ปาฏิหาริย์ หลวงพ่อ อิฐ วัดจุฬามณี

♦♦♦ อธิษฐ์ ไชยโชค หรือ “ป๊าเอ้ จุฬา” กรรมการรับตัดสินพระเครื่องโต๊ะหลวงพ่ออิฏฐ์วัดจุฬามณี สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย สายตรงวัตถุมงคลวัดจุฬามณี ตั้งแต่รุ่นหลวงพ่อเนื่อง โกวิโท หรือพระครูโกวิทสมุทรคุณ พระเกจิดังสายลุ่มน้ำแม่กลอง ที่โด่งดังเมื่อ 30 ปีก่อนนี้ และ วัตถุมงคลหลวงพ่ออิฏฐ์  ภทฺทจาโร หรือ พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ ผู้สืบสานต่อวิชาอาคมขลังและโด่งดังในปัจจุบัน เป็นผู้มีเมตตาให้ศิษย์ใกล้ชิด ค้าขายดีมีชีวิตใหม่ได้เหมือนฝัน

♦♦♦ “ป๊าเอ้ จุฬา” เติบโตจากหมู่บ้านเล็กๆหลังวัดจุฬามณี ต.อัมพวา อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีความสงบร่มเย็นมาแต่รุ่นปู่ย่าตายายไปทำบุญสุนทานกันที่วัดนี้สืบต่อกันมา ตนเองได้ศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่านชั้นประถมจากโรงเรียนวัดจุฬามณีนี่แหละ  จึงมีโอกาสได้ศึกษาหาความรู้ต่อที่โรงเรียนอัมพวันวิทยาลัย ได้เรียนต่อจบอนุปริญญา ปวส. เทคนิคสมุทรสงครามกระทั่งได้เข้าทำงานมีอาชีพมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้

♦♦♦ “วัดจุฬามณี” มีพระเกจิที่โด่งดังมาครั้งคุณพ่อคุณแม่ มีผู้คนเข้าออกเดินทางมากราบขอพรรับวัตถุมงคล หลวงพ่อเนื่อง โกวิโท ทำให้ทางบ้านมีที่ทำมาหากินขายเต้าหู้ทอดอยู่หน้ากุฏิหลวงพ่อนั่นแหละ มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อเนื่องท่านเรียกลูกศิษย์ไปในโบสถ์แจกเหรียญกษาปณ์ ปี 29 ตนเองได้รับมากับมือยังเก็บรักษาอยู่ ช่วงวัยเด็กได้ติดตามคุณพ่อคุณแม่ไปทำบุญ ช่วยงานวัดตลอดมามิได้ขาดและยังได้บรรพชาเป็นสามเณรตอนอายุ 9 ขวบรับใช้หลวงพ่อเนื่องอยู่ที่วัดนี้ด้วย วัตถุมงคลที่หลวงพ่อเนื่องและหลวงพ่ออิฏฐ์ท่านเมตตาแจกมาให้ทางบ้านจะนำใส่ไว้ในตะกร้าเป็นที่รวบรวมวัตถุมงคลพระเครื่องไว้ทั้งหมดที่บ้านคุณแม่

♦♦♦ ป๊าเอ้ จุฬา บอกด้วยว่า พระเครื่องที่เก็บรวบรวมไว้ในตะกร้าอยู่ที่บ้านคุณแม่ถูกขโมยลักไปหมดทำให้ตนเองเกิดความรู้สึกเสียดายและเสียใจอยู่บ้างที่วัตถุมงคลหลายรุ่นเป็นที่นิยมสะสมหายากและเริ่มมีราคาแพง มีทั้งรูปหล่อรุ่นแรกหลวงพ่อเนื่อง รูปหล่อปี 20-27-29 เหรียญหลายรุ่นตั้งแต่ปี 2512 -13- 17-21 ร่วมมูลค่าหลายแสน ทำให้ ป๊าเอ้ เริ่มสนใจสะสมด้วยการหาเช่าบูชาด้วยเงินเดือนของตนเองเดือนละองค์สององค์ เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อเนื่อง ปี 2511 และเหรียญจำปีท้าวเวสสุวรรณรุ่นแรก ปี 2545 ก็ซื้อได้แค่เหรียญละไม่เกิน 100 บาทได้ตามละแวกบ้าน ร้านกาแฟ พวกพ้องที่ชาวบ้านเก็บๆกันไว้แม้ตามแผงพระเครื่อง ทำให้รู้จักกับผู้คนที่ชื่นชอบและสะสมวัตถุมงคลวัดจุฬามณีหลายท่าน ศึกษาเรียนรู้วัตถุมงคลของสองหลวงพ่ออย่างจริงจังมานานกว่า 13 ปีตั้งแต่ปี 2551 - 2552 เรียกได้ว่ามีความชำนาญวัตถุมงคลสายวัดจุฬามณีไม่มีพลาด

♦♦♦ “บ้านมีดี”  มีดีอะไรทำไม ป๊าเอ้ จุฬา จึงมีศรัทธาเข้าถึงสำนักสักยันต์อันโด่งดังนี้ เพื่อนมาชวนอยู่ถึง 2 ปี เพื่อนบอกว่า “ที่นี่ของจริง” จึงตัดสินใจไปลองดู ได้พบกับท่านอาจารย์ ป่อง นวมมานา หรืออาจารย์บุญธรรม น่วมมานา ศิษย์ปู่เที่ยง ผู้เป็นบิดาได้ถ่ายทอดวิชาอาคมทุกอย่างให้ อ. ป่อง น่วมมานา ลูกชายเป็นมรดกสืบทอดสายเหนียวมาถึงปัจจุบันนี้ เช่นสืบทอดวิชาจากหลวงปู่ทองวัดราชโยธาจากขรัวตาแสง วัดมณีชลขัณฑ์  หลวงปู่เผือกวัดกิ่งแก้ว ปู่แก้ว คำวิบูลย์ อ.อยู่ เรือลอย อ.เจ๊ก สามแยกไฟฉาย อ.หม่อง ชาวพม่าสอนวิชาหมูทองแดง ยันต์ดังสร้างชื่อให้ปู่เที่ยง เป็น 1 ใน 4 จตุรเทพฆราวาสสายเหนียว ป๊าเอ้ จุฬาได้สักยันต์หมูทองแดงกับท่าน อ.ป่อง น่วมมานา เพื่อคุ้มครองตัวเองจากหนักให้เป็นเบา ไม่ใช่สักยันต์แล้วอยู่แบบนักเลง “ปัจจุบันเขาวัดกันที่เงินในบัญชี” ไม่ใช่วัดด้วยกำลังที่ยิ่งใหญ่สายนักเลง

♦♦♦ ป๊าเอ้ จุฬา เล่าว่าตนเองและครอบครัวศรัทธาสำนักสักยันต์บ้านมีดี มากขึ้นเนื่องจาก บุตรสาวไม่สบายไข้ขึ้นอยู่บ่อยๆ จึงขอยืมตะกรุดพ่อป่อง น่วมมานา มาผูกข้อมือลูกสาวอาการไข้หายอย่างปลิดทิ้งได้อย่างปาฏิหาริย์ ทำให้ตนเองและครอบครัวมีความมั่นใจในความเข้มขลังเพิ่มกำลังศรัทธามากขึ้น ปัจจุบัน ป๊าเอ้ จุฬา เป็นกรรมการรับตัดสินพระเครื่องโต๊ะวัตถุมงคลวัดจุฬามณี ของสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย  Facebook: ป๊าเอ้ จุฬา โทร.084-0193578

ประวัติ หลวงพ่ออิฏฐ์ วัดจุฬามณี

ชื่อ พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ สมโภชน์ ฉายา ภทฺทจาโร
สถานะเดิม ชื่อสมโภชน์ นามสกุล อมรรัตนบดี เกิดวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๐ ปีวอก บิดาชื่อนายพจน์ น้อยมา มารดาชื่อนางประนอม น้อยมา เกิดที่บ้านเลขที่ ๗๘ ตำบลอัมพวา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
บรรพชา วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๑๔ ณ วัดบางกะพ้อม ตำบลอัมพวา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
นามพระอุปัชฌาย์ พระครูโกวิทสมุทรคุณ วัดจุฬามณี ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
อุปสมบท วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๐ ณ วัดจุฬามณี ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
นามพระอุปัชฌาย์ พระครูโกวิทสมุทรคุณ วัดจุฬามณี ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
วิทยฐานะ - พ.ศ.๒๕๑๒ สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดนางวัง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
- พ.ศ.๒๕๒๑ สอบได้นักธรรมชั้นเอก สำนักศาสนศึกษา วัดจุฬามณี ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
- การศึกษาพิเศษ มีความชำนาญ อ่าน - เขียน อักษรขอมโบราณได้
- ความชำนาญพิเศษ ทางด้านนวกรรมการก่อสร้าง
พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดจุฬามณี
ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
ในปี พ.ศ.๒๕๓๒ จนถึงปัจจุบัน


การศึกษาวิชาจากคณาจารย์

1 หลวงปู่สาย วัดหนองสองห้อง สมุทรสาคร ยันต์นกคุ้มกันไฟ
2 หลวงปู่ดโต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร ยันต์ตรีนิสิงเห
3 หลวงพ่อปึก วัดสวนหลวง สมุทรสงคราม เจิมเรือ
4 หลวงปู่ขวัญ วัดโพธิดก ราชบุรี ตะกรุดพระเจ้า 16 พระองค์
5 หลวงพ่อคลี่ วัดประชาโฆสิตาราม สมุทรสงคราม เจิมบ้าน
6 หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม ให้เจิมรถแทน
7 หลวงปู่หยอด วัดแก้วเจริญ สมุทรสงคราม ไหม 5 สี,ตะกรุดโลกธาต
8 หลวงพ่อพิน วัดอุบลวรรณาราม ราชบุรี เหรียญมหาปราบ,หนุมานเชิญธง
9 หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ พระนครศรีอยุธยา นารายณ์แปลงรูป
10 หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา พระนครศรีอยุธยา นะ ฉัพพัณนะรังษี
11 หลวงพ่อเก๋ วัดแม่น้ำ สมุทรสงคราม ตะกรุดจันทร์เพ็ญ
12 หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว นครปฐม เบี้ยแก้
13 หลวงพ่อสุธรรม วัดเขาพระ เพชรบุรี นั่งสมาธิสายวัดปากน้ำภาษีเจริญ
14 หลวงพ่อแผว วัดตะโหนดหลวง เพชรบุรี ลูกศร
15 หลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร เพชรบุรี ต่อกระดูก
16 หลวงพ่อไห วัดบางทะลุ เพชรบุรี แหวนพิรอด
17 โยมเหมือน อนันตรพีระ สมุทรสงคราม ใบมะนาวรักษาโรค
18 โยมหมอเย็น คำแหง สมุทรสงคราม วิชาหลวงปู่บ่ายวัดช่องลม
19 โยมวิทย์ จันหอม สมุทรสงคราม วิชาสายหลวงปู่อ่วมวัดไทรและหลวงปู่อยู่วัดน้อย

 

ประวัติ ท่านพ่อท้าวเวสสุวรรณ

ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท่านท้าวกุเวร นั้น ส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ ยืนถือกระบองยาว หรือ คทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่า มหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ย อีกด้วย กล่าวกันว่า ผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือ มีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณ สำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัย จากวิญญาณร้าย ที่จะเข้ามา เบียดเบียน ในภายหลัง ภาพลักษณ์ของท้าวกุเวร ที่ปรากฎในรูปของชายพุงพลุ้ย เป็นที่เคารพนับถือ ในความเชื่อว่า เป็นเทพแห่งความร่ำรวย แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งมาในรูปของยักษ์ เป็นที่เคารพ นับถือว่า เป็นเครื่องราง ของขลัง ป้องกัน ภูติผีปีศาจ

“สารานุกรมไทย” ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439

กล่าวถึง ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ มียักษ์ และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร ท้าวกุเวรนั้น บางทีก็เรียกว่า ท้าวไวศรวัน (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬ เรียก กุเวร ว่า กุเปรัน ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่า เป็นพี่ต่างมารดาของ ทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบก ของท้าวกุเวรไป ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการ ผิวขาว มีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสสุวรรณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวร ชื่อ อลกาอยู่ บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่ง ของเขาพระสุเมรุ ชื่อว่า สวนไจตรต หรือ มนทร มีพวกกินนร และคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวรเป็นโลกบาล ประจำทิศเหนือ จีน เรียกว่า โต้เหวน หรือ โต้บุ๋น ญี่ปุ่น เรียก พสมอน

ท้าวกุเวรนี้ สถิตอยู่ยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระ ชื่อ ธรณี กว้าง 50 โยชน์ ในน้ำ ดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วย หมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑป ชื่อ ภคลวดี กว้างใหญ่ 12 โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้ เป็นสโมสรสถาน ของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปรเทพยสถานอีก 10 แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์ เป็นเสนาบดี 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน

นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่า ท้าวเวสสุวรรณยังมีกายสีเขียว สัณฐานสูง 2 คาวุต ประมาณ 200 เส้น มีอาวุธเป็นกระบอง มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ บางทีปราสาท อาภรณ์มงกุฎประดับรูปนาค ดำรงอิสริยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีบริวารแสนโกฏิ ถือโล่แก้ว ประพาฬ หอกทอง




ลัทธิความเชื่อของพราหมณ์

กล่าวถึงประวัติของท้าวเวสสุวรรณไว้ว่า ทรง เป็นโอรสของ พระวิศรวิสุมนี กับ นางอิทาวิทา แต่ในมหาภารตะว่า เป็นโอรสของพระปุลัสต์ ซึ่งเป็นบิดาของ พระวิศรวัส กล่าวว่า ด้วยเหตุที่ท้าวกุเวร ใฝ่ใจกับท้าวมหาพรหม เป็นเหตุทำให้บิดาโกรธ จึงแบ่งภาคเป็น พระวิศวรัส หรือ มีนามหนึ่งว่า เปาลัสตยัม ซึ่งรามเกียรติ์ไทยเรียกว่า ลัสเตียน

ท้าวลัสเตียน หรือ พระวิศวรัสซึ่งเป็นภาคหนึ่งของ พระวิศรวิสุมนี นั้น ได้นางนิกษา บุตรีท้าวสุมาลีรักษา เป็นชายา มีโอรสด้วยกันคือ ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ พิเภก และ นางสำมะนักขา ดังนั้น ท้าวกุเวร จึงเป็นพี่ชายต่างมารดา และร่วมบิดาเดียวกับทศกัณฐ์ เหตุที่ท้าวกุเวรผิดใจกับผู้เป็นพ่อ เพราะไปฝักใฝ่กับท่านท้าวมหาพรหม ซึ่งเป็นเทวดา ทำให้ผู้เป็นพ่อ คือ พระวิศรวิสุมนีโกรธ เพราะถือทิฐิว่า ตนเป็นยักษ์ ที่เป็นเทวดาต่ำศักดิ์กว่า ไม่ควรไปยุ่งกับเทวดา ที่บนสวรรค์ชั้นสูงกว่า เห็นคนอื่นดีกว่าพ่อของตน ก็เลยแบ่งภาคออกไปมีเมียใหม่ ลูกใหม่ ซะเลย ที่ท้าวกุเวร มีใจฝักใฝ่กับท่านท้าวมหาพรหมนั้น เป็นเพราะท้าวกุเวรนั้น ต้องการบำเพ็ญตบะบารมี หรือ สร้างสมความดี ด้วยการเข้าฌาน และบำเพ็ญทุกรกิริยา นานนับพันปี จนท่านท้าวมหาพรหมโปรดปราน ประทานบุษบกให้ อันบุษบกนี้ หากใครได้ขึ้นไปแล้ว สามารถล่องลอยไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ

เดิมทีนั้น ท้าวกุเวรครองกรุงลงกา ซึ่งมีพระวิศกรรม เป็นผู้สร้างให้ แต่นางนิกษา ได้ยุยงให้ทศกัณฐ์ ชิงกรุงลงกา มาจากท้าวกุเวร ทั้งยังชิงเอาบุษบกอันพระพรหมได้ประทานแก่ท้าวกุเวรมาด้วย ดังที่ได้บอกเอาไว้แล้วว่า บุษบกนี้ สามารถลอยไปไหนมาไหนได้ดังใจนึก แต่มีข้อห้ามมิให้หญิงที่ถูกสมพาส (แปลว่า การอยู่ร่วม การร่วมประเวณี) จากชาย 3 คน นั่ง ซึ่งต่อมานางมณโฑ ได้นั่งบุษบก จึงไม่สามารถ ที่จะลอยไปไหนมาไหน ได้อีกเลย สำหรับ นางมณโฑ ที่แต่เดิมเป็นนางฟ้า ที่พระอิศวรประทานให้กับทศกัณฐ์ ต้องกลายมาเป็นหญิงสามผัว ด้วยเหตุที่ว่า เมื่อทศกัณฐ์ได้รับตัวนางมณโฑจากพระอิศวรมาแล้ว ก็อุ้มพานางเหาะกลับมายังกรุงลงกา ขณะที่เหาะข้าม มาระหว่างทาง ได้เหาะข้ามเมืองขีดขิน ซึ่งมี “พาลี” เป็นเจ้าเมือง พาลีโกรธ ที่ทศกัณฐ์บังอาจ อุ้มหญิงสาว เหาะข้ามหัว โดยไม่เกรงใจ จึงเหาะขึ้นไปรบกับทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์สู้ไม่ได้ เพราะพาลีได้รับพร จากพระอิศวรว่า หากรบด้วยผู้ใด ศัตรูผู้นั้นจะมีกำลังลดลงครึ่งหนึ่ง หรือมีความสามารถลดน้อยกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง เมื่อทศกัณฐ์ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงถูกพาลีแย่งชิงเอานางมณโฑไปเป็นมเหสี ต่อมา เมื่อพาลีคืนนางมณโฑ ให้กับทศกัณฐ์แล้ว เมื่อตอนที่หุงน้ำทิพย์ “หนุมาน” ได้เข้าไปทำลายพิธี โดยปลอมตัวเป็นทศกัณฐ์ แล้วร่วมสังวาส กับนางมณโฑ นางมณโฑ จึงเป็นหญิงที่ผ่านการสมพาสชายมาถึง 3 คน คือ พาลี ทศกัณฐ์ และ หนุมาน เมื่อทศกัณฐ์ ให้นางมณโฑ ขึ้นนั่งบุษบกนี้ทีหลัง บุษบกก็เกิดการขัดข้องทางเทคนิค ไม่ลอยไปไหนมาไหน ตามต้องการ เหมือนเก่า
ครั้นเมื่อท้าวกุเวรต้องเสียกรุงลงกาไปแล้ว ท้าวมหาพรหมท่านก็สร้างนครให้ใหม่ ชื่อ “อลกา” หรือ “ประภา” อันตั้งอยู่ที่เขาหิมาลัย มีสวนชื่อ “เจตรรถ” อยู่บนเขามันทรคีรี อันเป็นกิ่งแห่งเขาพระสุเมรุ บ้างก็ว่า ท้าวกุเวร อยู่ที่เขาไกรลาส ซึ่งพระวิษณุกรรมเป็นผู้สร้างให้






ความเชื่อตามพระพุทธศาสนา

ในพระสูตรที่ชื่อว่า “อาฏานาฏิยะ” กล่าวว่า ท้าวกุเวร ตั้งเมืองอยู่ในอากาศ ข้างทิศที่อุตรกุรุทวีป (เหนือ) และ เขาพระสุเมรุ ยอดสุทัศน์ (ที่เป็นผาทอง) ตั้งอยู่ มีราชธานี 2 ชื่อ คือ อาลกมันทา และ วิสาณา มีนครอีก 8 นคร

ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ยังมีชื่ออีกหลายชื่อ เช่น ธนบดี หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ ธเนศวร หมายถึง ผู้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ อิจฉาวสุ หมายถึง มั่งมีได้ตามใจ ยักษ์ราชหมายถึง เจ้าแห่งยักษ์ มยุราช หมายถึง เป็นเจ้าแห่ง กินนร รากษเสนทร์ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในพวกรากษส ส่วนในเรื่องรามเกียรติ์ เรียกท้าวเวสสุวรรณว่า ท้าวกุเรปัน

ในทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงอดีตชาติของท้าวกุเวร เอาไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม 3 ภาค 2 - หน้าที่ 151 ว่า ในสมัยที่โลกยังว่าง จากพระพุทธศาสนา ไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัตินั้น มีพราหมณ์ ผู้หนึ่ง นามว่า กุเวร เป็นคนใจดีมีเมตตากรุณา ประกอบสัมมาชีพ ด้วยการทำไร่อ้อย นำต้นอ้อย ตัดใส่ลงไปในหีบยนต์ แล้วบีบน้ำอ้อยขายเลี้ยงชีวิตตน และบุตรภรรยา ต่อมากิจการ เจริญขึ้น จนเป็นเจ้าของ หีบยนต์สำหรับบีบน้ำอ้อยถึง 7 เครื่อง จึงสร้างที่พักสำหรับ คนเดินทาง และบริจาคน้ำอ้อย จากหีบยนต์เครื่องหนึ่ง ซึ่งมีปริมาณน้ำอ้อยมากกว่าหีบยนต์เครื่องอื่น ๆ ให้เป็นทาน แก่คนเดินผ่านไปมา จนตลอดอายุขัย ด้วยอำนาจ แห่งบุญกุศลที่บริจาคน้ำอ้อยให้เป็นทานนั้น ทำให้กุเวรได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตร บนสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา มีนามว่า"กุเวรเทพบุตร" ต่อมากุเวรเทพบุตร ได้เทวาภิเษกเป็นผู้ปกครองดูแล พระนครด้านทิศเหนือ จึงได้มีพระนามว่า "ท้าวเวสสุวรรณ"

ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ยืนยันว่า "ท้าวกุเวร" หรือ "ท้าวเวสสุวรรณ" เทวราชพระองค์นี้ ได้สำเร็จเป็น พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเมื่อครั้ง "จุลสุภัททะ ปริพาชก" เกิดความสงสัยในความเป็นมาแห่ง องค์สมเด็จ พระพุทธเจ้า ท่าน "ท้าวเวสสุวรรณ" องค์นี้แหละ ที่ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วย และ ยังเป็นประจักษ์พยาน เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมาน ของพระอินทร์จนเกิดการ สั่นสะเทือนไป ทั้งดาวดึงส์ เทวโลก อันเป็นการเตือนสติสักกะเทวราชอีกด้วย และก็เชื่อกันตาม ฎีกามาลัยเทวสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 - หน้าที่ 435 ว่า "คทาวุธ" ของ "ท้าวเวสสุวรรณ" นั้น เป็นยอดศัสตราวุธ มีอานุภาพสามารถทำลายโลกใบนี้ให้เป็น จุณวิจุณภายในพริบตา

จะเห็นได้ว่า ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ท่านเป็นเทพที่สำคัญยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง ที่พิทักษ์รักษา พระพุทธศาสนา ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ท่านท้าวสักกะเทวราช หรือ พระอินทร์เลยทีเดียว ตามวัดวาอารามต่าง ๆ จะมีรูปปั้นยักษ์ 1 ตน บ้าง 2 ตนบ้าง ยืนถือกระบองค้ำพื้น ส่วนมากจะมี 2 ตน เฝ้าอยู่หน้า ประตูโบสถ์ หรือ วิหารที่เก็บของมีค่า มีพระพุทธรูป และโบราณสมบัติล้ำค่าของทางวัดบรรจุอยู่ ด้านละ 1 ตน หรือไม่ก็บริเวณลานวัด หรือที่ที่มีคนผ่านไปมาแล้วเห็นโดยง่าย บ้างก็สร้างเอาไว้ในวิหาร หรือ ศาลาโดยเฉพาะก็มี ซึ่งยักษ์เหล่านั้น ถ้าเป็น ตนเดียว ก็จะหมายถึง รูปเคารพของท้าวเวสสุวรรณ แต่ถ้าเป็น 2 ตนก็จะเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณ คอยทำหน้าที่ ปกปักรักษา ดูแลบริเวณวัด


ท้าวเวสสุวรรณ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุ ทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมากประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือมียักษ์เป็นบริวาร คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็ก เพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควาญแก่เด็กว ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหา ราชิกา มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก ไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่นๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาญ
ท้าวเวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งมีท้าวมหาราชทั้งสี่ปกครอง คือ ท้าวธตรัฏฐะ ท้าววิรุฬหกะ ท้าววิรูปักชะ และท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) ประจำทิศต่างๆ ทั้งสี่ทิศโดยเฉพาะท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) เป็นใหญ่ปกครองบริวารทางทิศเหนือ ว่ากันว่าอาณาเขตที่ท้าวเธอดูแลปกครองรับผิดชอบมีอาณาเขตใหญ่โตมหาศาล กว้างขวาง และเป็นใหญ่ (หัวหน้าท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ) กว่าท้าวมหาราชองค์อื่น

ท้าวเวสสุวรรณ เป็น เทพแห่งขุมทรัพย์ เป็น มหาเทพแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง รักษาสมบัติของเทวโลก ทั้งเป็นเจ้านายปกครองดูแลพวกยักษ์ ภูตผีปีศาจทั้งปวง (ในคัมภีร์เทวภูมิ กล่าวไว้ว่า ท้าวเวสสุวรรณได้บำเพ็ญบารมี มาหลายพันปี รับพรจาก พระอิศวร พระพรหม ให้เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ) นอกจากนี้หน้าที่ของท้าวเวสสุวรรณมีมากมาย เช่น การดูแลปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา, ปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นต้น

ในคัมภีร์โบราณ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวัง ความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูป ท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวร

ท้าวเวสสุวรรณ มีทั้งหมด 4 ภาค

- ท้าวเวสสุวรรณพรหมาสูติเทพ ชั้นพรหม มีรูปกายสีทอง ภูษาสีทอง
- ท้าวเวสสุวรรณเทพบุตรสูติเทพ ชั้นดาวดึงค์ มีรูปกายสีทอง ภูษาสีแดง
- ท้าวเวสสุวรรณ จาตุมมหาราช มีรูปกายสีเขียวหรือดำ ภูษาสีเขียว
- ท้าวเวสสุวรรณ ชั้นมนุษย์ มาในรูปแบบมนุษย์



คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ

จุดธูป 9 ดอก ดอกกุหลาบแดง 9 ดอก
ตั้ง นะโม 3 จบ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา ครูบาอาจาร
ย์

 

หลวงพ่ออิฐวัดจุฬามณีเกิดพศอะไร

หลวงพ่ออิฏฐ์ ภทฺจาโร นาม พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ สมโภชน์ ฉายา ภทฺทจาโร สถานะเดิม ชื่อสมโภชน์ นามสกุล อมรรัตนบดี เกิด วันที่ ๑ สิงหาคม ..๒๔๙๙ บิดาชื่อ นายพจน์ น้อยมา มารดาชื่อ นางประนอม ฮะประสาน เกิดที่บ้านเลขที่ ๗๘ ตำบลอัมพวา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม บรรพชา วันที่ ๑๔ มิถุนายน ..๒๕๑๔ ณ วัดบางกะพ้อม ตำบลอัมพวา ...

หลวง พ่อ อิฐ วัดจุฬามณี อยู่ ที่ไหน

ข้อมูล วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม ที่อยู่ : 93 หมู่ 9 ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

หลวงพ่ออิฐอยู่วัดอะไร

หลวงพ่ออิฎฐ์ วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม [87] เจริญพรลาภมาไม่ขาด [10] องค์พระหลักเมือง จำปีสมโภช๑๒๑ [12] เหรียญกันชงทรงจำปีรุ่นแรก [9]

ไปวัดจุฬามณีขออะไร

#วัดจุฬามณี ไหว้ขอพรองค์ท้าวเวสสุวรรณโณ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความมั่งคั่ง คนค้าขายยิ่งต้องมา จะขอการงาน การเงิน โชคลาภ ขออะไรก็ได้อย่างนั้นแบบทันด่วนไม่เกิน 3 เดือน