ในคัมภีร์ทาง พระพุทธ ศาสนา มี ถ้อยคำ ใด บ้าง ที่แสดงให้เห็น ภาวะผู้ นํา ของ พระพุทธเจ้า

ยุคสารสนเทศอย่างทุกวันนี้ถ้าหากมีใครอ้างหลักตัดสินความเชื่อในกาลามสูตรที่ว่า อย่าเชื่อโดยอ้างตำรา[1]คงต้องย้อนถามว่า  ถ้าไม่เชื่อตำราแล้วจะเชื่ออะไร ปัจจุบันองค์ความรู้หลากหลายทั้งความเสื่อมความเจริญล้วนมีอยู่ในตำราหรือไม่ก็รวบรวมไว้ในตำราแม้หลักการที่บอกว่าอย่าเชื่อโดยอ้างตำราก็มาจากแหล่งในตำราเช่นกันการเชื่อหรือไม่เชื่อตำราวิธีไหนมีโอกาสผิดพลาดมากกว่ากัน หรือว่ามีโอกาสผิดพลาดได้เท่ากัน

เมื่อศึกษาแหล่งข้อมูลตำราระบุว่าการประพฤติธรรม(พรหมจรรย์) ถ้าหากอ้างตำราก็น่าตำหนิในยุคที่วิชาชีพไม่มีในตำหรับตำราผู้คนอาศัยความถนัด ความจัดเจนคือทักษะไม่ว่าจะฝึกสัตว์ฝึกใช้อาวุธเป็นทหารเป็นช่างดอกไม้เป็นช่างหูกเป็นช่างตัดผมเป็นช่างจักสาน เป็นช่างหม้อเป็นพ่อครัวเป็นนักคำนวณล้วนแต่ต้องอาศัยความเจนจัดจะต้องมีความชำนาญหรือฝึกให้มีทักษะในเรื่องนั้นอย่างหมอชีวกโกมารภัจ แพทย์หลวงกรุงราชคฤห์เรียนแพทย์จบเพราะความจำดีเยี่ยมจำชื่อสมุนไพรได้มากเป็นเภสัชกรชั้นบรมครูรู้วิธีจัดปรุงสมุนไพรมีทักษะการประกอบยารู้พืชพันธุ์ไม้ต่างชนิดว่านำมาทำยาได้ทุกอย่าง ส่วนผู้ที่ต้องการศึกษาเล่าเรียนต้องไปหาครูบาอาจารย์จำสิ่งที่ครูบอกสิ่งที่ครูสอนการจำก็ต้องท่องต้องสาธยายสาธยายรวมเป็นกลุ่มกันหรือแยกกันเมื่อจำได้ต้องหมั่นทบทวนเหมือนที่พระอนุรุทธะสาธยายธรรมบท พระโสณกุฏิกัณณะสาธยายอัฏฐกวรรคนันทมารดาท่องสาธยายปารายนวรรคผู้ที่คงแก่เรียนต้องฟังต้องจำให้ได้มากท่องให้คล่องแคล่วพระพุทธเจ้าเมื่อทรงแสดงธรรมยังได้บอกให้ภิกษุตั้งใจฟังพระอุบาลีผู้เป็นเลิศในด้านกฎหมายคือวินัยก็บอกภิกษุให้จำวินัย

          จึงเห็นได้ว่ามีแต่เหตุการณ์ที่บอกให้ตั้งใจฟังบอกให้ท่องบอกให้จำ

แต่ทว่าการเล่าเรียนด้วยวิธีท่องสาธยายมีข้อจำกัดมีโอกาสผิดพลาดหากจำไม่แม่นการท่องสาธยายจึงไม่ใช่วิธีการที่น่าเชื่อถือไปเสียทั้งหมดดังความที่ว่าภิกษุในธรรมวินัยเล่าเรียนพระสูตรที่เรียนกันมาไม่ดีด้วยบทพยัญชนะที่สืบทอดกันมาไม่ดีแม้อรรถแห่งบทพยัญชนะที่สืบทอดกันมาไม่ดี ก็ชื่อว่าเป็นการสืบทอดขยายความไม่ดีเพราะว่าสิ่งที่ท่องจำอาจคลาดเคลื่อนผิดพลาด

มีคำทำนายว่าในอนาคต (ปัจจุบันนี้) เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปรไปคนจะสนใจตำหรับตำรา ในยุคที่มีตำราเฟื่องฟูมากจะมีคนแต่งเติมพระพุทธวจนะพระพุทธวจนะเหมือนดังตะโพนเก่าที่ต้องซ่อมแซมซ่อมมากเข้า  โครงไม้เดิมหมดไปจนหาไม้เดิมไม่ได้เหลือแต่เพียงลิ่มแต่ไม่มีการทำนายว่าพระพุทธวจนะจะไปอยู่ที่ไหนบ้างทุกวันนี้เราจะเห็นว่าตะโพนอยู่ในตำราหรือไม่ก็ถูกเก็บอยู่ในซีดีรอม 

. การรักษาคำสอนในรูปนิกาย

          ระหว่างพุทธศักราช๑๐๐๒๐๐ชาวพุทธผู้มีทัศนคติไม่ลงกันแยกเป็นกลุ่มนิกายมากมายหลายกลุ่ม ที่เป็นนิกายใหญ่มี๑๘นิกาย  นิกายย่อยมี๔๘๘นิกายเวลานั้นนิกายที่มีตำราเป็นของตนเองได้เป็นนิกายหลักในเวลาต่อมาก็คือ นิกายเถรวาทและนิกายมหายานถ้าหากว่าสองนิกายนี้ไม่มีตำราป่านนี้คงสูญหายไปเหมือนกับนิกายอื่นครั้นสองนิกายนี้เผยแผ่ไปคนละทิศทาง เรื่องราวเหตุการณ์จึงแตกต่างกันทั้งในทางภูมิศาสตร์และทางประวัติศาสตร์ทั้งหลักการและวิธีการความแตกต่างรวมไปถึงภาษาที่ใช้อีกด้วยการใช้ภาษาต่างกันนี่แหละเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้แหล่งข้อมูลไม่ตรงกัน

          . ยุคตำราของนิกายเถรวาท  

          เรื่องราวที่สืบทอดมานับพันปี บางเรื่องหาข้อยุติแบบฟันธงได้ยากประวัติศาสตร์ของนิกายเถรวาทยุติตามหลักฐานลังกาที่ระบุว่าหลังการสังคายนาครั้งที่พระมหินทเถระนำพระไตรปิฎกและอรรถกถาไปลังกาได้จารึกเป็นอักษรในสมัยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย พระเถระของลังกายุคนั้นได้แปลคัมภีร์เป็นภาษาสิงหลต่อมาพระพุทธโฆษาจารย์ชาวอินเดียเดินทางมาปริวรรตคัมภีร์สิงหลนั้นเป็นตันติภาษาคือภาษาบาลี

ตำราหลัก(พระไตรปิฎก)ของนิกายเถรวาทที่สืบทอดมาถึงทุกวันนี้  โบราณาจารย์จัดไว้เป็นหมวดหมู่อ้างอิงสืบทอดกันมาหลายยุคสมัยวิวัฒนาการมาโดยลำดับเริ่มแต่ท่องสาธยายจารึก จนเป็นเล่มหนังสือเหตุที่ต้องจารึกก็เพื่อความสะดวกเพราะอุปสรรคเช่นภาวะสงครามหรือเกิดทุพภิกขภัยครั้งแรกจารึกที่อาลุวิหารในเกาะลังการัชสมัยของพระเจ้าทุฏฐคามณีระหว่าง .. ๓๖๖๔๔๒ (ผู้รู้บางคนเห็นว่าพระพุทธวจนะบางส่วนบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช)

ยุคคุปตะระหว่างปีพุทธศักราช ๘๖๓๑๑๑๘* ถือว่าเป็นยุคทองของอารยธรรมอินเดียคัมภีร์สันสกฤตและบาลีรุ่งเรืองที่สุดมีการขุดค้นพบโบราณวัตถุเช่นเหรียญตราพระพุทธปฏิมารูปพระโพธิสัตว์ รวมทั้งสถูปในอินเดียตอนเหนือ (ในประเทศปากีสถานและอัฟกานิสถาน)

          ในนิกายเถรวาทโบราณาจารย์ผู้สืบทอดพระพุทธวจนะมาจากสังคายนาครั้งแรกที่เป็นชาวอินเดีย (ชัมพูทีปกาจารย์) ระบุชื่อ๑๒คน  ที่เป็นชาวลังกา (ลังกาทีปกาจารย์) ระบุชื่อ๕๓คน ชาวพุทธเรียกท่านเหล่านั้นด้วยความเคารพว่าพระโบราณาจารย์บ้างพระอรรถกถาจารย์บ้างพระคันถการกาจารย์บ้าง  พระสังคีติกาจารย์บ้าง  พระธัมมสังคาหกาจารย์บ้างพระคันถรจนาจารย์บ้าง

พระอรรถกถาจารย์หมายถึงผู้ที่รู้ความประสงค์ของพระพุทธเจ้า (อฏฺฐกถาจริยาหิพุทฺธสฺส    อธิปฺปายํชานนฺติ)

บรรดาพระอรรถกถาจารย์พระพุทธโฆษาจารย์มหากวีชาวอินเดียมีชีวิตอยู่ในยุคคุปตะ (กุมารคุปตะ) มีบทบาทสำคัญที่สุดในการนิพนธ์คัมภีร์ของนิกายเถรวาท 

พระพุทธโฆษาจารย์เป็นพราหมณ์เจนจบเรื่องคัมภีร์ไตรเพทศึกษาไวยากรณ์ของท่านปาณินิชำนาญในปรัชญาโยคะและปรัชญาสังขยาเคยนับถือท่านปตัญชลีไม่น่าแปลกใจเลยที่พระพุทธโฆษาจารย์มีความรู้ความเชี่ยวชาญภาษาสันสกฤต ทั้งมีความรู้เรื่องของพราหมณ์เป็นอย่างดี[2]

ในคัมภีร์ของนิกายเถรวาท หนังสืออธิบายพระไตรปิฎก(อรรถกถา)บางส่วนจัดรวมอยู่ในพระไตรปิฎก  (ติปิฏกสงฺคหิตํ  สาฏฺฐกถํ)  พระไตรปิฎกมีสุภาษิตมากมาย  ได้แก่ 

. พุทธภาษิต  ภาษิตของพระพุทธเจ้าคือวินัยปิฎกธรรมบทอุทานอิติวุตตกะสุตตนิบาต วิมานวัตถุเปตวัตถุ  ชาดกจริยาปิฎกอภิธรรมปิฎก  พระสูตร  ต่าง เช่นพรหมชาลสูตร  

. สาวกภาษิต   ภาษิตของพระสาวก

คือภาษิตของพระสารีบุตร ได้แก่ธัมมทายาทสูตร  อนังคณสูตร  สัมมาทิฏฐิสูตร  จูฬสีหนาทสูตร    มหาสีหนาทสูตร  รถวินีตสูตร  มหาหัตถิปโทปมสูตร  มหาเวทัลลสูตร  วัตถูปมสูตร  ทีฆนขสูตร  อนุปทสูตร  เสวิตัพพาเสวิตัพพสูตร  สัจจวิภังคสูตร   สัมปสาทนียสูตรสังคีติสูตรทสุตตรสูตร  ปวารณาสูตร    สุสิมสูตร  มหานิทเทส  ปฏิสัมภิทามรรค

ภาษิตของพระมหาโมคคัลลานะคืออนุมานสูตร  จูฬตัณหาสังขยสูตร  มารตัชชนียสูตร    อิทธิปาทสูตร  วิมานวัตถุ   เปตวัตถุ 

ภาษิตของพระมหากัสสปะ  คือ  กัสสปสังยุต  มหาอริยวังสสูตร 

ภาษิตของพระอนุรุทธะคือจูฬโคสิงคสูตร  นฬกปานสูตร  อนุตตริยสูตร  อุปักกิเลสสูตร     อนุรุทธสังยุต  มหาปุริสวิตักกสูตร 

ภาษิตของพระอานนท์  คือเสขสูตรพาหิติยสูตรอเนญชสัปปายสูตรโคปกโมคคัลลานสูตร พหุธาตุกสูตรจูฬสุญญตสูตรมหาสุญญตสูตรอัจฉริยัพภูตสูตรภัทเทกรัตตสูตรมหานิทานสูตรมหาปรินิพพานสูตรสุภสูตร จูฬนิยโลกธาตุสูตรเป็นต้น

. อิสิภาษิต  ภาษิตของนักบวชภายนอกพระพุทธศาสนาเช่นภาษิตในปริพพาชกวรรค ภาษิตของพราหมณ์พาวรีกับศิษย์  ๑๖คน 

. เทวตาภาษิตภาษิตของอมนุษย์คือ  ภาษิตในเทวตาสังยุตเทวปุตตสังยุตพรหมสังยุต  สักกสังยุต  เป็นต้น

ในพระสุตตันตปิฎกเนื้อความที่ไม่จัดไว้ในพระสูตร ๑๒หมวดคือปฏิสัมภิทามรรค  นิทเทส  ธรรมบท  อุทานอิติวุตตกะ สุตตนิบาตวิมานวัตถุเปตวัตถุเถรคาถาเถรีคาถาชาดกและอปทาน  พระสูตรที่ระบุว่าเกิดภายหลังพุทธกาล คืออัฏฐกนาครสูตร  มถุรสูตรโฆฏมุขสูตรโคปกโมคคัลลานสูตรพักกุลัตเถรัจฉริยสูตรและนารทสูตรเป็นต้น  

เหตุการณ์ยุคต่อมาเช่นการสังคายนาครั้งที่และครั้งที่รวบรวมไว้ในวินัยปิฎกพระสัมภูตสาณวาสีพระขุชชโสภิตะและพระสัพพกามีผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสังคายนาครั้งที่ มีประวัติในคัมภีร์เถรคาถาชื่อเมืองปาฏลีบุตรในสมัยพระเจ้าอโศกมีในวินัยปิฎกและสุตตันตปิฎก ทั้งระบุด้วยว่ากถาวัตถุ(ในอภิธรรมปิฎก)และสมถขันธกะกับปริวาร(ในวินัยปิฎก)มีวิวัฒนาการในยุคต่อมา      

จึงกล่าวได้ว่าพระพุทธวจนะมีอยู่ในพระไตรปิฎก แต่พระไตรปิฎกมิใช่เป็นพระพุทธวจนะทั้งหมด

. ยุคตำราของนิกายมหายาน     

ในทรรศนะของเรียวกันกิมุระ (R. Kimura)   ในสมัยพระเจ้าอโศกพระพุทธศาสนามีศูนย์กลางอยู่ที่กุกกุฏาราม  ปาฏลีบุตรเวลานั้นพระสงฆ์มีกลุ่มคือ  สถวีระ(เถรวาท)กับมหาสังฆิกะ  สถวีระมีกลุ่มผู้นับถือวินัย(วินยภาณิกะ)แยกไปทางอินเดียใต้จนถึงลังกา กับผู้นับถือพระสูตร(สุตตภาณิกะ)แยกไปทางอินเดียเหนือจนถึงแคชเมียร์กลุ่มนี้เดิมทีเป็นสถวีระเมื่อขึ้นไปอยู่ทางเหนือได้รับอิทธิพลฝ่ายมหาสังฆิกะที่อยู่มาก่อนจึงได้ชื่อเป็นสรวาสติวาทิน แต่คงเป็นสถวีระเหมือนเดิมมหาสังฆิกะ(มหายาน)เรียกพวกสรวาสติวาทินให้ดูต่ำกว่าพวกตนเองว่าหินยาน  กลุ่มสถวีระ(วินยภาณิกะ) ที่แยกไปทางใต้พลอยถูกกระทบไปด้วย  จึงกลายเป็นหินยานไปเมื่อแยกกันในคราวแรกกลุ่มที่ลงไปใต้ก็ไม่ยอมรับกลุ่มสรวาสติวาทินนั้นอยู่ก่อนแล้วดังนั้นถึงได้ชื่อเป็นหินยานเหมือนกันแต่ยังถือหลักการและวิธีการไม่ตรงกัน เวลานั้นจึงมีหินยานกลุ่ม  กลุ่มหินยานเหนือใช้ภาษาสันสกฤตกลุ่มหินยานใต้ใช้ภาษาบาลี

          ทรรศนะในเรื่องนี้สอดคล้องกับอรรถกถาของเถรวาทที่ระบุว่า วินัยเป็นอายุของพระศาสนา (วินโย นาม พุทฺธสาสนสฺส อายุ) แต่นิกายเถรวาทในลังกาบอกว่า คำนี้เป็นมติของพระอรหันต์ก่อนการสังคายนาครั้งแรก ในอินเดีย

            ราวพุทธศักราช ๖๐๐ ปี กลุ่มมหาสังฆิกะสังคายนาคัมภีร์สันสกฤตทางอินเดียเหนือ จึงเป็นเหตุให้ภาษาสันสกฤตรุ่งเรืองอยู่ในแถบเอเชียกลางพร้อมกับความรุ่งเรืองของกลุ่มมหาสังฆิกะ

มหายานรับอิทธิพลมาจากลัทธิลึกลับในเปอร์เซียอียิปต์ลัทธิฮินดูและศาสนาเชน บวกกับความเชื่อของคนหลายเผ่าพันธุ์มีพัฒนาการตอนคือที่ยังไม่เป็นระบบกับที่เป็นระบบแล้วใน วรรณคดีของมหายานดาษดื่นไปด้วยเรื่องราวในทางตำนานใช้ถ้อยคำเกี่ยวกับอมตภาวะเช่นSupreme Spirit, Self-existent, Great Father, World-Father, Rule of the Triple World, Greator, Destroyer, Physician ถึงจะยอมรับหลักการบางอย่างไปจากเถรวาทก็ได้เพิ่มวิธีปฏิบัติอย่างอื่น เช่นนิกายเถรวาทมีนวังคสัตถุศาสน์(คำสอนมีองค์อย่าง) นิกายมหายานเพิ่มเป็น๑๒อย่างคือ นิทานอวตารและอุปเทส  

พัฒนาการของนิกายมหายานไปตรงกับคำทำนายที่ว่าเป็นเรื่องของกวี  มีพยัญชนะวิจิตร  เป็นเรื่องภายนอกสาวกภายนอกแต่งขึ้น

           การศึกษาสันสกฤตที่เป็นไปอย่างแพร่หลาย สาเหตุหนึ่งเพราะ นาย บี. เอ็ช. ฮอดจ์สัน (B. H. Hodgson) ชาวอังกฤษ เจ้าหน้าที่กงศุลเมืองกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ได้พบคัมภีร์ภาษาสันสกฤตระหว่างที่ปฏิบัติงานอยู่ในปี พ. . ๒๓๗๐๒๓๘๘ (. . 1827–1845)* นายฮอดจ์สันพบคัมภีร์สันสกฤต ๓๘๑ ผูก ซึ่งก่อนนั้นนอกจากคัมภีร์บาลียังไม่มีใครรู้จักคัมภีร์พระพุทธศาสนาในภาษาอื่น  ไม่ว่าชาวยุโรป ชาวจีน ชาวญี่ปุ่น หรือแม้ชาวอินเดียเอง นายฮอดจ์สันส่งคัมภีร์ไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาหลายฝ่าย ทั้งในประเทศอินเดียและหลายประเทศในยุโรป การศึกษาคัมภีร์สันสกฤตเป็นการค้นคว้าในเรื่องของมหายาน จึงทำให้นิกายมหายานเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างโดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรป 

          . การศึกษาตีความคัมภีร์

 ในยุคที่ชาวตะวันตกศึกษาพระพุทธศาสนาชาวอังกฤษชื่อโทมัสวิลเลียมรีสเดวิดส์   (T. W. Rhys Davids)[3]ได้ก่อตั้งสมาคมบาลีปกรณ์ (The Pali Text Society) พิมพ์คัมภีร์บาลีเผยแพร่  T. W. Rhys Davids เห็นว่าพระไตรปิฎกมีวิวัฒนาการมาโดยลำดับจากพุทธกาลจนถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเริ่มที่มีพระพุทธวจนะสั้นคำประพันธ์เรียกว่าคาถา เนื้อความซ้ำบ่งร่องรอยให้รู้ว่ามีการท่องสาธยายศาสตราจารย์รีสเดวิดส์เชื่อว่ายุคแรกมีเพียงนิกายเท่านั้นคือ () ทีฆนิกาย () มัชฌิมนิกาย () สังยุตตนิกาย () อังคุตตรนิกายส่วนขุททกนิกายมีในยุคต่อมา

บี. ซี. ลอว์ (B. C.  Law) ปราชญ์ชาวอินเดีย  แบ่งเหตุการณ์ในพระไตรปิฎกไว้    ยุคคือ

.  พระเจ้าพิมพิสาร (อชาตศัตรู) .. ๖๐๑๖๐     (ปลายพุทธกาล)

. พระเจ้ากาลาโศก                     .. ๑๖๐๒๗๘  (หลังพุทธกาลในอินเดีย)

. พระเจ้าอโศกมหาราช              .. ๒๗๘๓๑๓  (หลังพุทธกาลในอินเดีย)

.  พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ        .. ๓๑๓๔๖๓  (หลังพุทธกาลในลังกา)

. พระเจ้าทุฏฐคามณี                   .. ๔๖๓๕๒๓  (หลังพุทธกาลในลังกา)

เรื่องราวเหตุการณ์สถานที่ รวมทั้งบุคคลในประวัติศาสตร์ทำให้รู้ได้ว่าพระไตรปิฎกพัฒนาการมาหลายยุคหลายสมัย[4]

             ยุคต้นคำสอนของพระพุทธเจ้ามุ่งไปที่ความหลุดพ้นเท่านั้นแต่ยุคต่อมาชาวพุทธก็พร้อมจะอธิบายคำสอนอย่างเทพนิยายแก่ผู้ที่ชอบคิดอะไรด้วยภาษาของเทพนิยายและพร้อมที่จะอธิบายคำสอนเชิงปรัชญาให้แก่ผู้ที่คุ้นเคยกับแนวคิดในเชิงปรัชญา

           การศึกษาตีความคัมภีร์เมื่อต่างคนต่างศึกษาก็อาจตีความหรือมีทรรศนะแตกต่างกันออกไป   บางคนมุ่งประวัติศาสตร์บางคนมุ่งปรัชญาบางคนมุ่งวรรณกรรม  บางคนมุ่งศึกษาหลายด้านหลายอย่างใครจะเน้นหนักไปด้านไหนก็อยู่ที่ภูมิหลังของผู้นั้นนั่นเอง    

           สิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ จำเป็นต่อการศึกษาตีความอย่างมากตัวอย่างภูมิศาสตร์ในสุตตันตปิฎกคือพระสูตรในนิทานวรรคสังยุตตนิกายเรื่องเคยมีมาแล้วภูเขาเวปุลละเคยมีชื่อว่าปาจีนวังสะของคนเผ่าติวรา เดินขึ้นลงในเวลา    วัน...เคยมีชื่อว่าวงกตของคนเผ่าโรหิตัสสะเดินขึ้นลงในเวลา  วันเคยมีชื่อว่าสุปัสสะของคนเผ่าสุปปิยา เดินขึ้นลงในเวลา  วันเคยมีชื่อว่าเวปุลละของคนเผ่าเวปุลละ     เมื่อจบพระสูตรนี้สรุปอนิจลักษณะว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืนไม่น่าชื่นใจควรเบื่อหน่ายคลายกำหนัดควรหลุดพ้นไปจากสังขาร     (สํ. นิ. ๑๖/๑๔๓/๑๘๓) ผู้ศึกษาย่อมจะทราบได้ว่าพระสูตรนี้สอนอนิจลักษณะ  แต่ที่เหนือไปกว่านั้นพระสูตรนี้ให้ความรู้ทางภูมิศาสตร์ของชมพูทวีปอีกด้วย บอกความเป็นไปของภูเขาเวปุลละซึ่งเป็นหนึ่งในเบญจคีรีมีชื่อต่างกันหลายยุคสมัยหรือบางประเด็นในมหาปรินิพพานสูตรเช่นการเตรียมผ้าใหม่ไว้เพื่อห่อพระบรมศพของพระพุทธเจ้าใส่น้ำยาแช่ลงในรางเหล็ก (ที.. ๑๐/๒๐๕/๑๒๔) ก็ทำให้นึกไปถึงวิธีเก็บรักษาศพ(มัมมี)สมัยโบราณทั้งเรื่องราวต่าง ในราชสำนักที่พรรณนาไว้ในอรรถกถาชาดกบางเรื่องได้สะท้อนถึงการแย่งชิงอำนาจกันในราชสำนักเป็นต้น

ร่องรอยภูมิศาสตร์ไทยปรากฏในนิทเทสพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ระบุชื่อสถานที่โบราณได้แก่ตักโกลา (ตกฺโกลํ) และตามลิง (ตามฺลึง)  ตักโกลาเป็นท่าเรือสมัยโบราณปัจจุบันคืออำเภอตะกั่วป่าจังหวัดพังงา  ส่วนตามลิงหรือตามพรลิงก็คือจังหวัดนครศรีธรรมราช  ยิ่งกว่านั้นมีข้อมูลภูมิศาสตร์ในเอเชียอาคเนย์เช่น สุวรรณภูมิปีนังชวาและหมู่เกาะเปอร์เนียว  

ในมิลินทปัญหาก็มีคำว่าตกฺโกลํ  (ตะกั่วป่า) และประเทศจีน(จีนํ)  

การศึกษาคัมภีร์ถ้าจะมุ่งศาสนธรรมอย่างเดียวคัมภีร์(พระไตรปิฎก)ก็เป็นแหล่งปฐมภูมิ เป็นตำราหลักที่ต้องมีไว้ตรวจสอบความประพฤติถ้าศึกษาหลายแง่ก็เอื้อประโยชน์หลายด้านมีทั้งสาเหตุของปัญหาและมีวิธีแก้ปัญหามีทั้งหลักการและมีวิธีการถึงกระนั้นเรื่องราวในพระไตรปิฎกก็ไม่ใช่หลักการไปเสียทั้งหมด

ถ้าจะศึกษามุ่งทางประวัติศาสตร์องค์ความรู้ในคัมภีร์สัมพันธ์กับองค์ความรู้อีกหลายสาขาทั้งสังคมวิทยามานุษยวิทยาโบราณคดีรัฐศาสตร์นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ปรัชญาจิตวิทยาภาษาศาสตร์ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องราวในอดีตเป็นสิ่งปรุงแต่งเป็นสังขาร  องค์ความรู้เหล่านี้มีอยู่ก่อนที่จะมีการเรียกชื่อว่าเป็นวิชานั้นหรือว่าวิชานี้

ท่านพุทธทาสภิกขุเคยเตือนนักเรียนคัมภีร์ดังข้อความที่คัดมา..พวกเราสมัยนี้พอเกิดมาก็มีคัมภีร์อันมากมายทั้งที่เป็นตัวบทเดิม (text) และคำอธิบายตัวบทนั้น (commentary) กองรออยู่แล้วเป็นภูเขาเลากาและเราก็เรียนกันอย่างตาเปียกตาแฉะ  จนมีความรู้ท่วมตัวทั้งในแง่ของศาสนา, ปรัชญา, วรรณคดีและอื่นจนเราไม่รู้ว่าจะเลือกข้อไหนเป็นที่พึ่งยิ่งเรียนพระคัมภีร์มากเท่าไรก็ยิ่งไม่รู้ตัวแท้ของศาสนายิ่งขึ้นเท่านั้น  เพราะเหตุว่าตัวแท้ของศาสนานั้นเป็นสิ่งที่จะรู้จักได้ด้วยการปฏิบัติลงไปจริงเท่านั้น

          อย่างไรก็ดี บทความนี้มุ่งศึกษาคัมภีร์ในฐานะที่เป็นแผนที่ที่มีไว้เป็นอุปกรณ์การเดินทางเห็นว่าควรได้ศึกษาบริบทของคัมภีร์ด้วยที่จำเป็นก็คือเประวัติศาสตร์มหายานยุคต้นมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์เถรวาทในยุคต่อมาตามประวัติศาสตร์นิกายเถรวาท ก่อนพระพุทธโฆษาจารย์จะไปลังกานิกายมหายานรุ่งเรืองอยู่ในอินเดียเหนือและเอเชียกลางแต่นิกายเถรวาทกลับเสื่อมโทรมจนพระพุทธโฆษาจารย์ต้องไปฟื้นฟูคัมภีร์บาลีที่ลังกา

 ฮาร์ดายัล (Har Dayal) กล่าวว่า คัมภีร์ที่แปลเป็นภาษาจีนก่อนพระพุทธโฆษาจารย์มีหลายคัมภีร์เช่นมหาวัสตุลลิตวิสตาระสัทธรรมปุณฑริกะสุขาวตีวยุหะ  พุทธจริตะ ปรัชญาปารมิตาศตสาหัสตริกะปรัชญาปารมิตาวัชรัจเฉทิกาอวทานศตกะทิพยาวทานทศภูมิกสูตรลังกาวตารสูตร สมาธิราชสูตรและสุวรรณประภาสะเนื้อหาในคัมภีร์ดังกล่าวเชื่อว่าส่งอิทธิพลต่อวรรณกรรมในนิกายเถรวาท  ส่วนคัมภีร์นิกายเถรวาทที่ระบุว่ามีอยู่ก่อนพระพุทธโฆษาจารย์ได้แก่เนตติปกรณ์  เปฏโกปเทสมิลินทปัญหา[5]คัมภีร์สิงหลมี๑๙คัมภีร์ คัมภีร์ทีปวงศ์และคัมภีร์มหาวงศ์ (ประวัติศาสตร์เกาะลังกา)

ในคัมภีร์ของเถรวาทระบุชื่อวรรณกรรมของนิกายอื่น  ได้แก่

ไวตุลปิฎกของนิกายไวตุลยะแห่งอภัยคีรีวิหาร

วรรณปิฎกของนิกายเหมวันตะ

องคุลิมาลปิฎกของนิกายราชคิริ

คุยหเวสสันดรของนิกายสิทธารถกะ

รัฏฐปาลครรชิตของนิกายปูรวไศลี

อาฬวกครรชิตของนิกายอปรไศลี

คุยหวินัยของนิกายวัชรบรรพต

คำว่าพาหิรกสูตรซึ่งแปลว่าสูตรภายนอกหมายถึงพระสูตรที่มิได้สังคายนาในอินเดีย ครั้ง  มติของท่านมหาเทวะตรงกับคำว่าปรูปหารวาท์อัญญาณวาท์กังขาวาท์และปรวิตรณวาท์ของนิกายเถรวาท  นิกายเถรวาทถือว่ากลุ่มมหาสังฆิกะเป็นข้อศึกต่อพระศาสนา     

ส่วนคัมภีร์มหาวัสตุ-อวทานเป็นคัมภีร์เชื่อมนิกายเถรวาทกับนิกายมหายาน

. สรุป

          การรักษาคัมภีร์เท่ากับการรักษาพระศาสนาคัมภีร์พุทธศาสน์มีพระไตรปิฎกเป็นหลักบันทึกผ่านมาหลายยุคหลายสมัย คนไทยรับอิทธิพลความเชื่อจากพระพุทธศาสนาสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต่อการอนุรักษ์พระศาสนาก็คือการศึกษาแล้วปฏิบัติ  การปฏิบัติจะต้องมีหลักไว้ตรวจสอบว่าทำถูกต้องหรือไม่ทำได้แค่ไหนและควรให้เป็นไปอย่างไรเป็นต้น 

ยุคนี้ปัญหาไม่ใช่การเชื่อหรือการไม่เชื่อตำราแต่กลายเป็นว่าควรเชื่อหรือไม่เชื่อตำราอย่างไร  อะไรเป็นตำนานอะไรเป็นประวัติศาสตร์บางทีพาให้สับสน ถึงได้ศึกษาก็ยังไม่ชัดเจนนักเพราะหาข้อมูลได้ยากการเลือกเฟ้นจึงเป็นวิธีที่สำคัญการเลือกจะสะท้อนผู้เลือกนั่นเอง  ลิ่มถูกตอกเพื่อไม่ให้ตะโพนชำรุด ถ้าไม่รู้จักตะโพนแล้วนำลิ่มไปแก้ปัญหาย่อมจะผิดวัตถุประสงค์ไม่มีผลใดเหมือนการใช้กุญแจผิดดอกหรือการใช้ยาที่ไม่เหมาะกับโรค 

เมื่อยังไม่ถึงฝั่ง แพยังมีประโยชน์ขึ้นฝั่งแล้วต้องทิ้งแพมีคัมภีร์จะต้องศึกษาแต่คัมภีร์ยังไม่ใช่คำตอบท้ายที่สุดคัมภีร์เป็นเหมือนดัชนีชี้ไปยังดวงจันทร์มีทั้งลิ่มเก่าลิ่มใหม่และไม้จริง ถอดลิ่มออกได้ก็จะพบไม้จริงแต่ตะโพนเก่าคร่ำคร่าตามกาลเวลาถ้าหากอุปกรณ์ยังไม่พร้อมก็ควรปล่อยลิ่มไว้  เพียงรู้จักแพรู้จักตะโพนรู้จักลิ่มไม่ตอกย้ำลิ่มลงไปอีกก็คงเพียงพอแล้ว     

บรรณานุกรม

มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (ผู้จัดพิมพ์). มหาจุฬาเตปิฏกํ. กรุงเทพมหานคร :

           โรงพิมพ์มหาจุฬา, ...

--------. ปปญฺจสูทนิยา นาม มชฺฌิมนิกายฏฺฐกถาย มูลปณฺณาสกวณฺณนา ทุติโย ภาโค.

            กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์วิญญาณ, ๒๕๓๒

--------.สมนฺตปาสาทิกาวินยฏฺฐกถา ปฐโม, ทุติโย ภาโค. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์

วิญญาณ, ๒๕๓๒.

______. สารตฺถทีปนีฏีกา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์วิญญาณ, ๒๕๓๘.

Conze, Edward, A Short History of Buddhism.London : George & Unwin

            Publishers.

Rhys Davids, T.W. Buddhist India .Delhi : Motilal  Banarsidass,1970.

Hazra, K.L. Studies on Pali Commentaries. Delhi : D.K. Fine Art Press,1991.



[1] คำบาลี คือ มาปิฏกสมฺปทาเนน ในที่นี้  ปิฎก มุ่งเอาปริยัติศึกษา ปริยตฺติปิ หิ มา ปิฏกนฺติ วุจฺจติ ” (วิ.. /๒๐)

       [2] Mrs. Rhys Davids  มีความเห็นว่านักปรัชญาชาวยุโรปผู้มีแนวคิดคล้ายพระพุทธโฆษาจารย์ได้แก่Hume และHartley

[3]มีอายุอยู่ระหว่าง.. 1843-1922 (.. ๒๓๘๖๒๔๖๕)

[4]ศิลปกรรมอินเดีย  มี ๒๕ยุคเริ่มจากก่อนประวัติศาสตร์  ยุคอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุยุคพระเวทยุคอาณาจักรมคธฯลฯพระเจ้าพิมพิสาร  พระเจ้าอชาตศัตรูจนถึงพระเจ้าอโศกมหาราช  อยู่ในยุคที่   บวกยุคประวัติศาสตร์ของไทยเข้าไปอีกก็ยิ่งเห็นว่าพระไตรปิฎกผ่านมาหลายยุคหลายรัชกาล     

[5] พม่าจัด ๓ คัมภีร์นี้อยู่ในพระสุตตันตปิฎก (U Ko Lay : 1995, ix)

ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามีถ้อยคำใดบ้างที่เเสดงให้เห็นภาวะผู้นำของพระพุทธเจ้า

ในฐานะนักบริหาร พระพุทธเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยหลักธรรมของนักบริหารหรือทรงมี ภาวะผู้นำ (Leadership) ที่ยอดเยี่ยม ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามีถ้อยคำที่แสดงให้เห็นภาวะ ผู้นำของพระพุทธองค์อยู่หลายคำ เช่น พระศาสดา พระผู้ทรงเป็นครูของชาวโลก พระโลกนาถ พระผู้เป็นที่พึ่งของชาวโลก พระโลกเชษฐ์ พระผู้เป็นผู้เจริญสุดของชาวโลก

ข้อใดแสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงมีหลักธรรมของนักบริหาร

เมตตา คือ การเห็นอกเห็นใจผู้ใต้บังคับบัญชา กรุณา คือ การช่วยเหลือ มุทิตา คือ รู้สึกยินดีหรือดีใจ และ อุเบกขา คือ การวางเฉยกับปัญหาที่เล็กน้อย หลักธรรมแห่งความเป็นจริง "อริยสัจ 4" ทุกข์คือ ปัญหาที่เกิด สมุหทัย คือ สาเหตุแห่งปัญหา นิโรธ คือ การดับปัญหา และมรรค คือ การแก้ไข ปัญหา

คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่าอะไร

หมายความว่าพระพุทธเจ้าตรัสให้พระธรรมวินัย คือคำสั่งสอนของพระองค์นี้ เป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะฉะนั้น การสังคายนาจึงถือว่าเป็นการปฏิบัติตามพุทธพจน์ ที่เหมือนกับได้ทรงฝากฝังสั่งเสียไว้ว่า ให้พระธรรมวินัย คือคำสั่งสอนของพระองค์เป็นศาสดาแทนพระองค์ด้วย

คัมภีร์ที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธศาสนาในส่วนที่เป็นพระธรรมเทศนาที่พระองค์ได้ตรัสไว้แก่บุคคลต่าง ๆ คือคัมภีร์ใด

ความรู้เรื่อง "พระไตรปิฎก" พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามตำนานเล่าว่าพระจุนทเถระ และพระอานนท์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พระจุนทะว่าให้รวบรวมคำสอนของพระองค์ และทำสังคายนาเพื่อรักษาพระธรรมวินัยไว้

ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามีถ้อยคำใดบ้างที่เเสดงให้เห็นภาวะผู้นำของพระพุทธเจ้า ข้อใดแสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงมีหลักธรรมของนักบริหาร คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่าอะไร คัมภีร์ที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธศาสนาในส่วนที่เป็นพระธรรมเทศนาที่พระองค์ได้ตรัสไว้แก่บุคคลต่าง ๆ คือคัมภีร์ใด หลักธรรมของนักบริหารที่พระพุทธเจ้าทรงมี ได้แก่อะไรบ้าง ผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาผู้นำตามแนวพระพุทธศาสนาประการแรก คือ อะไร ในฐานะที่นักเรียนเป็นชาวพุทธ นักเรียนจะมีส่วนช่วยธํารงพระพุทธศาสนาได้อย่างไร หลักธรรมในการเป็น ผู้นำ หลักธรรมของศาสนาพุทธ