ยุคสมัยของดนตรีตะวันตกดนตรีตะวันตกสามารถแบ่งช่วงเวลาของแต่ละยุคสมัย ซึ่งอาจไม่ได้มีช่วงเวลาที่แน่นอน โดยส่วนใหญ่จะแบ่งตามคริสต์ศักราช แต่ละยุคจะมีลักษณะดนตรีที่แตกต่างกันออกไปตามสภาพสังคม ค่านิยมและสถานการณ์ต่างๆในยุคสมัยนั้นๆ ซึ่สามารถแบ่งออกเป็น 6 ยุคได้ดังนี้ 1. ยุคกลาง (ค.ศ.400-1400) ในช่วงสมัยของยุคกลางนั้นให้ความสำคัญกับศาสนามาก ศาสนาเป็นศูนย์รวมของทุกสิ่งในสังคม การศึกษา การเมืองการปกครอง ศิลปะ และดนตรี ลักษณะของเพลงในยุคสมัยนี้จึงนิยมนำมาประกอบพิธีทางศาสนา Pope gregory the great คือผู้นำทางศาสนาและเป็นผู้รวบรวมบทสวดต่างๆให้เป็นหมวดหมู่ ลักษณะของเพลงยุคกลาง ลักษณะของเพลงในยุคนี้จะนิยมการประพันธ์แบบ Monophony คือ การประพันธ์เพลงแนวเดียว ไม่มีเสียงประสานสอดแทรก ไม่มีการกำหนดจังหวะ วิวัฒนาการของดนตรีในยุคกลาง ช่วงแรกนั้นนิยมแบบMonophony ต่อมาในศตวรรษที่ 9 มีการพัฒนารูปแบบของเพลงโดยการเพิ่มแนวเสียงขึ้น 1 แนว เป็นการร้องแบบคู่ขนานพร้อมกับแนวทำนองหลัก สามารถแบ่งออกได้ 2 สมัยคือ สมัยศิลป์เก่า และศิลป์ใหม่ Organum คือลักษณะการร้องประสานเสียงสองแนว โดยใช้ระยะขั้นคู่เสียงคู่ 4 เป็นหลัก เคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ต่อมาเริ่มไม่จัดทิศทางและท้าบที่สุด เสียงแนวที่ 2 (เสียงต่ำ)ร้องเสียงยาว และแนวหลักร้อง 5-10 ตัว Motet(ศิลป์เก่า) คือ เป็นการขับร้องประสานเสียงที่มีทั้งหมด 3 แนวเสียงโดยนำทำนองเพลงจาก chant มาเป็นแนวเบส อีก2 แนวเสียงเป็นแนวทำนองที่มีจังหวะเร็วกว่าแนวเบส ตัวอย่าง..
Motet (ศิลป์ใหม่) มีการเปลี่ยนแปลงคือจังหวะของแนวเสียงต่ำสั้นลง ไม่เหมือนกับสมัยศิลป์เก่า Madrigal คือ เพลงคฤหัสถ์ ปรากฏในสมัยศิลป์ใหม่ คีตกวีในยุคกลาง 1. Leonin 2. ยุคเรเนซองส์ (ค.ศ.1400-1600) ยุคเรเนซองส์หรือยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ เป็นยุคที่คนสมัยนั้นหันมาให้ความสำคัญด้านศิลปะวิทยาการ มีการประดิษฐ์ และสร้างารรค์ผลวานมากมาย สาเหตุของการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ 1. การขยายตัวทางการค้า : เนื่องจากการขยายตัวทางการค้ามีการแลกเปลี่ยน ค้าขายสินค้ามากขึ้น ทำให้คนชนชั้นกลางมีฐานะ มีความมั่งคั่งมากขึ้น เลยหันมาสนับสนุนศิลปะและวิทยาการมากขึ้น 2. ความเจริญทางเศรษฐกิจ : ความเจริญทางเศรษฐกิจทำให้หน่วยงานรัฐและองค์กรต่างๆหันมาสนใจ สนับสนุนการสร้างสรรค์ความรู้เพื่อการบริหารที่ดี ซึ่งศาสนาไม่สามารถตอบโจทย์ขอ้นี้ได้ 3. ทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปของชาวยุโรปสมัยกลาง : เมื่อมีความเจริญเข้ามาทำให้ทัศนคติของชาวยุโรปเปลี่ยนไป จากที่เคยยึดศาสนาเป็นศูนย์กลางซึ่งสอนเรื่องความสุขในโลกหน้า ก็เปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับความสุขในปัจจุบันนั่นเอง 4. การล่มสลายของจักรวรรดิไบเซนไทน์ ในสมัยนี้ดนตรีในศาสนายังคงมีความสำคัญเช่นเดิม เพลงคฤหัสถ์ที่ให้ความสนุกสนานมีบทบาทมากขึ้น การประสานเสียงได้รับการพัฒนาให้มีความกลมกลืนมากขึ้น เพลงในยุคนี้แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ 1. Imitative
Polyphony : เพลงที่มีหลายแนว แต่ละแนวจะเริ่ไม่พร้อมกัน คือ 1. Lute 2. Vielle 3. Organ 4. Harpsichord 5. Recorder 6. Viole คีตกวีในยุคเรเนซองส์ 1. Guillaume dufay 2. Josquin de prez 3.William byrd 4.Johannes Ockeghem Sing joyfully - William Byrd 3. ยุคสมัยบาโรค (ค.ศ.1600-1750) ในยุคสมัยบาโรค คีตกวีส่วนมากนิยมประพันธ์เลิกนิมยมการประพันธ์สไตล์ Polyphony และหันมาสนใจแบบ Monody คือในบทเพลงที่มีแนวทำนองขับร้องแนวเดียว ดำเนินทำนองและมีแนวสำคัญที่เรียกเป็นภาษาอิตาเลี่ยนว่า Basso continuo ทำหน้าที่คลอเคลื่อนที่ตลอดเวลาประกอบจึงทำให้เกิดคอร์ดขึ้นมา แต่ในยุคสมัยนี้ก็ยังไม่ได้เลิกประพันธ์เพลงแบบ polyphony ซะทีเดียว การประพันธ์แบบpolyphony ยังปรากฏอยู่ใน Fugue ,organ corale ,cantata เพลงแบบ Homophony ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้บุกเบิกการประพันธ์เพลงแบบบรรเลงในยุคนี้คือ Vivaldi ส่วนโครงสร้างเพลงอื่นๆก็มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น มีสีสันเสียงมากขึ้น ลักษณะของเพลงยุคบาโรค 1. การทำให้เกิดความขัดกัน (Contrast) ดัง-เบา เร็ว-ช้า บรรเลงเดี่ยว-บรรเลงร่วมกัน พบได้ใน Trio sonata ,Concerto grosso 2. คีตกวีส่วนใหญ่ไม่ได้เขียนเพลงบรรเลงอย่างครบสมบูรณ์เพราะว่าต้องการให้ผู้บรรเลงได้แสดงศักยภาพในการเล่นโดยใช้ไหวพริบปฏิภานหรือการ Improvisation ในแนวของตนเอง คีตกวีในยุคบาโรค 1. Johann Sebastian Bach (J.S Bach) 2.George Federic Handel 3. Antonio Vivaldi 4.Johann Pachebel Four seasons (winter) -Vivaldi 4. ยุคสมัยคลาสสิค (1750-1820) ในสมัยนี้ดนตรีเริ่มแพร่หลายสู่ประชาชนมากขึ้น สถาบันศาสนาจึงไม่ใช่ศูนย์กลางของดนตรีอีกต่อไป ยุคนี้ถือเป็นยุคของดนตรีบริสุทธิ์ เพลงในสมัยนี้จึงเป็นเพลงที่ประพันธ์ขึ้นเพื่อการฟังโดยเฉพาะ ไม่ใช่การประพันธ์เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา ส่วนใหญ่มักเป็นเพลงบรรเลง ใช้Polophony น้อยลง ใช้ Homophony มากขึ้น มีกฏเกณฑ์ในการแต่งเพลงที่เคร่งครัด มีการกำหนดจังหวะที่สม่ำเสมอกัน การเขียนทำนองเพลงมีการพัฒนาให้มีหลักเกณฑ์และความสมดุล เพลงที่นิยมมากที่สุดคือ Symphony ลักษณะของเพลงในยุคคลาสสิค 1.ลักษณะเปลี่ยนไปจากยุคบาโรคโดยสิ้นเชิงคอืไม่นิยมการประสานเสียง และหันมานิยมการเน้นทำนองหลักโดยมีแนวเสียงอื่นประสานเพื่อความไพเราะมากยิ่งขึ้น 2. มีการประสานเสียงแบบ Basso continuo 3. ผู้ประพันธ์นิยมเขียนโน้ตทุกแนวไว้ ไม่มีการเว้นว่างเพื่อการ improvisation 4. ศูนย์การของดนตรียุคคลาสสิคตอนนั้นคือเมือง แมนฮีม และกรุงเวียนนา คีตกวีในยุคคลาสสิค 1. Wolfgang Amadeus Mozart 2. Ludwig Van Beethoven 3. Franz Joseph Haydn Fur elise - Mozart 5. ยุคสมัยโรแมนติก (1820-1900) ยุคนี้ถือเป็นยุคทองของดนตรี มีการแสดงคอนเสิร์ตต่อสาธารณชนอย่างเปิดเผย นักดนตรีมีโอกาสแสดงอารมณ์ในการบรรเลงมากขึ้น ดนตรีในยุคนี้จึงไม่ค่อยได้คำนึงถึงรูปแบบและความสมดุลแต่จะเน้นเรื่องการถ่ายทอดอารมณ์ ความรัก ความโกรธ ความเศร้า หรือความกลัว นอกจากนี้ยังนิยมเขียนเพลงเพื่อบรรยายธรรมชาติ เรื่องความฝันของตนเอง เพลงที่มีการเขียนเพื่อบรรยายธรรมชาติเรียกว่าดนตรีพรรณา (Descriptive music) ความแตกต่างระหว่างดนตรีคลาสสิคและดนตรีโรแมนติก คลาสสิค โรแมนติก เน้นรูปแบบที่แน่นอน เน้นเนื้อหา เน้นความมีเหตุผลเกี่ยวข้องกัน เน้นอารมณ์ มีแนวความคิดแบบ ภววิสัย มีแนวความคิดแบบอัตวิสัย ลักษณะของดนตรียุคโรแมนติก 1. คีตกวีมีีแนวความคิดเป็นของตัวเอง แสดงออกถึงความรู้สึกอย่างมีอิสระ ไม่จำเป็นต้องทำตามแบบแผน 2. อารมณ์และจินตนาการเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงาน 3. ลักษณะภายในองค์ประกอบของดนตรี
คีตกวีในยุคโรแมนติก 1. Federic Chopin 2.Robert Schumann 3. Johannes Brahms 4. Felix Mandelssohn 5. Piotr Ilyich Tchaikovsky Polonaise in A flat major - Chopin 6. ยุคศตวรรษที่ 20 (หลังจาก1900) ในยุคสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงและมีการพัฒนาหลายๆด้าน ทำให้รูปแบบของดนตรีเปลี่ยนไป คีตกวีก็พยายามหาสิ่งใหม่ๆและทฤษฎีใหม่ๆทำให้เกิดดนตรีหลายรูปแบบ ลักษณะของดนตรียุคศตวรรษที่ 20 1. เนื่องจากมีการพัมนาและเเปลี่ยนแปลง และมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ส่วนประกอบของดนตรีจึงซับซ้อนมากขึ้น แต่ยังยึดรูปแบบของดนตรีคลาสสิคอยู่ 2. เพลงในยุคสมัยนี้ประพันธ์ขึ้นมาเพื่อบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี Electronic ที่มีเสียงต่างออกไปจากเตรื่องดนตรี Acoustic คีตกวีในยุคศตวรรษที่ 20 1.Bela Bartok 2. Igor Stravinsky 3. Arnold Schoenberg 4.Dmitri Shostakovich Violin concert in D - Stravinsky |