ไม่บังคับ แต่หากจะให้กลอนสละสลวยควรมีสัมผัสระหว่างคำที่สองกับคำที่สาม หรือระหว่างคำที่สี่กับคำที่ห้าของแต่ละวรรค กฎสัมผัสบังคับของกลอนหก ตัวอย่าง วันหนึ่งสากลย์คนธรรพ์ พร้อมกันสังคีตดีดสี เป็นที่เหิมเหมเปรมปรี ต่างมีสุขล้ำสำราญ บางองค์ทรงรำทำเพลง บังคลบรรเลงศัพท์สาร บันเทิงเริงรื่นชื่นบาน ในวารอิ่มเอมเปรมใจ (กนกนคร, กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์) 2) กลอนเจ็ด กลอน 7 เป็นบทประพันธ์ที่กำหนดให้มีวรรคละ 7 คำ บางวรรคอาจมี 8 คำได้ เพราะเป็นคำผสม การส่งสัมผัส คำสุดท้ายของกลอนสดับส่งไปยังคำที่ 2 หรือที่ 3 ของกลอนรับ คำสุดท้ายของกลอนรับส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของกลอนรอง คำท้ายของกลอนรอง ส่งสัมผัสไปยังคำที่ 2 หรือที่ 3 ของกลอนส่ง คำสุดท้ายของกลอนส่ง ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของกลอนรับในบทต่อไป มีแผนผังและตัวอย่างดังนี้ คณะ กลอนเจ็ด บทหนึ่งประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 7 คำ ตามผัง กฎสัมผัสบังคับของกลอนเจ็ด สัมผัสนอก ให้มีสัมผัสระหว่างคำสุดท้ายวรรคหน้ากับคำที่สองของวรรคหลังของทุกบาท และให้มีสัมผัสระหว่างบาทคือคำสุดท้ายของวรรคที่สองสัมผัสกับคำสุดท้ายวรรคที่สาม ส่วนสัมผัสระหว่างบท กำหนดให้คำสุดท้ายของบทแรก สัมผัสกับคำสุดท้ายวรรคที่สองของบทถัดไป สัมผัสใน ไม่บังคับ แต่หากจะให้กลอนสละสลวยควรมีสัมผัสระหว่างคำที่สองกับคำที่สาม หรือระหว่างคำที่สี่กับคำที่ห้าหรือคำที่หกของแต่ละวรรค ตัวอย่าง เสตเตลงเกรงกริ่งนิ่งรำลึก คัดคึกข่าวทัพดูคับขัน จักเตรียมค่ายใหญ่ก็ไม่ทัน จำกั้นกีดขวางหนทางยุทธ์ ตั้งขัดตาทับรับไว้ก่อน เพื่อผ่อนเวลาให้ช้าสุด จวนตัวกลัวว่าศัตราวุธ หวิดหวุดหมดหวังในครั้งนี้ (สามกรุง, กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์)
ตามหลักฐานทางวรรณคดีไทย กลอน 8 พบครั้งแรกในกลบทศิริวิบุลกิตติ สมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งค้นพบกันว่าจังหวะและลีลาลงตัวที่สุด จึงมีคนแต่งแบบนี้มากที่สุด และผู้ที่ทำให้กลอน 8 รุ่งเรืองที่สุดคือท่าน สุนทรภู่ ที่ได้พัฒนาเพิ่มสัมผัสอย่างเป็นระบบ ซึ่งใกล้เคียงกับกลบทมธุรสวาทีในกลบทศิริวิบุลกิตติ์ กลอนแปด นั้นถือว่าเป็นขนบกวีนิพนธ์พื้นฐานที่นิยมที่สุดในไทย เหตุเพราะมีฉันทลักษณ์ที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน สามารถแสดงอารมณ์ได้หลากหลาย และคนทั่วไปสามารถเข้าถึงเนื้อความได้ไม่ยาก หนึ่งในรูปแบบของกลอนแปดก็คือ รูปแบบกลอนแปดของสุนทรภู่ ซึ่งความแพรวพราวด้วยสัมผัสใน และขนบดังกล่าวนี้ก็ได้รับการสืบทอดต่อมาในงานกวีนิพนธ์ยุคหลังๆ กระทั่งปัจจุบัน คณะ กลอนแปด บทหนึ่งประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 8 คำ ตามผัง
หลักการใช้เสียงวรรณยุกต์ คำสุดท้ายของวรรคที่ 1 ใช้เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวา แต่ไม่นิยมเสียงสามัญ คำสุดท้ายของวรรคที่ 2 ห้ามใช้เสียง สามัญ หรือ ตรี นิยมใช้เสียง จัตวา เป็นส่วนมาก คำสุดท้ายของวรรคที่ 3 ห้ามใช้เสียง เอก โท จัตวา นิยมใช้เสียง สามัญ หรือ ตรี คำสุดท้ายของวรรคที่ 4 ห้ามใช้เสียง เอก โท จัตวา นิยมใช้เสียง สามัญ หรือ ตรี ตัวอย่าง เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น เพราะดั้นด้นอยากลิ้มชิมรสหวาน ครั้นได้รสสดสาวจากจาวตาล ย่อมซาบซ่านหวานซึ้งตรึงถึงทรวง ไหนจะยอมให้เจ้าหล่นลงเจ็บอก เพราะอยากวกขึ้นลิ้นชิมของหวง อันรสตาลหวานละม้ายคล้ายพุ่มพวง พี่เจ็บทรวงช้ำอกเหมือนตกตาล... (นิราศพระบาท, สุนทรภู่) กลอนเก้า เป็นบทประพันธ์ที่กำหนดวรรคละ 9 คำ บางวรรคอาจมี 10 คำ เพราะเป็นคำผสม การสัมผัสทั้งในวรรคและนอกวรรค ทั้งนอกบท มีอย่างเดียวกับกลอนแปด มีแผนผังและตัวอย่างดังนี้ คณะ กลอนเก้า บทหนึ่งประกอบด้วย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 9 คำ ตามผัง ตัวอย่าง นายชายพรานหนึ่งชาญไพรล่ำใหญ่ขยับ ได้ยินกลองเดิรย่องกลับดูขับขัน มือป้องหน้ามุ่งป่าแน่วแนวแถววัน สุนัขย่องสุดมองขยันติดพันตาม มุ่งปะทะมาปะที่คนตีกลอง เพื่อนทักจ๋าพูดหน้าจ้องพรานร้องถาม เดิมแรกหูได้รู้เหตุสังเกตความ ว่าทรงนามว่าทรามนาฎนิราศจร (กลบทระลอกแก้วกระทบฝั่ง, ศิริวิบุลกิตติ, หลวงปรีชา) ***ฟังตัวอย่างการอ่านกลอนสุภาพ คลิกที่นี่ 2. กลอนลำนำ กลอนลำนำ เป็นกลอนที่แต่งขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายสำหรับการขับโต้ตอบกัน การขับลำนำเพื่อความไพเราะ และการขับร้องประกอบการแสดงเพื่อความบันเทิง แบ่งเป็น 5 ชนิด ได้แก่ 1) กลอนดอกสร้อย กลอนดอกสร้อย เป็นกลอนที่แต่งขึ้นเพื่อขับร้อง กลอนดอกสร้อย 1 บท มี 4 บาท จะมี 2 วรรค ใน 1 วรรค จะมี 7-9 พยางค์ ยกเว้นวรรคที่ จะมี 4 พยางค์ และพยางค์ที่ 2 จะมีคำว่า เอ๋ย ส่วนวรรคสุดท้ายของบทจะลงท้ายด้วยคำว่า เอย เสมอ การสัมผัสบังคับ 1. พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ 1 บังคับให้สัมผัสกับพยางค์ที่ 3 ของวรรคที่ 2 (บางครั้งผ่อนผันให้สัมผัสกับพยางค์ที่ 1,2,4 หรือ 5 ของวรรคที่ 2 ก็ได้) แผนผัง ตัวอย่าง การสัมผัสบังคับ และการแบ่งวรรคในการอ่าน กลอนดอกสร้อย แมวเอ๋ย/แมวขโมย ดูซูบซีด/อิดโรย/เสียหนักหนา เด็กชายเก่ง/คนดี/มีเมตตา ให้ข้าวปลา/อิ่มหนำ/แสนสำราญ จากแมวโทรม/ถอดรูปแล้ว/เป็นเเมวสวย แถมยังช่วย/จับหนู/อยู่ในบ้าน กตัญญู/รู้คุณ/รู้ทำงาน ชีวิตก็/เบิกบาน/สำราญเอย (จตุภูมิ วงษ์แก้ว) 2) กลอนสักวา ลักษณะกลอนสักวา คำว่าสักวา เขียนเป็นสักรวาก็มีคำว่าสักวานี้ย่อมาจากสักวาทะ หรือสักวาทีซึ่งเป็นคำตรงกันข้ามกับคำปรวาทะ หรือปรวาทีเพราะในการเล่นสักวานั้นมีการโต้ตอบกันเป็นบทกลอนการเล่นสักวาเป็นการเล่นอย่างหนึ่งของชาวไทยมีมาแต่สมัยอยุธยาเมื่อถึงฤดูน้ำมากนเทศกาลทอดกฐิน ทอดผ้าป่าและเที่ยวทุ่ง ในสมัยนั้นผู้มีบรรดาศักดิ์ตั้งแต่เจ้านายลงมาจะพาบริวารซึ่งเป็นนักร้องทั้งต้นบทและลูกคู่ มีโทน ทับ กรับ ฉิ่ง ลงเรื่อไปเที่ยวบางลำก็เป็นเรือชาย กฎกลอนสักวา 1. กลอนสักวาบทหนึ่งมี 8 วรรค หรือ 2 คำกลอน วรรคหนึ่งใช้คำตั้งแต่ 6-9 คำ ถ้าจะแต่งบทต่อไปต้องขึ้นบทใหม่ ไม่ต้องมีสัมผัสเกี่ยวข้องกับบทต้น แผนผัง ตัวอย่างกลอนสักวา สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน 3) กลอนเสภา กลอนเสภา เป็นคำประพันธ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งแต่งเพื่อใช้ขับ เพราะใช้เป็นกลอนขับ จึงกำหนดคำไม่แน่นอน มุ่งการขับเสภาเป็นสำคัญจึงใช้คำ 7 คำ ถึง 9 คำ การส่งสัมผัสนอกเหมือนกับกลอนสุภาพแต่ไม่บังคับหรือห้ามเสียงสูง ต่ำ ตามจำนวนคำแต่ละวรรค อยู่ในเกณฑ์กลอน 7-9 เช่น เสภาขุนช้างขุนแผน มีแผนผังและตัวอย่างดังนี้ 4) กลอนบทละคร กลอนบทละคร เป็นคำประพันธ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งแต่งขึ้นเพื่อใช้ในการเล่นละคร ต้องอาศัยทำนองขับร้องและเครื่องดนตรีประกอบ แต่งเสร็จต้องนำไปซักซ้อมปรับปรุง ดังนั้น จำนวนคำของแต่ละวรรคจึงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจังหวะขับร้องเป็นสำคัญ ว่าโดยหลักมีแต่ 6 คำ ถึง 9 คำ แต่ที่ปรากฏว่าใช้มากสุด คือ 6 คำ เช่นเรื่องรามเกียรติ์ เฉพาะวรรคแรกขึ้นต้น ใช้ 2 คำ ถึง 4-5 คำ บางคราวก็ส่งสัมผัสไปยังวรรคที่ 2 บางคราวก็ไม่ส่ง คำที่ใช้เช่น เมื่อนั้น, บัดนี้, น้องเอ๋ยน้องรัก แม้กลอนสดับ จะใช้คำพูดเพียงสองคำ ก็ถือถือว่าเต็มวรรค โดยลักษณะสัมผัสในวรรคและนอกวรรค นิยมใช้แบบกลอนสุภาพ แต่งเป็นตอน ๆ พอจบตอนหนึ่ง ขึ้นตอนต่อไปใหม่ ไม่ต้องรับสัมผัสไปถึงตอนที่จบ เพราะอาจเปลี่ยนทำนองตามบทบาทตัวละคร ที่ขึ้นต้นว่า เมื่อนั้น ใช้สำหรับพระเอกหรือผู้นำในเรื่อง บัดนั้น ใช้สำหรับเสนา กลอนนี้เป็นกลอนผสม คือ กลอน 6 กลอน 7 กลอน 8 หรือ กลอน 9 ผสมกันตามจังหวะ มีแผนผังและตัวอย่างดังนี้ ***ฟังตัวอย่างการอ่านกลอนลำนำ คลิกที่นี่ 3. กลอนตลาด
นวนิยายสมัยใหม่ก็ได้ เนื้อเรื่องของกลอนนิทานเป็นเรื่องแต่ง ซึ่งอาจนำมาจากชาดก นิทานพื้นบ้าน หรือจินตนาการขึ้นเอง มีโครงเรื่อง ตัวละคร ฉากเหตุการณ์ กลอนนิทาน เป็นวรรณกรรม ที่มุ่งให้ความบันเทิงหรือแทรกคติสอนใจ เช่น พระอภัยมณี ลักษณวงศ์ โคบุตร จันทโครบ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องจักรๆ วงศ์เป็นส่วนใหญ่ |