Show
ในปัจจุบันนี้นอกเหนือจากกระแส K-Pop จะกลายเป็นนิยมไปทั่วโลกแล้วนั้น อีกหนึ่งสิ่งที่ประสบความสำเร็จและโด่งดังไม่แพ้กันนั่นก็คืออุตสาหกรรมความงามและสกินแคร์เกาหลีนั่นเองค่ะ ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องของความสวยความงามแล้วนั้นหลาย ๆ คนคงจะจะต้องนึกถึงสกินแคร์เกาหลีเป็นลำดับแรกใช่มั้ยคะ? เพราะมีนวัตกรรมใหม่ ๆ และส่วนผสมด้านความงามที่เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็น มาส์กโคลน, สเปรย์บำรุงผิวหน้า, เซรั่มวิตามินซีเกาหลี, โทนเนอร์เกาหลี, เซรั่มเกาหลี, สลีปปิ้งมาส์ก, อายครีม, ครีมกันแดดจากแบรนด์ดัง ๆ อย่าง Laneige, Innisfree รวมไปถึงแบรนด์น้องใหม่อย่าง Some By Mi ที่เราเคยได้รีวิวไปเร็ว ๆ นี้ด้วยเช่นกันค่ะ แต่ถึงอย่างไรนอกจากเรื่องของสกินแคร์แล้วนั้น เกาหลีก็ยังโด่งดังในเรื่องของสไตล์การแต่งหน้าที่เน้นงานผิวโกลว์ใสดูเป็นธรรมชาติ ไม่เน้นการปกปิดที่ดูหนาเตอะ ซึ่งนี่ก็ทำให้สาว ๆ ดูน่ารักสดใสและดูอ่อนเยาว์มากขึ้นจนกลายเป็นอีกหนึ่งเทรนด์การแต่งหน้าที่มาแรงในบ้านเราเช่นกันค่ะ ถ้าหากว่าใครที่สนใจอยากที่จะแต่งหน้าสไตล์เกาหลีวันนี้ขอบอกเลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาดค่ะ เพราะเรามีแบรนด์ความงามที่ส่งตรงมาจากเกาหลีมาฝากเพื่อน ๆ กันค่ะ จริง ๆ แล้วนอกจากเครื่องสำอางแล้วนั้นทางแบรนด์ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของสกินแคร์ด้วยเช่นกัน แถมเจ้าของแบรนด์ผู้อยู่เบื้องหลังก็ยังเป็นถึงเมคอัพอาร์ติสชื่อดังเบอร์ต้น ๆ ของเกาหลีเลยทีเดียว โดยแบรนด์ที่ว่านี้ก็คือแบรนด์ Jung Saem Mool (จองแซมมุล) นั่นเองค่ะ ผลิตภัณฑ์จองแซมมุล ตัวไหนดี เหมาะสำหรับคุณ?
สำหรับแบรนด์ Jung Saem Mool นั้นถูกก่อตั้งและเปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศเกาหลีใต้ในปี 2015 จากนั้นในปี 2019 ก็ได้มาเปิดตัวที่ไทยอย่างเป็นทางการ โดยผู้ก่อตั้งและถือเป็นเบื้องหลังความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ก็คือคุณ Jung Saem Mool เมคอัพอาร์ติสมากฝีมือจากประเทศเกาหลีใต้และแน่นอนค่ะว่าชื่อแบรนด์ที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี้ก็มิใช่ชื่อใครอื่นไกลนอกจากชื่อของเธอนั่นเองค่ะ คุณ Jung Saem Mool ได้เริ่มก้าวเข้ามาสู่วงการแต่งหน้าตั้งแต่ปี 1999 โดยนักแสดงและศิลปินเกาหลีชื่อดังหลาย ๆ คนก็ผ่านมือเธอมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น โบอา, ซอง เฮ เคียว, คิม แท ฮี, ช็อน จี ฮย็อน, Miss A และอีกมากมาย แล้วก็ยังถือเป็นผู้นำเทรนด์การแต่งหน้าหลาย ๆ เทรนด์ด้วยกันค่ะและด้วยฝีมือการแต่งหน้าที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครเช่นนี้นอกจากจะสร้างชื่อเสียงให้กับเธอแล้วก็ยังทำให้เทรนด์การแต่งหน้าของเกาหลีกลายเป็นที่สนใจของผู้คนทั่วโลกด้วยเช่นกันค่ะ แน่นอนค่ะว่าจากประสบการณ์ที่เธอทำงานอยู่กับความงามและได้คลุกคลีอยู่กับการแต่งหน้ามาเป็นเวลานานกว่า 30 ปีนั้นทำให้มีเทคนิคการแต่งหน้าที่เยอะมาก ๆ เธอจึงได้ตัดสินใจนำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เข้ามาผสมผสานและปรับใช้จนกลายเป็นสกินแคร์และเมคอัพภายใต้แบรนด์ที่มีชื่อว่า Jung Saem Mool ความโดดเด่นของแบรนด์ Jung Saem Mool
คอนเซปต์หลักของแบรนด์ Jung Saem Mool ก็คือการมีผิวแบบ Glass Skin หรือผิวที่ดูโกลว์ใสราวกับกระจกนั่นเองค่ะ แต่การที่จะมีผิวแบบ Glass Skin ได้นั้นไม่ได้มาจากการแต่งหน้าอย่างเดียวเท่านั้นนะคะแต่มันยังรวมไปถึงขั้นตอนการทำความสะอาด การดูแลผิวหน้า และการเลือกใช้สกินแคร์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วนอกจากผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Jung Saem Mool จะมีกลุ่มของเครื่องสำอางแล้วนั้นมันก็ยังจะครอบคลุมไปถึงสกินแคร์ดูแลผิวหน้าเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ทางแบรนด์ก็ยังมีแปรงรวมไปถึงอุปกรณ์แต่งหน้าอื่น ๆ ด้วยเช่นกันค่ะ คุณ Jung Saem Mool เป็นคนที่ชื่นชอบความงามในแบบธรรมชาติซึ่งนอกจากจะเห็นได้จากคอนเซปต์หลักของแบรนด์แล้วนั้น สิ่งที่สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดนั่นก็คือสไตล์การแต่งหน้าของคุณ Jung Saem Mool เองที่เรียกได้ว่าเบาบางและดูจะลงเครื่องสำอางแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้นแต่ก็ดูสวยและดูสดใสแบบธรรมชาติจริง ๆ เลยค่ะ ซึ่งนี่เองก็จะไปเชื่อมโยงกับปรัชญาของแบรนด์ข้างต้นที่ว่าความงามของคุณสาว ๆ ทุกคนล้วนแล้วแต่มาจากตัวของคุณเอง ไม่ควรที่จะเอาไปเปรียบเทียบกับบางสิ่งหรือไม่ควรเปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์ เพียงแต่คุณต้องค้นหาความงามของตัวเองและเติมเต็มให้มันสมบูรณ์ก็เท่านั้นเองค่ะ ดังนั้นแล้วเครื่องสำอางของทางแบรนด์จึงไม่ได้เน้นการปกปิดที่ดูเว่อร์วังอลังการอะไรมากเพียงแต่เน้นงานผิว เผยจุดเด่น ซ่อนจุดด้อย ให้ความรู้สึกที่สบายผิว สามารถใช้งานได้ทุกวัน และที่สำคัญเลยคือให้ลุคที่ดูสวยใสและดูเป็นธรรมชาติขั้นสุดนั่นเองค่ะ ผลิตภัณฑ์ Jung Saem Mool ตัวไหนขายดี
กลุ่มผลิตภัณฑ์ของจองแซมมุล1. กลุ่มสกินแคร์อย่างที่เราได้เกริ่นไปข้างต้นค่ะว่าการที่จะมีผิวโกลว์สวยแบบ Glass Skin ล้วนแล้วแต่มาจากองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างด้วยกันซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการเลือกใช้งานสกินแคร์นั่นเองละค่ะ โดยคุณ Jung Saem Mool ค่อนข้างที่จะเน้นสกินแคร์ที่ช่วยมอบความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นปัจจัยหลัก ทำให้ผิวดูใสดูออร่าและมีชีวิตชีวาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยหลัก ๆ ในไลน์ของสกินแคร์ก็จะถูกแบ่งแยกย่อยออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกันได้แก่
แต่อย่างไรก็ดีนอกจากนี้แล้วก็ยังมีผลิตภัณฑ์สกินแคร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายตัวเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ครีมกันแดด Masterclass Ampoule Sun และแผ่นทำความสะอาดพร้อมบำรุงผิวซึ่งก็ถือว่าน่าสนใจไม่แพ้กับตัวอื่น ๆ เลยทีเดียวค่ะ 2. กลุ่มอุปกรณ์สำหรับแต่งหน้า
3. กลุ่มเครื่องสำอางสำหรับผิวหน้าเนื่องจากคุณ Jung Saem Mool คลุกคลีกับเครื่องสำอางมาเป็นเวลานานนั่นจึงทำให้ผลิตภัณณฑ์ในกลุ่มนี้จึงค่อนข้างที่จะหลากหลายเลยทีเดียวค่ะ แต่ที่เป็นที่พูดถึงและเป็นที่นิยมค่อนข้างมากนั่นก็คือ
นอกเหนือจากนี้ในกลุ่มของเครื่องสำอางสำหรับผิวหน้าที่เราเกริ่นไปข้างต้นก็ยังมีคอนซิลเลอร์, แป้งฝุ่น, แป้งอัดแข็ง, เฉดดิ้ง, ไฮไลท์, ไพร์มเมอร์ รวมไปถึงบลัชออนด้วยเช่นกันค่ะ 4. กลุ่มเครื่องสำอางสำหรับดวงตาดวงตาถือเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดและเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับคุณสาว ๆ ได้ ทางคุณ Jung Saem Mool ก็เลยออกผลิตภัณฑ์มาเพื่อแต่งเติมดวงตาโดยเฉพาะเช่นกันค่ะซึ่งในกลุ่มนี้ก็ได้แก่ อายแชโดว์ซึ่งก็จะมีทั้งสีนู้ดเนื้อแมตต์ เนื้อกลิตเตอร์ รวมไปถึงแบบตลับ 2 สีไปจนถึงพาเลตหลากสีเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ก็ยังมีอายไลเนอร์, มาสคาร่า, ดินสอเขียนคิ้ว รวมถึงเจลสำหรับปัดคิ้วเลยด้วยนะคะ 5. กลุ่มเครื่องสำอางสำหรับริมฝีปากและที่ขาดไม่ได้เลยเด็ดขาดนั่นก็คือเครื่องสำอางสำหรับเพิ่มสีสันให้กับเรียวปากของคุณสาว ๆ นั่นเองค่ะ โดยในกลุ่มนี้ทางแบรนด์ก็มีผลิตภัณฑ์ที่มีลูกเล่นหลากหลายแตกต่างกันออกไปค่ะ อย่างลิปทิ้นท์เองนอกจากจะมีหลากหลายสีสันให้ได้เลือกกันแล้วก็ยังมาพร้อมกับเนื้อสัมผัสที่หลากหลายด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อออยล์หรือเนื้อลิควิค แต่ที่ถ้าหากเป็นลิปที่ขายดีและมาแรงก็คงจะหนีไม่พ้น Lip-pression เนื้อแมตต์ที่มีความบางเบาดุจอากาศจนสมกับเป็นลิปสติก air matte เป็นที่สุดเลยค่ะ รีวิว JUNGSAEMMOOL Easy-Tap Puff ฟองน้ำเกลี่ยรองพื้นราคา 270 บาท* ฟองน้ำสำหรับเกลี่ยรองพื้น Easy-Tap Puff คืออีกหนึ่งไอเทมเด็ดที่ต้องโดนค่ะ เพราะว่าคุณ Jung Saem Mool ตั้งใจออกแบบมาเพื่อช่วยเกลี่ยรองพื้นโดยเฉพาะเลยค่ะ เนื้อพัฟถือว่าแน่นและเนียนละเอียดแต่กลับนุ่มให้ความรู้สึกดีและช่วยถนอมผิวได้ดีอีกด้วยค่ะ ใช้งานกับรองพื้นถือว่าเหมาะมาก ๆ เพราะมันจะช่วยทำให้รองพื้นเรียบเนียนและเพิ่มการปกปิดได้ดีเยี่ยม แถมมันยังไม่กินเนื้อรองพื้นจึงไม่เปลืองนั่นเองค่ะ อิอิ ขนาดก็ไม่เล็กไม่ใหญ่ถือว่ากำลังดีเหมาะมือมาก ๆ ค่ะ การออกแบบรูปถือว่าค่อนข้างน่าประทับเลยใจค่ะเพราะในส่วนที่เข้าถึงได้ยากอย่าง ซอกจมูกหรือใต้ตาก็ช่วยให้แต้มได้ง่ายและปกปิดได้เนียนกริบ ข้อดี
รีวิว JUNGSAEMMOOL Lip-pression See-through Tint ลิปทิ้นท์เนื้อกำมะหยี่ราคา 855 บาท* มาถึงคิวของลิปกันบ้างค่ะ โดยลิปตัวนี้จะเป็นสิปทิ้นท์เนื้อกำมะหยี่ที่มีความบางเบา ทาแล้วดูฉ่ำเป็นธรรมชาติเนื่องจากมีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์สูตรน้ำถึง 40% ทาแล้วก็ไม่ทำให้รู้สึกเหนอะหนะแต่อย่างใดค่ะ ปากก็ไม่แห้งมากอีกด้วยนะคะตัวนี้ และอีกอย่างทางแบรนด์ก็ยังการันตีอีกนะคะว่าตัวนี้ไม่มีเลอะติดแมสก์แน่นอน นี่เอาซี้!! ต้องจัดแล้วเนอะ และที่สำคัญที่สุดคือมันยังมาพร้อมกับแปรงรูปทรง Iron Tip ที่ช่วยให้เกลี่ยง่ายขึ้นและยังเหมาะสำหรับการทาลิปฟุ้ง ๆ เบลอ ๆ สไตล์เกาหลีอีกนะคะ โอ๊ยดีงามพระรามแปดอีกแล้วจ้าตัวนี้ เลิฟมาก ๆ ข้อดี
ข้อควรพิจารณา
รีวิว JUNGSAEMMOOL Colorpeice Eyeshadow Nude อายแชโดว์โทนสีนู้ดกลมกลืนไปกับผิวราคา 1,080 บาท* อายแชโดว์ตลับนี้ของทางแบรนด์ถือเป็นการคัดสรรโทนสีที่เหมาะสำหรับสาว ๆ เอเชียอย่างเรา ๆ โดยเฉพาะ ช่วยทำให้ดวงตากลมโตและหวานละมุนยิ่งขึ้นด้วยเฉดสีที่ดูเป็นธรรมชาติและสามารถนำไปใช้งานได้จริงในทุก ๆ วันอีกด้วยค่ะ อาทิเช่น เฉดสีชมพูสำหรับสายหวาน, เฉดสีน้ำตาลธรรมชาติ และอีกหลากหลายเฉดสี โดยในตลับจะมาพร้อมทั้งแบบเบสเนื้อนุ่มและแบบกลิตเตอร์ช่วยเพิ่มมิติให้กับดวงตาได้ดี อยากบอกว่าในส่วนของกลิตเตอร์คือติดทนจริง ๆ ค่ะ แต่ก็ต้องใช้ทริคที่ทางแบรนด์ให้มาเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการกดเบา ๆก็จะยิ่งทำให้เนื้อกลิตเตอร์ไม่ร่วงอยู่ทนตลอดวันแน่นอน ขณะทาก็รู้สึกได้เลยว่าเบลนด์สีได้ง่ายเว่อร์ เนื้ออายแชโดว์เนียนนุ่ม แถมยังติดทนนานไม่มีลบเลือนตลอดทั้งวันด้วยนะจ๊ะ ข้อดี
รีวิว JUNGSAEMMOOL Skin Nuder Cushion Red Edition คุชชั่นสูตรผิวโกลว์ฉ่ำน้ำราคา 1,120 บาท* หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นเคยกับแพ็กเกจที่ส่วนใหญ่จะเป็นสีดำกันใช่ไหมละค่ะ แต่ตัวนี้บอกเลยว่าเป็นคุชชั่นตัวใหม่ที่มาพร้อมกับตลับสีแดงแรงฤทธิ์ ซึ่งในคอลเลกชันนี้คุณ Jung Saem Mool จะเน้นไปทางงานผิวโกลว์ฉ่ำน้ำในแบบฉบับสาวเกาหลีจริง ๆ จัง ๆ เลยละค่ะ โดยเนื้อคุชชั่นจะมีความบางเบามากเป็นพิเศษแต่ก็ยังให้การปกปิดเช่นเดิมค่ะ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าจะให้การปกปิดที่ไม่ได้หนามาก ดูค่อนข้างเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญเลยคือมันยังช่วยทำให้ผิวดูฉ่ำวาวแลดูสุขภาพดีอีกด้วยนะทุกคน นอกจากนี้แล้วคุชชั่นตัวนี้ก็ยังมีส่วนผสมสำคัญอย่าง Huebalancing Powder ที่ช่วยแก้ไขและปรับให้สีผิวสว่างยิ่งขึ้นซึ่งมันก็จะส่งผลทำให้คุณแลดูอ่อนเยาว์ ผิวหน้าดูเรียบเนียนราวกับเกิดเป็นลูกรักพระเจ้าเลยทีเดียวค่ะสาว ๆ ซึ่งการใช้งานถือว่าง่ายมาก เพียงแค่ตบ ๆ เกลี่ย ๆ ก็เนียนสวยแลดูสุขภาพดีแล้วละค่ะ ข้อดี
ข้อควรพิจารณา
รีวิว JUNGSAEMMOOL Masterclass Ampoule Sun ครีมกันแดดราคา 1,170 บาท* อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่เราขอแนะนำและบอกเลยว่าไม่ควรพลาดนั่นก็คือครีมกันแดดค่ะ เพราะตัวนี้ถือว่าไม่ธรรมดาและไม่เหมือนกับครีมกันแดดทั่ว ๆ ไปอย่างแน่นอนค่ะ ที่เรากล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะว่าครีมกันแดดจากทางแบรนด์ใช้เทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะมาในเนื้อกันแดดแบบใหม่ที่เรียกว่าเนื้อ Ampoule ที่ให้สัมผัสบางเบาดุจน้ำแต่กลับมีความเข้มข้นสูงแถมมีประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดด ยูวี ฝุ่น ควัน รวมไปถึงมลภาวะได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วยค่ะ นอกจากนี้แล้วครีมกันแดดตัวนี้ก็ยังช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นไม่แห้งกร้าน แล้วมันก็ยังช่วยปรับผิวให้ดูสว่างยิ่งขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้หน้าดูวอกหรือเทาแน่นอนค่ะสาว ๆ โดยครีมกันแดดตัวนี้คุณสามารถเลือกใช้ทาก่อนลงคุชชั่นหรือรองพื้นได้มันก็จะทำให้รองพื้นติดทนและเกลี่ยง่ายยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ สำหรับตัวนี้ก็อยากจะแนะนำมาก ๆ เลยค่ะเพราะเหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรามาก ๆ แถมเนื้อครีมก็เป็นเนื้อแบบใหม่ที่น่าสุด ๆ เลยด้วยนะคะ ข้อดี
รีวิว JUNGSAEMMOOL Skin Nuder Pact แป้งอัดแข็งไม่ผสมรองพื้นราคา 1,170 บาท* อยากได้ลุคสวยใสแบบธรรมชาติ ดูบางเบา ไม่หนักหน้า และไม่เป็นคราบตลอดทั้งวันก็ต้องแป้งอัดแข็งไม่ผสมรองพื้นตัวนี้เลยค่ะ เนื้อแป้งของทางแบรนด์ค่อนข้างที่จะละเอียดให้ความรู้สึกที่บางเบาและกลืนไปกับผิวทำให้ดูผิวเผินก็จะดูเหมือนไม่ได้ลงแป้งอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียวค่ะ แถมเนื้อแป้งยังโปร่งแสงทำให้หน้าดูกระจ่างใสสมกับเป็นแป้งจากเกาหลีตัวจริงเสียงจริงเลยทีเดียว แน่นอนว่านอกจากตัวผลิตภัณฑ์แล้วนั้นคุณ Jung Saem Mool ก็ออกแบบแปรงที่จับคู่มากกับตัวแป้งโดยเฉพาะอีกด้วยค่ะ สำหรับแปรงก็จะเป็นทรงโค้งให้สามารถรับกับสัดส่วนโค้งเว้นของใบหน้าได้เป็นอย่างดี ส่วนขนแปรงเองก็หนานุ่มไม่บาดผิว ช่วยให้เกลี่ยได้ฟุ้งและกระจายตัวได้ทั่ว ส่วนขนแปรงสีขาวก็ทำหน้าที่ปัดเอาแป้งส่วนเกินออกทำให้ได้ลุคที่ดูไม่หนาเตอะเกินไปนั่นเองค่ะ ข้อดี
ข้อควรพิจารณา
รีวิว JUNGSAEMMOOL Masterclass Glow Base เบสช่วยผิวเรียบเนียนราคา 1,170 บาท* มาต่อกันที่เบสกันบ้างดีกว่านะคะ สำหรับเบสตัวนี้ก็มาจากตระกูล Masterclass ซึ่งแน่นอนค่ะว่าตระกูลนี้ก็ค่อนข้างขึ้นชื่อในการแต่งหน้าระดับมืออาชีพ เบสตัวนี้จะเป็นตัวที่เข้าไปปรับสภาพผิวและช่วยทำให้ผิวแลดูฉ่ำวาว อิ่มน้ำ ไม่ใช่มันเยิ้มแน่นอนค่ะ มันจึงค่อนข้างเหมาะที่จะใช้ก่อนแต่งหน้างานผิวก็ช่วยทำให้เมคอัพติดทนไม่เป็นคราบ เนื้อเบสจะเป็นเนื้อแอมพูลที่มีความเข้มข้นแต่กลับบางเบาดุจนน้ำ ไม่ทำให้เหนียวเหนอะหนะผิวอย่างแน่นอนค่ะ นอกจากนี้แล้วเบสตัวนี้ก็ยังเป็นการผสมระหว่างโทนเบจและโทนสีชมพูเข้าด้วยกันทำให้เบสจึงออกมากลาง ๆ ทาแล้วหน้าไม่วอก แถมยังไม่ดรอปสีของคุชชั่นหรือรองพื้นด้วยนะคะ เบสตัวนี่ก็ต้องยกให้เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยดี ๆ ที่ทำให้การแต่งหน้ากลายเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ ข้อดี
รีวิว JUNGSAEMMOOL Essential Mool Cream ครีมบำรุงผิวราคา 1,215 บาท* Essential Mool Cream ถือเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ช่วยสร้างงานผิวแบบ Glass Skin ได้ดีเลยค่ะ เทคโนโลยี Water-Light Fixer จะช่วยนำพาความชุ่มชื่นเข้าสู่ผิวพร้อมทั้งกักเก็บความชุ่มชื้นได้อย่างยาวนาน ผิวหน้าคุณจึงดูสดใสเปล่งปลั่งสุขภาพดียิ่งขึ้นค่ะ โมเลกุลของเนื้อถือว่ามีขนาดเล็กมาก ๆ นี่เองค่ะที่ช่วยทำให้มันสามารถซึมซาบและทำงานได้อย่างล้ำลึกยิ่งขึ้น อีกทั้งเนื้อครีมยังมีความบางเบาคล้าย ๆ กับน้ำจึงทำให้ใช้งานง่าย สบายผิวสุด ๆ ครีมบำรุงตัวนี้ถือว่าเหมาะสำหรับใช้ลงก่อนแต่งหน้าเพื่อเตรียมผิวมากค่ะสาว ๆ เพราะนี่จะช่วยทำให้แต่งหน้าได้ง่ายขึ้น เครื่องสำอางก็เกลี่ยง่าย ทำให้เครื่องสำอางติดทนยิ่งขึ้น แล้วยิ่งถ้าหากใช้คู่กับตัวคุชชั่นของทางแบรนด์ด้วยก็ยังเลิศเข้าไปใหญ่เลยค่ะเพราะมันช่วยเสริมทำให้ผิวดูโกลว์สวยมากยิ่งขึ้นนั่นเอง อยากจะบอกว่านางถือเป็นนางเอกของงานผิวฉ่ำวาวอีกหนึ่งตัวที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งเลยละค่ะ ข้อดี
ข้อควรพิจารณา
รีวิว JUNGSAEMMOOL Essential Star-cealer Foundation รองพื้นพร้อมคอนซีลเลอร์ภายในตัวราคา 1,350 บาท* สำหรับผลิตภัณฑ์ตัวนี้คือทำเอาเราตะลึงไปเลยค่ะ เพราะตอนแรกก็ดูงง ๆ กับการใช้งานเล็กน้อย แต่พอได้ฟังที่คุณ Jung Saem Mool แนะนำก็ถึงบางอ้อทันที คือมันเลิศมากค่ะทุกคน ความเลิศแรกคือในตลับมีคอลซีลเลอร์มาให้ด้วยจ้าคุณสาว ๆ อันนี้คือดีงามค่ะเพราะไม่ต้องหาซื้อเพิ่มแถมยังพกพาได้สะดวกอีกต่างหาก คอลซีลเลอร์เนื้อครีมให้การปกปิดดีและไม่ค่อยหนักหน้าเท่าไหร่ค่ะ เกลี่ยง่ายและเค้าก็มีแปรงมาให้ด้วยนะคะ ส่วนรองพื้นก็จะเป็นแบบกดเนื้อ เนื้อเจลไม่ข้นไม่เหลวปกปิดรอยสิวและรูขุมขนถือว่าโอเคดูเนียนดีเลยค่ะ ส่วนพัฟก็มีมาให้แล้วเบ็ดเสร็จในตลับเดียว พัฟรูปทรงสี่เหลี่ยมนุ่ม ใช้งานง่ายและไม่กินเนื้อรองพื้นอีกด้วยนะ อันนี้เวอร์มากแม่!! ส่วนใครที่อยากได้การปกปิดที่เพิ่มมากขึ้นก็สามารถมิกซ์กันได้บนพาเลตที่ได้ออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ อันนี้แหละเก๋สุด อยากจะบอกว่ามิกซ์แล้วก็ไม่ได้ทำให้ดูหนาเหมือนรองพื้นทั่วไปยังคงความงานผิวสายเกาไว้อย่างดีเลยแหละ แถมในตัวนี้ก็ยังมีการผสมเทคโนโลยี Soft Focus Effect ซึ่งจะช่วยเบลอรูขุมขน ริ้วรอย และความไม่สมบูรณ์แบบของผิวหน้าจึงช่วยให้กระจายแสงได้ดี หน้าคุณจึงดูฉ่ำวาว มีมิติ และดูสดใสแบบสาวแดนกิมจิอย่างไรอย่างนั้นเลยละค่ะ ข้อดี
ข้อควรพิจารณา
รีวิว JUNGSAEMMOOL Essential Skin Nuder Longwear Cushion คุชชั่นเพื่อผิวมันถึงผิวผสมราคา 1,350 บาท* ด้วยสภาพอากาศ พันธุกรรม และอื่น ๆ บลา ๆ จึงทำให้ผิวสาวไทยเราค่อนข้างที่จะมันง่าย เยิ้ม แถมยังเป็นคราบ ซึ่งถ้าหากใครที่กำลังกลุ้มใจกับปัญหาเหล่านี้เราอยากจะบอกว่าคุชชั่นตัวนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของคุณก็เป็นได้ค่ะ เพราะว่าคุชชั่นตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อผิวหน้ามันหรือผิวผสมโดยเฉพาะ ฟินิชลุคจะมีความแมตต์ ส่วนเนื้อคุชชั่นก็ค่อนข้างบางเบาทาแล้วเนียนไปกับผิวได้เยี่ยม ตัวคุชชั่นจะช่วยความคุมความมันส่วนเกินพร้อมกับให้ความชุ่มชื้น และขณะเดียวกันก็ยังช่วยเรื่องของความกระจ่างใสด้วยเช่นกันค่ะ จากเสียงผู้ใช้งานจริงหลายคนต่างก็เห็นตรงกันค่ะว่าคุชชั่นตัวนี้ค่อนข้างที่เหมาะสำหรับผิวของสายไทยและสภาพอากาศบ้านเราเป็นอย่างมาก แถมไม่ทำให้รู้สึกหนักหน้าเกินไปอีกด้วย เป็นไงบ้างคะเห็นอย่างนี้สงสัยตั้งลองจัดสักตลับแล้วแหละเนอะ ข้อดี
ข้อควรพิจารณา
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า 7 กุญแจสำคัญสำหรับนิยามความงามแบบ Glass Skinสำหรับกุญแจสำคัญทั้ง 7 ดอกในวันนี้จะเป็นเคล็ดลับและเทคนิคง่าย ๆ ค่ะทางแบรนด์ได้นำมาแบ่งปันเพื่อที่จะให้คุณสาว ๆ ได้นำไปใช้แต่งหน้าให้ผิวดูโกลว์สวยแบบ Glass Skin เอาเป็นว่าจะมีเคล็ดลับอะไรบ้างนั้นก็ตามมาดูกันเลยดีกว่าค่ะ 1. Thin & Thickเทคนิคแรกที่คุณ Jung Saem Mool พูดถึงนั่นก็คือ Thin & Thick ซึ่งก็จะใช้ได้กับรองพื้น, คุชชั่น รวมไปถึงสกินแคร์ด้วยเช่นกันค่ะ ขั้นแรกก็ให้เริ่มจาก V-zone เสมอ โดย V-zone คือบริเวณแก้มทั้งสองข้างลงมายังคาง ส่วนนี้จะต้องใช้บริเวณสกินแคร์หรือรองพื้นมากเป็นพิเศษเนื่องจากผิวจะค่อนข้างหนานั่นเองค่ะ ต่อมาคือ Star-zone ที่ประกอบด้วยผิวรอบดวงตา ริมฝีปาก และระหว่างคิ้ว ในส่วนนี้ให้ใช้ผลิตภัณฑ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเนื่องจากผิวจะค่อนข้างบางเพราะถ้าหากใช้มากเกินไปก็จะทำเครื่องสำอางเป็นก้อนหรือเกิดเป็นคราบได้ ส่วนสุดท้ายก็คือบริเวณ T-zone คือช่วงหน้าผากและสันจมูกก็ให้ใช้ปริมาณที่น้อยเช่นเดียวกันค่ะ 2. Warm & Coolคือการเลือกใช้หลักการของสีเข้ามาช่วยเพื่อปกปิดข้อบกพร่องบนใบหน้าและช่วยทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์และดูมีชีวิตชีวามากขึ้นค่ะ โดยบริเวณแก้มและด้านข้างจมูกนั้นจะเป็นผิวที่อยู่ในโทนร้อนจึงควรเรียกใช้เครื่องสำอางสีเขียวซึ่งเป็นสีตรงข้ามเข้ามาช่วยปกปิด ส่วนผิวโทนเย็นอย่างบริเวณรอบดวงตา ปาก และกึ่งกลางหน้าผากก็ควรเลือกใช้สีส้ม เหลือง หรือชมพูในการปกปิดพวกริ้วรอยต่าง ๆ นั่นเองค่ะ 3. Wet & DryWet & Dry คือเคล็ดลับสำคัญที่ช่วยให้ผิวติดทนนานยิ่งขึ้นค่ะ ทำได้โดยการผสมผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันนั่นก็คือการผสมสูตรน้ำและสูตรแป้งเข้าด้วยกันจะทำให้เครื่องสำอางติดทนนานมากขึ้นค่ะ 4. Lost & Foundคือเทคนิคในการสร้างมิติให้กับใบหน้า โดยเน้นในส่วนที่ต้องการจะไฮไลต์และซ่อนในส่วนที่ต้องการจะปกปิดซึ่งส่วนใหญ่ก็จะนำไปใช้งานกับการแต่งตาเป็นหลัก โดยส่วนกึ่งกลางเปลือกตาจะเป็น Lost zone จึงควรกรีดอายไลเนอร์ให้บางที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะเพราะการกรีดหนาเกินไปจะดูไม่เป็นธรรมชาติเอาได้ค่ะ ส่วนที่เป็น Found zone คือตรงหัวและหางตาส่วนนี้ให้กรีดอายไลน์เนอร์เส้นหนาไปตามส่วนโค้งของดวงตาก็จะทำให้ตาดูสวยยิ่งขึ้นค่ะ 5. Focal Pointเป็นการหาจุดโฟกัสบนใบหน้าเพื่อสร้างสมมาตรนิยมใช้กันการเขียนคิ้วค่ะ โดยให้เริ่มเขียนจากหัวคิ้วไปจรดหางคิ้ว โดยความยาวของหางคิ้วเมื่อลองลากเส้นแล้วจะต้องผ่านลงมายังปีกจมูกได้พอดีซึ่งนี้ก็จะทำให้ผิวซึ่งถือเป็นมงกุฎของใบหน้าดูเป๊ะขึ้นได้ง่าย ๆ เลยค่ะ 6. Simple & Complexเป็นเทคนิคที่เน้นเฉพาะจุดหรือเน้นเพียงจุดเดียว ส่วนส่วนที่เหลือนั้นจะทำให้ดูเรียบง่ายยิ่งขึ้นค่ะ อย่างการเน้นตา ปาก หรือแก้มอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น 7. Old & Newเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญในการผสมผสานระหว่างการแต่งหน้าแบบเก่าในอดีตและแบบใหม่เข้ามารวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อให้เกิดลุคใหม่ที่ดูเป็นเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ บทสรุปสำหรับคุณสาว ๆ คนไหนที่สนใจอยากจะแต่งหน้าโชว์ผิวแบบสาว ๆ เกาหลีอย่างแรกที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือการบำรุงและเตรียมผิวให้พร้อมก่อนที่จะลงเครื่องสำอางนะคะ จริง ๆ แล้วขั้นตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตาสายฝอหรือแนวไหนก็ต้องเตรียมผิวหน้ากันให้พร้อมเพื่อให้เครื่องสำอางติดทนนาน เกลี่ยง่ายและไม่เป็นคราบนั่นเองค่ะ การแต่งหน้าที่ตามสไตล์ของสาวเกาหลีทุก ๆ คนก็คงจะเห็นแล้วว่าเค้าจะค่อนข้างมุ่งเน้นไปที่เรื่องของงานผิว ผิวหน้าดูชุ่มชื้นและฉ่ำวาวเป็นหลัก ก่อนอื่นก็อย่าลืมสำรวจสภาพผิวของตัวคุณเองก่อนนะคะเพราะสภาพผิวหน้าของสาว ๆ แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน อีกทั้งอากาศในบ้านเราก็ค่อนข้างร้อนระอุเสียด้วย ดังนั้นแล้วคนที่มีผิวมันถึงขั้นมันมากก็แนะนำให้เลือกสกินแคร์และเครื่องสำอางกันให้ดี ๆ เพราะหากว่าเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่เข้ากับประเภทของผิวหน้าก็จะยิ่งทำให้หน้าดูเยิ้มได้เลยทีเดียวค่ะ แป้ง Jung Saem Mool ดีไหมข้อดี เนื้อแป้งโปรงแสง ไม่มีสี บางเบาให้ลุคที่ดูเป็นธรรมชาติ หน้าดูเนียนขึ้นแต่ขณะเดียวก็ไ่ทำให้ดูแมตต์จนเกินไป ขนแปรงนุ่ม ไม่บาดผิว ทำให้ใช้งานได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น
Jungsaemmool อะไรดี10 อันดับ Jung Saem Mool ตัวไหนดี งานผิวสวย เติมเต็มความชุ่มชื้น มอบลุคที่ดูเป็นธรรมชาติ. JUNG SAEM MOOL - Essential Skin Nuder Longwear Cushion.. JUNG SAEM MOOL - Essential Mool Cream Light.. JUNG SAEM MOOL - Essential Star-cealer Foundation.. JUNG SAEM MOOL - Easy-Tap Puff.. JUNG SAEM MOOL - Lip-pression Shine.. คุชชั่น Jung Saem Mool ดีไหมปกปิดริ้วรอย ซ่อนรูขุมขนได้จนถึงขั้นสุด ฟินิชของผิวเป็น Soft Matte ควบคุมความมันดี เหมาะกับอากาศเมืองไทย พัฟฟ์รุ่นนี้ดีงามมาก แตะคุชชันนิดเดียว แต่ทาได้เนียนทั่วหน้าเร็วดี
MOOL cream ใช้ ยัง ไงวิธีใช้ หลังจากลงน้ำตบและเซรั่มแล้ว กด 1 ปั๊มแล้วทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ สามารถใช้ได้ทั้งเช้าและก่อนนอน หรือใช้ Light ตอนเช้า และใช้ Mool Cream ตอนกลางคืนเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแบบขีดสุด ความรู้สึกหลังใช้
|