พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชสร้างในวโรกาสมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 และเพื่อเป็นการถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสครบ 400 ปี แห่งชัยชนะที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จกรีฑาทัพผ่านกาญจนบุรีไปทรงยึดกรุงหงสาวดี เมื่อปี พ.ศ. 2142 สถานที่ตั้งพระบรมราชนุสาวรีย์เป็นสถานที่เชื่อกันว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำสงครามยุทธหัตถีชนะสมเด็จพระมหาอุปราชาของพม่า หลักฐานที่ค้นพบเต็มไปด้วยวัตถุโบราณที่ใช้ในการทำสงคราม ทั้งเครื่องศาสตราวุธ เครื่องประดับช้างม้า ลูกประคำม้า เครื่องประดับช้าง ตราม้าศึกและกระสุนปืน พระบรมราชานุสาวรีย์เป็นพระบรมรูปประทับช่วงบนพระคชาธาร พระแสงดาบพาดพระเพลา นายควาญช้างและท้ายช้างประกอบขนาดเท่าครึ่งของครึ่งพระองค์จริง น้ำหนักวัสดุทองเหลืองที่ใช้ในการจัดสร้างประมาณ 20 ตัน งบประมาณในการก่อสร้างเป็นเงินประมาณ 50 ล้านบาท สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2543 และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมราชนุสาวรีย์ เมื่อวันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2546 พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เปิดให้นักท่องเที่ยวและประชาชนสักการะทุกวันระหว่างเวลา 08.30 - 16.30 น. เดิมบริเวณนี้เรียกว่าทุ่งภูเขาทอง ในอดีตเคยเป็นสมรภูมิรบหลายครั้งหลายคราว วีรบุรุษของไทยนับไม่ถ้วนได้เสียสละชีวิตเลือดเนื้อ เพื่อปกป้องอธิปไตยและดำรงไว้ซึ่งความเป็นไท เมื่อ พ.ศ. 2129 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงกระทำศึกอย่างเหี้ยมหาญ เป็นผลให้อริราชศัตรูต้องพ่ายแพ้ไป พื้นที่นี้จึงได้รับการพัฒนาสร้างเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ บริเวณที่เคยรบกับพม่าในครั้งนั้น พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช อยู่ในลักษณะสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงม้าศึก ประดิษฐานบนแท่นและลานหินสีขาว โดยเลือกเหตุการณ์ตอนทรงม้าออกมาสังหาร “ลักไวทำมู” ทหารเอกของพระเจ้าหงสาวดี นอกจากนี้ยังสร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พระบรมราชานุสาวรีย์มีพื้นที่ทั้งหมด 1,075 ไร่ ประกอบด้วยสระเก็บน้ำ พื้นที่จัดกิจกรรม มีภูมิทัศน์บริเวณรอบอนุสาวรีย์สวยงาม สวนสาธารณะพักผ่อนหย่อนใจสำหรับประชาชน พื้นที่รับน้ำทำการเกษตร
ข้อมูลทั่วไป
รำลึก “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” กษัตริย์ในอดุมคติของสยามประวัติสมเด็จพระนเรศวร ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิ์กษัตริย์ พระราชสมภพเมื่อปี พ.ศ. 2098 ณ เมืองพิษณุโลก แต่ต้องไปประทับเป็นองค์ประกันที่หงสาวดีตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เพราะสมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงยอมอ่อนน้อมต่อพม่า จนเมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาได้ครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะเมืองประเทศราชของพม่า สมเด็จพระนเรศวรจึงเสด็จกลับมาครองเมืองพิษณุโลกดำรงตำแหน่ง “อุปราชฝ่ายหน้า” หรือ “พระเจ้าอยู่หัวฝ่ายหน้า” ซึ่งทรงมีบทบาทและอำนาจโดดเด่นเสมอพระเจ้าแผ่นดิน ทรงเลื่องลือในการศึกสงครามจนฝ่ายพม่าไม่วางใจ จึงวางแผนสังหารเสีย แต่ทว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงล่วงรู้ก่อน จึงตัดสินพระทัยปลดแอกจากการเป็นประเทศราชของพม่า และสร้างความแข้มแข็งขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง แม้เมื่อสวรรคตที่เมืองหางในรัฐฉานของพม่าเมื่อปี พ.ศ.2148 ก็ทรงอยู่ในระหว่างเสด็จนำทัพไปตีเมืองอังวะ พระองค์จึงเป็นกษัตริย์ในอุดมคติของสยาม เพราะทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาและเป็นแบบอย่างของความกล้าหาญ วัดไร่ขิง (Wat Rai Khing) พระอารามหลวงที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่งดงามด้วยพุทธศิลป์เชียงแสน คือหลวงพ่อวัดไร่ขิง ซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานพระศักดิ์สิทธิ์ลอยน้ำ 5 พระองค์ ได้แก่ หลวงพ่อโต วัดบางพลีใน สมุทรปราการ, หลวงพ่อทอง วัดเขาตะเครา เพชรบุรี, หลวงพ่อโสธร ฉะเชิงเทรา, หลวงพ่อวัดบ้านแหลม สมุทรสงคราม และหลวงพ่อวัดไร่ขิง ซึ่งลอยมาตามแม่น้ำนครไชยศรี นครปฐม นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังจะได้ล่องเรือชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำนครไชยศรีและแวะซื้อของฝากที่ตลาดน้ำดอนหวายได้อีกด้วย อ่านต่อพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตั้งอยู่ริมถนนสายอยุธยา–อ่างทอง อำเภอพระนครศรีอยุธยา ห่างจากเกาะเมืองไปทางทิศเหนือประมาณ 1 กม. บริเวณนี้เรียกว่าทุ่งภูเขาทอง ในอดีตเคยเป็นสมรภูมิรบหลายครั้งหลายคราว วีรบุรุษของไทยนับไม่ถ้วนได้เสียสละชีวิตเลือดเนื้อเพื่อปกป้องอธิปไตยและดำรงไว้ซึ่งความเป็นไทย |