โดยปกติ สินค้าบางตัวมันสามารถที่จะขายได้โดยตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่สินค้าบางชนิดอาจสร้างมูลค่าให้คุณได้มากกว่าที่เป็นอยู่ก็เป็นได้ ขอเพียงคุณรู้จักค้นคว้าหาช่องทางการเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้มากขึ้น แต่จะเพิ่มแบบไหนทางไหนบ้างนั้น ก็ต้องดูด้วยว่าสินค้าหรือบริการที่ขายอยู่นั้นเป็นอะไร หากเพิ่มแล้วจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นหรือไม่ หรือหากได้กลุ่มเป้าหมายเพิ่มเข้ามา เรามาดูกันหน่อยว่าการเพิ่มมูลค่าสินค้านั้นจะมีไอเดียด้านใดบ้าง Show
ไอเดียการเพิ่มมูลค่าสินค้าให้มากขึ้นเมื่อตั้งใจจะขายสินค้าทั้งที คุณควรตระหนักไว้เสมอว่าสินค้าทุกตัวสามารถเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้นได้ แต่เราก็รู้จักตักตวงไอเดียสร้างสรรค์เข้ามาใช้ร่วมด้วย เพื่อที่จะให้สินค้านั้นขายได้อย่างราบรื่น ซึ่งไอเดียที่เราหยิบมาแนะนำก็มีด้วยกันดังนี้ 1.บรรจุภัณฑ์แพ็คเก็ตจิ้งหรือบรรจุภัณฑ์ที่เราใช้ใส่สินค้าโดยเฉพาะที่เป็นของฝาก ของที่ระลึก จำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีบรรจุภัณฑ์รูปแบบสวยงามและเหมาะสม ยิ่งการออกแบบสวยอย่างมีระดับ ราคาของสินค้าก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเดิม โดยการออกแบบนั้น แล้วแต่เลยค่ะว่าสินค้านั้น ๆ เหมาะที่จะใช้ในรูปแบบไหน บางครั้งก็เพียงแต่เพิ่มให้มีความสวยงามมากขึ้น น่าใช้มากขึ้น สะดวกต่อการพกพา สิ่งเหล่านี้…หากทำออกมาแล้วย่อมสามารถเพิ่มมูลค่าให้สินค้าได้อย่างแน่นอน 2.คุณภาพสินค้าทุกชิ้นจะต้องมีคุณภาพเพียงพอที่เราจะสามารถนำมาขายได้ ยิ่งหากคุณภาพเหมาะสมแก่ราคา ต่อให้ราคาสูงก็ตาม แต่รับรองได้เลยค่ะว่าหากสินค้าของคุณนั้นมีประโยชน์กับผู้ที่ซื้อไปใช้งานจริง สินค้านั้นๆ ก็ย่อมสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ซื้อและทำให้เกิดการยอมรับ บอกต่อปากต่อปากจนสร้างรายได้ที่งดงามตามมาแน่นอน 3.ความหลากหลายสินค้าทุกอย่างที่มีรูปแบบหรือแนวเดิมๆ มักสร้างความน่าเบื่อจำเจให้ลูกค้าได้เสมอเมื่อใช้งานไปเป็นระยะเวลายาวนาน ดังนั้น คุณจึงควรสร้างความหลากหลายให้แก่ตัวสินค้าบ้าง เช่น หากขายเสื้อผ้าก็ควรนำเสื้อผ้าหลากหลายแบบ หลายแนวมาขาย หากเป็นขนมก็ควรมีขนมที่มีรสชาติหลากหลายให้ได้เลือกชิม เลือกซื้อ เป็นต้น โดยเฉพาะความแปลกใหม่ในสินค้าแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ปัจจุบันตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งนัก 4.ปริมาณ/คุณภาพดีใครก็ต่างชอบของดีราคาถูก และแถมได้ แต่ในส่วนของปริมาณบางอย่างอาจจะเพิ่มขึ้นยาก เพราะต้นทุนสูง แต่ถ้าเพิ่มปริมาณได้ก็นับว่าดีเลยทีเดียว เพราะลูกค้าจะรู้สึกชื่นชอบ ประทับใจและนับว่าคุ้มค่าอย่างมากเวลาที่เห็นว่าตัวเองได้สินค้ามาเยอะในราคานั้น ๆ บวกเข้าไปกับคุณภาพของสินค้าด้วยแล้ว ยิ่งคุณภาพดีก็จะยิ่งขายง่าย เพราะลูกค้าบอกกันปากต่อปากนั้นยังมีอยู่ต่อเนื่องเรื่อยๆ นั่นเอง 5.สีในส่วนนี้อาจจะรวมอยู่ในหัวข้อของความหลากหลายของสินค้า แต่แยกออกมาอย่างชัดเจนโดยตรงจะดีกว่าเช่นกัน การใช้สีสันในตัวสินค้านั้น ให้พยายามใช้สีที่ดึงดูดสายตามาก ๆ เป็นสีที่ลูกค้าเห็นแล้วจะต้องสะกิดตาต้องใจ และอยากจะซื้อมากที่สุด ที่สำคัญควรเลือกใช้สีที่บอกถึงสัญลักษณ์ของแบรนด์สินค้าตัวเองด้วย เพื่อให้ลูกค้าเกิดการจดจำในยามที่เห็นสีนี้อยู่ในสินค้าตัวไหน พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นการการสร้างแบรนด์ ให้เป็นที่รู้จักนั่นเอง แต่ในกรณีที่เราไม่ได้เป็นคนสร้างแบรนด์สินค้านั้น ๆ แต่เป็นคนที่นำเข้ามาขายในรูปแบบตัวแทนจำหน่าย ก็สามารถสร้างร้านค้าของเราให้เป็นที่รู้จักซึ่งมันถือเป็นการสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ร้านค้าเป็นตัวคุณเองแบบแตกต่างก็ได้เช่นกัน ทำไมต้องเพิ่มมูลค่าสินค้า การเพิ่มมูลค่าสินค้ามีความจำเป็นอย่างไรการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าก็เพื่อให้สินค้านั้นสามารถขายได้ในราคาที่แพงขึ้น โดยต้องเป็นสินค้าที่มีความน่าสนใจน่าซื้อและมีคุณภาพอย่างแท้จริง หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ หากเรามีต้นมะม่วงหิมพานต์ เมื่อผลิดอกออกผล เราเก็บเม็ดมะม่วงมาชั่งกิโลขายก็อาจจะขายได้กิโลกรัมละ 20 บาท แต่ถ้าหากเรานำเอาเม็ดมะม่วงนั้นไปแปรรูปเป็นของขบเคี้ยวทานเล่นหรือทานเป็นกับแกล้มอื่นๆ พร้อมใส่ลงบรรจุภัณฑ์สวยๆ ที่มีแบรนด์ของคุณติดเข้าไปก็จะขายได้ถุงละ 20-30 บาท เลยทีเดียว ทั้งที่ไม่ต้องชั่งให้ถึง 1 กิโลกรัมขายในราคา 20 บาทแบบเดิมด้วยซ้ำไป หากเรารู้หลักในการแปรรูปและเพิ่มมูลค่าสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้นกว่าเดิมได้ สินค้าตัวนั้นย่อมสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าได้เยอะมากขึ้น และความน่าสนใจของสินค้าก็เพิ่มขึ้น โอกาสที่จะทำให้เราขายสินค้าได้มากขึ้นก็มีสูงนั่นเอง เพราะฉะนั้นแล้ว การหาไอเดียมาเพิ่มมูลค่าสินค้าจึงเป็นสิ่งที่พ่อค้าแม่ขายทุกคนจะต้องคิดและนำมาปรับใช้กับสินค้าของตัวคุณเองให้เป็น รู้แบบนี้แล้ว เรารีบหาวิธีทำให้สินค้าของตัวเองมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นกันเถอะนะคะ เพื่อผลักดันให้ธุจกิจของคุณพัฒนาเติบโตก้าวไกลไปมากขึ้นกว่าเดิม อย่าลืมนะคะว่าลูกค้าเองก็ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ แต่ในทางเดียวกันก็อยากจะได้ของที่ดูสวยงาม เหมาะสมกับราคาของเราด้วยเช่นเดียวกัน คำค้นหา : ไอเดียเพิ่มมูลค่าสินค้า 7 พ.ค. 2022 เคยสงสัยไหมว่า แบรนด์ดัง ๆ เขาทำอย่างไร ให้เรารู้สึกอยากซื้อสินค้า คำตอบของหลายคนก็น่าจะเป็น เพราะดีไซน์สวย, ฟีเชอร์โดนใจ, ใส่สบาย หรือเหตุผลอื่น ๆ เช่น เครื่องนุ่งห่มที่เป็นหนึ่งในปัจจัย 4 มีจุดประสงค์เพื่อนุ่งห่มร่างกายให้อบอุ่น และปกปิดร่างกาย อาหารที่มีหน้าที่เติมเต็มสารอาหาร และดับความหิวกระหาย Core Product ที่ว่ามานี้ จะเห็นได้ว่าคุณสมบัติพื้นฐานของมัน ก็คือสิ่งจำเป็นในชีวิตอย่างปัจจัย 4 โดยเฉพาะเมื่อคนอื่นมีเหมือน ๆ กันกับเรา มันทำให้มนุษย์ยิ่งรู้สึกอยากมีอะไรที่พิเศษกว่าเดิมเสมอ ตาม ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow's hierarchy of needs) ที่เมื่อเราสามารถเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพได้แล้ว เราก็จะอยากได้อะไรที่มากไปกว่านั้นอีก ไล่ไปตั้งแต่การได้รับการยอมรับจากสังคม ไปจนถึงความภาคภูมิใจสูงสุดของชีวิต ซึ่งความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์นี้เอง ที่ทำให้หลาย ๆ แบรนด์พยายามทำให้ผู้บริโภครู้สึกดี และภูมิใจเวลาได้ใช้ หรือครอบครองสินค้าของแบรนด์ แล้วคำถามคือ ความรู้สึกพิเศษนี้ มันสะท้อนออกมาได้จากอะไรบ้าง ? - อย่างแรก นำเสนอ “ความพรีเมียม” เราคงรู้กันดีแล้วว่า
ความพรีเมียม ในวงการแฟชั่น หรือวงการรถยนต์นั้นคืออะไร อย่างน้ำตาลแบรนด์ Proud ที่เป็นน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษสัญชาติไทย อีกทั้งทางแบรนด์ ยังมีเกล็ดน้ำตาลที่ละเอียดดุจคริสตัล ละลายน้ำง่ายกว่า ประกอบกับการออกแบบแพ็กเกจจิง
ที่เลียนแบบความใสบริสุทธิ์ของคริสตัลมา ส่วนหัวเท ก็มีทั้งแบบเทต่อเนื่อง กับหัวเทแบบจำกัดปริมาณ 1 ช้อนชา เพื่อให้เราไม่บริโภคน้ำตาลในปริมาณมากจนเกินไป ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าองค์ประกอบโดยรวมของแบรนด์ Proud ส่งผลให้สินค้าที่แทบไม่มีความต่าง อย่างน้ำตาล “ดูพรีเมียม” และ “โดดเด่น” ขึ้นมาทันที ในราคาที่เข้าถึงได้ นอกจากนี้ ความพรีเมียม อาจสะท้อนออกมาในรูปแบบความหายากก็ได้ หรือถ้าเป็นอย่างธุรกิจบริการ ก็ต้องมีสถานที่ และวัตถุดิบในการให้บริการ ที่ทำให้ลูกค้าประทับใจให้ได้ ประกอบกับฝีมือของเชฟที่หาตัวจับได้ยาก เช่น ร้านอาหารที่มีเชฟรางวัลมิชลิน หรือเป็นเชฟชื่อดังจากฝรั่งเศส - การพัฒนาดีไซน์ ให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถ้าเพื่อน ๆ นึกถึงแบรนด์เสื้อผ้า และกระเป๋าที่เป็น “ลายดอกไม้” จะนึกถึงแบรนด์อะไร แน่นอนว่าหนึ่งในคำตอบของหลายคน คงเป็นแบรนด์ Marimekko หรือไม่ก็แบรนด์ Cath Kidston ถึงแม้ว่าทั้งสองแบรนด์ จะมีลายเส้นเป็นดอกไม้เหมือนกัน หรือแม้แต่แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่โดดเด่นด้วยดีไซน์อย่างแบรนด์ SMEG และแบรนด์ Dyson ที่เป็นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับท็อปเหมือนกัน ดังนั้น ดีไซน์ที่โดดเด่น และเป็นที่จดจำ ก็สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ได้มากเลยทีเดียว - บริการที่ยอดเยี่ยม จนเกินความคาดหวัง ตัวอย่างเช่น
บริการส่งเร็ว แต่เรื่องนี้ยืนยันได้จากการรีวิวบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ Lazada ที่ถ้าร้านไหนส่งเร็ว ทันใจ ลูกค้าก็มักจะเขียนชมไว้เลย เช่น “สั่งเมื่อวาน ได้วันนี้ ไวมากค่ะ ไว้จะมาอุดหนุนอีก” นี่แสดงถึง Insight ที่บอกว่า นอกจากเรื่องคุณภาพ และราคาของสินค้า และยังมีโอกาสที่จะเพิ่มยอดขายได้ จากลูกค้าที่เขียนรีวิวไว้ให้ทางร้านแบบจริงใจผ่านช่องทางต่าง ๆ อีกด้วย - เพิ่มคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ หรือของแบรนด์ลงไป คำแนะนำ ถือเป็นสิ่งที่แสดงถึงความใส่ใจของแบรนด์เลยก็ว่าได้ ลูกค้าส่วนมากถ้าหากว่าได้รับสินค้า พร้อมกับคำแนะนำอย่างดี ก็จะรู้สึกว่าเงินที่ใช้จ่ายไปนั้นคุ้มค่า เพราะมนุษย์ทุกคน ย่อมปลื้มปีติ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองนั้นถูกใส่ใจมากขนาดไหน เช่น ร้านขายเทียนหอม ที่จะส่งไปแต่เทียนหอมทื่อ ๆ เลยก็ได้ แต่ทางร้านกลับแนบการ์ดอธิบาย ว่าควรจุดเทียนที่ตำแหน่งไหนของห้อง พร้อมเหตุผล ควรดับเทียนอย่างไร เพื่อไม่ให้มีเขม่าควัน รวมถึงวิธีการเก็บรักษาที่ถูกต้อง อีกทั้งยังมีการ์ดขอบคุณ และโปสต์การ์ดที่ดูผ่อนคลาย เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเทียนหอมเป็นทุนเดิมแถมมาด้วย - การพัฒนาแพ็กเกจจิงหรือดีไซน์ ให้ผู้บริโภคใช้งานสะดวกที่สุด ในแทบจะทุกสินค้า มักจะมี Pain Point เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เช่น ปัญหาโยเกิร์ตติดฝาถ้วย ที่หลายคนจะต้องเอาช้อนขูดโยเกิร์ตที่ติดฝา ก่อนนำไปทิ้ง หรือเด็ก ๆ จะชอบเอาฝาโยเกิร์ตมาเลียให้สะอาด จนบางคนมองเป็นปัญหาติดตลกเวลากินโยเกิร์ตไปแล้ว แต่ในประเทศญี่ปุ่น กลับคิดค้นนวัตกรรมที่ทำให้โยเกิร์ตไม่ติดฝาถ้วยได้ ซึ่งในปัจจุบันหลาย ๆ แบรนด์ก็หันมาใช้นวัตกรรมนี้ หรืออีกอย่างคือ ปัญหาจากขวดซอสมะเขือเทศ ที่เมื่อก่อนซอสไฮนซ์ เป็นผู้บุกเบิกแพ็กเกจจิงขวดพลาสติกหัวคว่ำ เพื่อแก้ปัญหาที่ต้องมานั่งตบตูดขวดแก้วแบบเก่า แต่ปัญหาใหม่คือ ซอสชอบไปเลอะเทอะที่ปากขวด ทำให้ทางบริษัทต้องพัฒนาปากขวดแบบที่สามารถบีบออกมาเป็นเส้นเล็ก ๆ แล้วเมื่อหยุดบีบ ก็จะไม่มีซอสหกเปรอะเปื้อนเหมือนเก่า นี่คือนวัตกรรมที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นว่า ไม่ได้เกิดจากการพัฒนาสูตรโยเกิร์ต หรือสูตรซอสเลย ที่กล่าวมาทั้งหมด
ก็เป็นตัวอย่างของการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้าและบริการ จนแบรนด์สามารถปรับเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการได้ตามมูลค่าที่เพิ่มขึ้น และลูกค้ายอมจ่ายเงินซื้อมันด้วยความเต็มใจ ซึ่งจริง ๆ แล้ว แบรนด์ก็ควรจะเลือกพัฒนาในหลาย ๆ ด้านไปพร้อมกัน เพราะจริง ๆ แล้ว ก็มีเรื่องราวของแบรนด์อีกมากมาย ที่มุ่งเน้นฟังก์ชันการใช้งานเพียงอย่างเดียว แต่ไม่สนใจดีไซน์ หรือการสร้างอรรถรสส่วนเพิ่มให้กับลูกค้า จนบางครั้ง ก็ไปไม่รอดในโลกแห่งการแข่งขัน วิธีในการเพิ่มมูลค่าของสินค้ามีอะไรบ้าง4 วิธีเพิ่มมูลค่าสินค้า ให้ขายดีไม่กำไรแบบสุดปัง. 1. ค้นหา Position. ... . 2. ทำวิจัยค้นคว้ากับลูกค้า ... . 3. สร้างสีสันให้กับสินค้าของเรา ... . 4. นำมาวิเคราะห์และวางแผนต่อไป. การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการคืออะไรการเพิ่มมูลค่า (Value-Added) คือ การทำให้ลูกค้าหรือผู้รับประโยชน์ ได้รับในสิ่งที่ต้องการเพิ่มขึ้นจาก เดิมหรือเป็นการทำให้ค่าอัตราส่วนระหว่างผลประโยชน์ที่ได้รับ เปรียบเทียบกับต้นทุนที่ต้องเสียไปเพิ่มขึ้น
วิธีการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์มีกี่วิธีการสร้างมูลค่า (value creation) การสร้างมูลค่า การสร้างมูลค่าในที่นี้จะเน้นไปที่แนวทางในการพัฒนา 2 แนวทางคือ 1) การพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิมหรือการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ 2) การขยายตลาดหรือการหากลุ่มเป้าหมายใหม่
ทำไมต้องมีการเพิ่มมูลค่าสินค้าการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าก็เพื่อให้สินค้านั้นสามารถขายได้ในราคาที่แพงขึ้น โดยต้องเป็นสินค้าที่มีความน่าสนใจน่าซื้อและมีคุณภาพอย่างแท้จริง หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ หากเรามีต้นมะม่วงหิมพานต์ เมื่อผลิดอกออกผล เราเก็บเม็ดมะม่วงมาชั่งกิโลขายก็อาจจะขายได้กิโลกรัมละ 20 บาท แต่ถ้าหากเรานำเอาเม็ดมะม่วงนั้นไปแปรรูปเป็น ...
|