การเป็นลูกจ้างที่ดีต้องรับผิดชอบ ต้องทำตามสัญญา จึงจะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน คิดถึงใจเขาใจเรา การจ้างแรงงานเป็นสัญญาต่างตอบแทน เราไม่อยากถูกนายจ้างเอาเปรียบ เราก็อย่าไปเอาเปรียบนายจ้าง แฟร์ๆ ต่อกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10614/2558 เรื่องนี้เป็นเคราะห์หามยามซวยของลูกจ้างที่เป็นจอมเบี้ยวและทำตัวเองเอง เพราะนายจ้างฟ้องขอให้ศาลบังคับลูกจ้างรายนี้ให้จ่ายค่าเสียหายได้ครับ อาจารย์ขอเรียกค่าเสียหายที่ฟ้องนี้ว่า “ค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้าง” 1.โจทก์ (นายจ้าง) ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549 จำเลย (ลูกจ้าง) เข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ ตำแหน่งพนักงานขาย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 8,500 บาทและค่าเบี้ยเลี้ยง ค่านายหน้าหรือค่าคอมมิชชั่น และเงินอื่นๆ กำหนดจ่ายค่าจ้างประมาณสิ้นเดือนจนถึงต้นเดือนถัดไป 2. จำเลยตกลงกับโจทก์ว่าจะทำยอดขายให้แก่โจทก์ให้ได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 300,000 บาท 3. ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้าง กล่าวคือ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2551 ถึงวันที่ 27 สิงหาคม 2551 จำเลยได้ละทิ้งหน้าที่การงานไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร 4. โจทก์จึงมีหนังสือเลิกจ้างและไล่จำเลยออกจากงาน ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2551 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 570,082.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลได้พิพากษาให้ลูกจ้างชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 8,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (นายจ้าง)
พูดกันง่ายๆ ก็หมายความว่า ลูกจ้างเองจะไปต้องลา มาก็ต้องไหว้ ไม่ใช่จะหายไปเฉยๆ อย่างในคดีดังกล่าวนี้ ถึงขั้นนายจ้างอดรนทนไม่ไหวมาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันมากมายอย่างที่กล่าวกันไปแล้วข้างต้น รับรองว่าถ้าฟ้องเรียก “ค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้าง” เท่ากับ การไม่บอกกล่าวล่วงหน้าให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 17 และ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 วรรคแรก ที่ว่า "ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้าง คราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้ แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่า 3 เดือน" เขียนเหมือนพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 17 วรรค 2 เลยเห็นไหม รับรองครับว่าได้ “ค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้าง” แน่นอนเห็นๆ อย่างคดีนี้ศาลให้ครับ
สรุปลูกจ้างที่รักหากจะหนีหน้าเผ่นแน่บ โอกาสเจอนายจ้างฟ้องสวนมีแน่นอนอย่างฎีกานี้ และลูกจ้างแพ้เสมอ ไม่รอดหรอกครับ จึงเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า1. แม้นายจ้างจะได้ “ค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้าง” ไม่สมฟ้องก็ตาม แต่ได้ชื่อว่าชนะลูกจ้าง2. การเบี้ยวกันศาลเองก็ไม่ชอบ เพราะมันเป็นสัญญาต่างตอบแทน ต้องแฟร์ทั้งคู่ แม้จะเป็นลูกจ้างก็ไม่ได้รับความคุ้มครองแรงงาน3. ศาลฎีกายืนยันว่านายจ้างฟ้องได้ ศาลรับฟ้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น 1.) ค่าเสียหายจากการที่ไม่สามารถหาพนักงานมาทำงานแทนได้ 2.) ค่าเสียหายต่อการทำให้เสียโครงสร้างการบริหารลูกค้าภายในบริษัทโจทก์และเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี 3.) ค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยขาดงานไปโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า 4.) ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงในทางการค้า 5.) ค่าเสียหายเหมือนค่าชดเชย ส่วนจะได้อะไรหรือไม่ได้อะไร ไม่แคร์ แค่ฟ้องได้ก็เป็นบรรทัดฐานแล้วครับ ไปพิสูจน์ความเสียหายในศาลเอาเอง
ฉะนั้นเมื่อเป็นเรื่องถึงฎีกาด้วยแล้ว ชื่อลูกจ้างโชว์หราในคำพิพากษา จะไปหางานทำที่ไหนๆ หากมีคนรู้ก็จะพากันปฏิเสธไม่รับเข้าทำงาน อย่างนี้มีแต่เสียกับเสียครับ
บางส่วนจากบทความ “ลูกจ้างจอมเบี้ยวไปไม่ลา เจอดีถูกฟ้องได้!” อ่านบทความเต็มได้ใน... วารสาร HR Society magazine ปีที่ 18 ฉบับที่ ฉบับที่ 212 เดือนสิงหาคม 2563