Curriculum Vitae เขียนยังไง

เรซูเม่ (Resume/Résumé) คืออะไร?

เรซูเม่ (Resume/Résumé) คือ ประวัติโดยย่อของบุคคล สำหรับใช้สมัครงาน ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลสำคัญของผู้สมัคร เช่น ชื่อ-นามสกุล ประวัติการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน ความสามารถที่เกี่ยวข้องกับงาน ฯลฯ มีความยาวประมาณ 1-2 หน้ากระดาษ A4 

Resume ต่างกับ CV อย่างไร?

CV ย่อมาจาก Curriculum Vitae มีลักษณะคล้ายเรซูเม่ แต่จะมีข้อมูลที่ละเอียดกว่า อาจยาวถึง 2-3 หน้ากระดาษ A4 และมักใช้สำหรับการสมัครเรียนต่อ หรืองานที่เกี่ยวกับการศึกษามากกว่า

อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยและยุโรป ทั้ง 2 คำนี้ใช้ในความหมายเดียวกัน แต่ในสหรัฐอเมริกาจะแยกออกจากกันอย่างที่อธิบายไว้ตอนต้น

วิธีทำเรซูเม่แบบสรุป

ข้อมูลในเรซูเม่ควรประกอบด้วย 9 ข้อ ดังนี้

  1. ชื่อ นามสกุล (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)
  2. ตำแหน่งงานที่สมัคร
  3. ที่อยู่ อีเมล เบอร์โทรศัพท์ (ควรตั้งชื่ออีเมลเป็นทางการ)
  4. ประวัติการทำงาน / กิจกรรมสมัยเรียนที่เคยทำ (เลือกเฉพาะที่เกี่ยวข้อง เรียงจากล่าสุด-เก่า)
  5. ประวัติการศึกษา (เริ่มด้วยระดับสูงสุดก่อน)
  6. ทักษะที่เกี่ยวข้องกับงาน
  7. ระดับความสามารถทางภาษา
  8. ประวัติการเข้าร่วมอบรม รางวัล และ Certificate ต่างๆ (ถ้ามี)
  9. ข้อมูลอื่นๆ ที่สามารถใส่เพิ่มได้
    • รูปถ่ายสุภาพ
    • น้ำหนักและส่วนสูง
    • วัน เดือน ปีเกิด
    • เงินเดือนที่ต้องการ

วิธีทำเรซูเม่แบบละเอียด

1. เลือกเว็บทำเรซูเม่

Curriculum Vitae เขียนยังไง
วิธีทำเรซูเม่ที่ง่ายที่สุดคือ ทำผ่านเว็บไซต์

เราสามารถทำเรซูเม่ใน Microsoft Word ได้ แต่วิธีทำเรซูเม่ที่ง่ายที่สุด คือการทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์

เว็บไซต์เหล่านี้จะมีรูปแบบเรซูเม่ให้เลือกมากมาย และสามารถปรับแต่งสี ฟอนต์ และรูปภาพได้ค่อนข้างง่ายและอิสระ

5 เว็บไซต์ทำเรซูเม่ที่นิยม

  1. canva.com
  2. zety.com
  3. resume.io
  4. resumebuild.com
  5. novoresume.com

2. เลือกรูปแบบที่เหมาะสม

ควรเลือกรูปแบบที่เหมาะกับทักษะ ความสามารถ ประสบการณ์ และตำแหน่งงานของเรา และสิ่งที่ห้ามมองข้ามเลยก็คือ “ดีไซน์” เพราะหากคุณกำลังมองหางานที่เน้นความคิดสร้างสรรค์ แต่เลือกดีไซน์ทางการเกินไป ก็อาจทำให้ดูไม่ปัง

ในทางกลับกัน หากสมัครสายงานที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง แต่เรซูเม่มีลูกเล่นเยอะ หรือเลือกรูปถ่ายที่ใส่ชุดนักศึกษาหรือชุดครุย ก็อาจถูกมองว่าไม่เป็นมืออาชีพได้

รูปแบบเรซูเม่ที่นิยมมี 3 รูปแบบ ได้แก่

1. เรียงประวัติการทำงานตามเวลา (Chronical Resume)
เรียงประวัติการทำงานตามเวลา โดยเริ่มจากงานล่าสุดก่อน และเน้นการใส่ระยะเวลาการทำงานในแต่ละที่ แต่ละตำแหน่ง เพื่อเน้นย้ำให้เห็นพัฒนาการด้านการทำงานของผู้สมัคร

Curriculum Vitae เขียนยังไง
เรซูเม่แบบเรียงประวัติการทำงานตามเวลา (Chronical Resume)

ผู้สมัครที่เหมาะกับเรซูเม่แบบนี้

ผู้สมัครที่ไม่เหมาะกับเรซูเม่แบบนี้

ทำงานไม่ต่อเนื่อง (มีช่วงพัก)

เคล็ดลับ

หากมีการเลื่อนตำแหน่งในที่ทำงานเดิม ควรแยกประสบการณ์ทำงานออกจากกัน เพื่อแสดงให้เห็นทักษะและความรับผิดชอบที่สูงขึ้น

2. เน้นความสามารถในการทำงาน (Functional Resume)
รูปแบบนี้จะลดความสำคัญของอายุงานลง แต่จะไปเน้นแสดงทักษะที่โดดเด่นและหลากหลายของผู้สมัครแทน

อย่างไรก็ตาม ในการสัมภาษณ์งาน ก็อาจมีคำถามเรื่องอายุงาน การเปลี่ยนงานบ่อย หรือการที่เราทำงานไม่ต่อเนื่องอยู่ดี จึงควรเตรียมคำตอบที่สมเหตุสมผลสำหรับคำถามเหล่านี้ไปด้วย

Curriculum Vitae เขียนยังไง
เรซูเม่แบบเน้นความสามารถในการทำงาน (Functional Resume)

ผู้สมัครที่เหมาะกับเรซูเม่แบบนี้

มีทักษะโดดเด่นและหลากหลาย

ผู้สมัครที่ไม่เหมาะกับเรซูเม่แบบนี้

มีประสบการณ์และทักษะไม่มากพอ

3. ผสมกันทั้งสองแบบ (Combination Resume)
รูปแบบนี้จะรวมข้อมูลของทั้งสองแบบด้านบนไว้ทั้งหมด แต่มีข้อควรระวังคือ อาจทำให้เรซูเม่ของคุณยาวเกินไป จนไม่น่าอ่าน หรือมีข้อมูลมากเกินจำเป็น

ผู้สมัครที่เหมาะกับเรซูเม่แบบนี้

ทำงานมีนาน มีประสบการณ์สูง

ผู้สมัครที่ไม่เหมาะกับเรซูเม่แบบนี้

3. ใส่ข้อมูลสำคัญให้ครบถ้วน

ข้อมูลในเรซูเม่สำหรับงานตำแหน่งสูง และงานที่ต้องใช้ภาษาควรใส่ข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาที่ต้องใช้) เพื่อแสดงความเป็นมืออาชีพและความสามารถด้านภาษา

ข้อมูลที่จำเป็นต้องมีในเรซูเม่ ได้แก่

  1. ชื่อ นามสกุล
    • ชื่อ นามสกุล: ควรมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แม้เป็นเรซูเม่ภาษาอังกฤษ ก็ควรมีชื่อไทยกำกับไว้ด้วย
  2. ตำแหน่งงานที่สมัคร
  3. ที่อยู่ อีเมล เบอร์โทรศัพท์
    • อีเมล: ควรใช้ชื่อทางการ โดยทั่วไปมักเป็น ชื่อและอักษรย่อของนามสกุล เช่น
  4. ประวัติการทำงาน / กิจกรรมสมัยเรียนที่เคยทำ
    • ประวัติการทำงาน: ควรเริ่มจากตำแหน่งงานล่าสุดก่อน
    • ช่วงเวลาที่ทำงาน: ไม่จำเป็นต้องละเอียดขนาดใส่วันที่ แค่เดือนและปี ก็พอแล้ว
    • กิจกรรมสมัยเรียน: ควรเลือกใส่เฉพาะกิจกรรมที่ใช้ความสามารถที่เกี่ยวข้องกับงาน เช่น การประสานงาน การออกแบบ การบริหารจัดการ ฯลฯ
  5. ประวัติการศึกษา
    • สำหรับงานแรก ควรใส่สาขาวิชาที่เรียนและเกรดเฉลี่ยระดับมัธยมปลายและอุดมศึกษา
    • แต่สำหรับงานที่ 2 และต่อๆ ไป ใส่แค่ระดับอุดมศึกษาก็พอแล้ว
  6. ทักษะที่เกี่ยวข้องกับงาน
    • โปรแกรมคอมพิวเตอร์: จำเป็นอย่างมากสำหรับงานออฟฟิศ โดยเฉพาะโปรแกรมสำนักงานอย่าง Word Excel PowerPoint ฯลฯ
    • การใช้เครื่องจักร เครื่องมือ การขับขี่รถยนต์ ฯลฯ
  7. ระดับความสามารถทางภาษา
    • โดยปกติจะเป็น 3 ระดับ คือ ดีมาก (Excellent) ดี (Good) พอใช้ (Fair)
    • หากเป็นงานที่ต้องนำเสนอและติดต่อประสานงาน สามารถเน้นบางทักษะเป็นพิเศษได้ เช่น การพูดและการเขียน ฯลฯ
  8. ประวัติการเข้าร่วมอบรม และ Certificate ต่างๆ (ถ้ามี)
    • ควรเลือกใส่เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน หรือเป็นทักษะที่นำมาปรับใช้ได้
  9. ข้อมูลอื่นๆ ที่สามารถใส่เพิ่มได้
    • รูปถ่ายสุภาพ: ควรหลีกเลี่ยงรูปที่ใส่ชุดนักศึกษาหรือชุดครุย เพราะอาจถูกมองว่าไม่เป็นมืออาชีพ
    • น้ำหนักและส่วนสูง (สำหรับบางตำแหน่งงาน)
    • วัน เดือน ปีเกิด
    • เงินเดือนที่ต้องการ

เคล็ดลับ

หากไม่มีข้อกำหนดจากบริษัทที่รับสมัคร ข้อมูลบางอย่างก็ไม่สมควรใส่ในเรซูเม่ เพราะอาจทำให้เกิดอคติในการคัดเลือกผู้สมัครได้ เช่น รูปถ่าย น้ำหนัก ส่วนสูง ฯลฯ

4. เขียนเรซูเม่อย่างมืออาชีพ

  • ความยาว
    • ต้องสั้น กระชับ ไม่ควรเกิน 2 หน้า แต่ถ้าจะให้ดี 1 หน้าก็พอแล้ว
  • ฟอนต์
    • เลือกฟอนต์ที่อ่านง่าย สบายตา มีระดับความเป็นทางการเหมาะสมกับสายงาน
  • ภาษา
    • ใช้ภาษาที่กระชับ ชัดเจน
    • แบ่งเนื้อหาเป็นข้อๆ ไม่ควรเขียนยาวเป็นพรืด
    • ใช้คำศัพท์ทางเทคนิคในสายงานนั้นๆ เพื่อแสดงความเชี่ยวชาญ
    • ใช้คำที่มีความหมายในแง่บวก แสดงภาพการทำงานที่มุ่งมั่น และเป็นผลดีต่อธุรกิจ รวมถึงการใช้ข้อมูลที่วัดผลได้มายืนยันความสำเร็จ เช่น
      • สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่าเป้าหมาย 30%
      • วิจัยและสร้างกลยุทธ์สำหรับการทำการตลาดอย่างครบวงจร
      • เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ถึง 200%

5. โพสต์เรซูเม่ในเว็บสมัครงาน/ส่งเรซูเม่ทางอีเมล

Curriculum Vitae เขียนยังไง

ก่อนการโพสต์หรือส่งเรซูเม่ทุกครั้ง ควรตรวจทานความถูกต้องก่อนเสมอ เพราะหากมีคำผิดก็อาจทำให้ดูไม่เป็นมืออาชีพ ส่วนชื่อตำแหน่งงาน ก็ควรเขียนให้เหมือนกับที่บริษัทรับสมัครด้วย

ข้อมูลต่างๆ ก็ควรปรับให้เข้ากับตำแหน่งงานและความต้องการของแต่ละบริษัท ไม่ควรทำเรซูเม่เวอร์ชั่นเดียว แล้วส่งหว่านไปทุกบริษัท

การโพสต์เรซูเม่ในเว็บสมัครงาน

เรซูเม่ พอร์ตโฟลิโอ และไฟล์ใดๆ ก็ตาม ควรเซฟไฟล์เป็น .pdf เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นแก้ไขได้ง่ายๆ และป้องกันปัญหาฟอนต์เด้งด้วย

การส่งเรซูเม่ทางอีเมล

ควรมี Cover Letter (จดหมายนำ) แนบไปด้วยเพื่อแสดงความตั้งใจ และแนะนำตัวเบื้องต้น หรืออย่างน้อยก็ควรเขียนแนะนำตัวในอีเมลอย่างเป็นทางการ 1-2 ย่อหน้า ไม่ควรเขียนห้วนๆ หรือใช้ภาษาไม่ทางการ

สรุป

เรซูเม่ไม่ใช่แค่ประวัติส่วนตัว แต่เปรียบเสมือนโบรชัวร์โฆษณา เราจึงต้องทำกระดาษแผ่นนี้ให้ดูน่าสนใจที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ ดีไซน์ การใช้ภาษา ฯลฯ เพื่อ “ขาย” ตัวเราให้ฝ่าย HR “ซื้อ” ให้ได้

อ้างอิงข้อมูลจาก
resumegenius.com
myfuture.com
tds.tu.ac.th