชทานในพิธีเปิดงานชุมชุมลูกเสือแห่งชาติ จังหวัดชลบุรี ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2512 ความตอนหนึ่งว่า

                "...ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คน ทุกคนเป็นดีได้ทั้งหมด การทำให้ บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ ทุกคนเป็นคนดี หาก แต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้ มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้..."

                พระบรมราโชวาท พระราชทานในโอกาสพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2513 ความตอนหนึ่งว่า

                “...ถ้าประชาชนไม่มีที่พึ่ง ไม่มีผู้ใดเอาใจใส่ พอ พึ่งทางราชการ ไม่ได้ ก็ต้องหันไปพึ่งผู้กว้างขวาง ผู้มีอิทธิพลจึงเป็นหน้าที่ของทาง ราชการที่จะปฏิบัติงาน เพื่อให้การบริการของ ราชการได้เข้าถึงประชาชน โดยทั่วถึงและทำด้วยความสุจริต..."

                พระราชดำรัสพระราชทานในโอกาสที่คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2523 ความตอนหนึ่งว่า

                "...รัฐบาล เป็นผู้ที่ต้องปฏิบัติงานสำคัญ สำหรับความ อยู่เย็นเป็นสุขของชาติบ้านเมือง จึงต้องบริหารให้ดีให้สอดคล้องกัน ถ้าผู้ที่ บริหารประเทศปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์ด้วย ความอดทนก็นำส่วนรวม ไปสู่ทางที่ดีได้..."

                พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2524 ความตอนหนึ่งว่า

                "...ประโยชน์หรือการสร้างสรรค์ในทางที่ดีนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ ด้วยการลงมือทำ หมายความว่าจะต้อง นำความรู้ความสามารถที่มีอยู่นั้น มาใช้งาน ลงมือใช้เมื่อไหร่ เพียงใดประโยชน์ ก็เกิด เมื่อนั้น เพียงนั้น เมื่อ ยังไม่ลงมือ ทำประโยชน์ก็ยังไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจะมีความรู้ ความสามารถมากมายเพียงใด ถ้าไม่นำใช้ก็ ปราศจากประโยชน์..."

พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่คณะรัฐมนตรีที่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2529 ความตอนหนึ่งว่า

                "...รัฐบาลนั้น เป็นสถาบันหนึ่งในสถาบันสำคัญของประเทศ จึง ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยถือว่าชาติ บ้านเมืองเป็นหมายสำคัญ และความ อยู่ดีกินดีของประชาชนเป็นสิ่งที่ปรารถนา ด้วย การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความ ตั้งใจจริง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และขยันหมั่นเพียร..."

                พระราชดำรัสพระราชทานแก่ประชาชนในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2538 ความตอนหนึ่งว่า

                "...ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใดอยู่ ก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงด้วยความรู้ความสามารถด้วยความจริงใจ พร้อมใจ และความเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน ผลการปฏิบัติของแต่ละคน แต่ละฝ่าย จักได้ ประกอบ และส่งเสริมกัน เป็นความมั่นคงวัฒนา ของ ประเทศชาติ..."

                 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9  อย่างหาที่สุดมิได้ตลอดเวลาแห่งการครองราชย์  70  ปีที่ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ เสียสละ ทรงงานเพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนชาวไทย โดยไม่ทรงคำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อย สมดังที่นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติได้กล่าวสดุดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9ไว้ เมื่อองค์การสหประชาชาติทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549 ความตอนหนึ่งว่า

“...พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์เอื้อไปยังบรรดาผู้ที่ยากจนที่สุด และเปราะบางที่สุดในสังคมไทย ทรงรับฟังปัญหาของพวกเขาเหล่านั้น และให้ความช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นให้สามารถยืนหยัดดำรงชีวิตของตนเองต่อไปได้ด้วยกำลังของตัวเอง... โครงการเพื่อการพัฒนาชนบทต่างๆ ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังประโยชน์ให้กับประชาชนนับเป็นล้านๆ ทั่วทั้งสังคมไทย...

                  โอกาสวันที่ 13 ตุลาคม 2563วันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร  มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช  บรมนาถบพิตร  ข้าพระพุทธเจ้าสำนักข่าวการศึกษา Edunewssiam.comในนามปวงพสกนิกรชาวไทยร้อยรวมดวงใจน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณสืบสานพระราชปณิธานในการน้อมนำหลักคุณธรรมตามแนวพระราชดำริเป็นเครื่องมือประกอบความดีงามให้สังคมชาติบ้านเมือง ให้ชุมชน ให้ครอบครัว ดำรงมั่นในวิถีชีวิตวัฒนธรรมประเพณีไทยอันดีงามเป็นแบบอย่างความเป็นคนดีของบ้านเมืองด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ตราบนิรันดร์

ทรงสร้างสุขทั้งแผ่นดิน

เสกสรร  สิทธาคม

Edunewssiam.com