ถ่านชาร์จครั้งแรกกี่ชั่วโมง

Uncategorizedการชาร์จถ่านครั้งแรกนั้นสำคัญต่อถ่าน

Posted on November 8, 2021August 1, 2022 by admin

ถ่านชาร์จครั้งแรกกี่ชั่วโมง

08
Nov

รู้หรือไม่ ? ว่าการชาร์จถ่านครั้งแรกนั้นสำคัญต่อถ่าน เมื่อซื้อถ่านชาร์จ มาใหม่ๆบางครั้งกว่าจะถึงมือเราก็มีการเก็บไว้นานพอสมควร บางครั้งเอามาใช้ทันที หรือ ชาร์จครั้งแรก ทำไมรู้สึกเก็บไฟไว้ได้ไม่นาน มาลองดูวิธีการที่จะมาปรับสภาพถ่านชาร์จกัน และทำให้ถ่านชาร์จได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วย ถ่านชาร์จที่ซื้อมาใหม่ ในช่วงแรกนั้น ให้ทำการชาร์จเป็นเวลา 8-12 ชั่วโมง จนเต็ม จากนั้นให้นำมาปล่อยทิ้งไว้ซักชั่วโมงเพื่อให้ถ่านเย็นตัวลง แล้วชาร์จซ้ำอีกครั้งจนเต็ม การทำเช่นนี้เพื่อให้ประจุในตัวถ่านมีประสิทธิภาพสบูรณ์ และ พร้อมใช้งานที่สุด หมายเหตุ การชาร์จ 8-12 ชม. นั้นทำเพียงครั้งแรกก็พอครับ ครั้งต่อไปเพียงแค่เต็มก็นำมาใช้ได้เลย แต่ถ้าถ่านร้อนควรรอให้เย็นตัวก่อนนำมาใช้ทุกครั้งนะครับ

Post Views: 1,073

This entry was posted in Uncategorized. Bookmark the permalink.

ถ่านชาร์จครั้งแรกกี่ชั่วโมง

admin

ถ่านชาร์จมีวงจรป้องกันไฟช็อตรู้หรือไม่?

UPDATE: CEO องค์กรชั้นนำทั่วโลก ตบเท้าเตือนภาวะเงินเฟ้อพุ่ง แนะเตรียมตัวรับมือเศรษฐกิจถดถอยปี 2023
.
สถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานรวบรวมความเห็นของบรรดาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ขององค์กรชั้นนำระดับโลกอย่าง JPMorgan, General Motors, Walmart, United Airlines และ Union Pacific ที่พร้อมใจออกโรงเตือนบริษัทและนักลงทุนทั้งหลายให้เตรียมพร้อมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2023 ที่บรรดาผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะชะลอการใช้จ่าย
.
ทั้งนี้ บรรดา CEO ของบริษัทชั้นนำได้แสดงความเห็นในรายการ Squawk Box ของ CNBC โดยทั้งหมดต่างเห็นตรงกันว่า ปัจจัยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อสูง และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้แนวโน้มการขยายตัวเติบโตทางเศรษฐกิจของปี 2023 ลดลง
.
โดย Jamie Dimon ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ JPMorgan Chase & Co. ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ กล่าวเตือนว่าเงินเฟ้ออาจฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า และเงินเฟ้อกำลังกัดกร่อนทุกสิ่ง คิดเป็นมูลค่าราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในกลางปีหน้า ซึ่งอาจฉุดเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
.
ขณะเดียวกัน แม้ว่าผู้บริโภคจะมีเงินออมส่วนเกินอยู่ราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์จากมาตรการเยียวยาช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโควิด และมีการใช้จ่ายมากกว่าปีที่แล้ว 10% ซึ่งอยู่ในสภาวะที่ดี แต่สิ่งเหล่านี้อาจดำเนินต่อไปได้ไม่นาน
.
นอกจากนี้ Dimon กล่าวว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed มีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุดที่ 5% ก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะสกัดเงินเฟ้อ
.
Mary Barra CEO ของ General Motors คาดว่าเศรษฐกิจจะเผชิญกับอุปสรรคใหญ่ในปีหน้า แต่อาจจะยังไม่รุนแรงเข้าขั้นเศรษฐกิจถดถอย กระนั้นก็ยังไม่อาจวางใจได้
.
Doug McMillon CEO ของ Walmart มองว่าต่อให้ไม่อยากเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากแค่ไหน แต่บริษัทก็จำเป็นต้องเตรียมมาตรการผ่อนคลายเงินเฟ้อเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคที่น่าจะลดการใช้จ่ายลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและของเล่น
.
ด้าน Scott Kirby CEO ของสายการบิน United Airlines มองว่า แม้อุตสาหกรรมการบินจะมีความหวังกว่าปี 2022 แต่ปี 2023 ก็ยังเป็นปีที่บริษัทต้องเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบเบาะๆ โดยเป็นผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed เพื่อจัดการกับเงินเฟ้อ
.
ขณะที่ Lance Fritz CEO ของ Union Pacific บริษัทขนส่งทางเรือ มองเห็นสัญญาณกำลังการบริโภคที่อ่อนตัวลง และเศรษฐกิจที่จะรัดเข็มขัดมากขึ้น ดังนั้นการขนส่งทางเรือย่อมชะลอตัวลงในเรื่องของรายได้เช่นกัน
.
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า ทาง Morgan Stanley มีแผนที่จะตัดลดพนักงานทั่วโลกของบริษัทอีก 2% โดยจะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานราว 1,600 ตำแหน่ง จากจำนวนพนักงานทั้งหมดของบริษัทที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ 81,567 ตำแหน่ง และการปลดพนักงานออกจะกระจายอยู่ทุกแผนกของธนาคาร และทุกสาขาทั่วโลก
.
รายงานระบุว่าความเคลื่อนไหวของ Morgan Stanley ครั้งนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับคู่แข่งอย่าง Goldman Sachs, Citigroup และ Barclays ที่ประกาศปรับโครงสร้างลดจำนวนพนักงานในองค์กรของตนเองเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย โดยถือเป็นธรรมเนียมประจำของบริษัทการเงินในตลาดหุ้น Wall Street ซึ่งตามปกติแล้ว บรรดาธนาคารและสถาบันการเงินจะตัดลดจำนวนพนักงาน 1-5% ที่มีผลงานย่ำแย่ที่สุดก่อนที่จะมีการจ่ายโบนัสสำหรับพนักงานที่เหลืออยู่ ทั้งนี้ การปรับลดจำนวนพนักงานของ Morgan Stanley ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2019
.
ขณะเดียวกัน บริษัทสื่อดิจิทัล BuzzFeed กำลังลดพนักงานลง 12% โดยอ้างถึงภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายลง แต่ไม่ได้มีการเปิดเผยว่าทางบริษัทจะปลดพนักงานเป็นจำนวนเท่าไร แต่ตามข้อมูลของ FactSet ระบุว่า BuzzFeed ในปัจจุบันมีพนักงานอยู่ที่ 1,522 คน ดังนั้นสัดส่วนดังกล่าวจะหมายความว่ามีพนักงานที่จะถูกเลิกจ้างประมาณ 180 คน
.
ในส่วนของผู้ลงโฆษณา ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของ BuzzFeed ยังได้ดึงเงินกลับ ทำให้สภาพการเงินของบริษัทตึงตัว โดย Jonah Peretti ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO กล่าวว่า “เพื่อให้ BuzzFeed สามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำซึ่งเชื่อว่าจะลากยาวไปสู่ปี 2023 บริษัทต้องปรับตัว ซึ่งรวมถึงการลงทุนในกลยุทธ์เพื่อให้บริการผู้ชมอย่างดีที่สุด รวมถึงมีการปรับโครงสร้างต้นทุนของบริษัทใหม่
.
ความเคลื่อนไหวของ BuzzFeed สอดคล้องกับสื่อสังคมออนไลน์และบริษัทอื่นๆ ที่มีรายได้หลักจากการโฆษณาดิจิทัล โดยเมื่อไม่นานมานี้ หลายบริษัทต่างออกมาประกาศปลดพนักงาน ซึ่งรวมถึงบริษัทรายใหญ่อย่าง Meta บริษัทแม่ของ Facebook, Twitter, Snap และ Gannett
.
ทั้งนี้ รายงานระบุว่านอกเหนือจากภาวะเศรษฐกิจแล้ว ทาง BuzzFeed ยังอ้างถึงความซ้ำซ้อนของพนักงาน หลังจากที่บริษัทมีการควบรวมกับ Complex Networks บริษัทด้านความบันเทิงน้องใหม่ที่ทาง BuzzFeed เข้าซื้อกิจการไว้เมื่อปีที่แล้ว จาก Verizon และ Hearst ด้วยมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์
.
อ้างอิง:
https://www.cnbc.com/.../recession-walmart-jpmorgan-gm...
https://www.cnbc.com/.../morgan-stanley-cut-about...
https://apnews.com/.../technology-business-layoffs...
.
#TheStandardWealth
______________________________________

 

UPDATE: พิษเงินเฟ้อยังกดดันการค้าโลก สหรัฐฯ สั่งสินค้าจีนลดลง 40% หันหัวเรือพึ่งยุโรป
.
แนวโน้มการค้าโลกดูเหมือนจะยังไม่สดใสนักเมื่อมองข้ามไปยังปี 2023 ปัจจัยกดดันสำคัญยังคงมาจากเรื่องของเงินเฟ้อที่พุ่งสูงทั่วโลก และตามมาด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในหลายประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่
.
ตัวเลขการส่งออกและนำเข้าสินค้าของจีนในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะประกาศออกมาในวันนี้ (7 ธันวาคม) คาดว่าจะหดตัวมากขึ้นจากเดือนก่อนหน้านี้ โดยตัวเลขส่งออกมีแนวโน้มจะหดตัว 3.5% เทียบกับเดือนตุลาคมที่หดตัว 0.3% อิงจากความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ 28 ราย
.
ด้านตัวเลขการนำเข้าสินค้าของจีนคาดว่าจะหดตัว 6% ในเดือนพฤศจิกายน เทียบกับการหดตัว 0.7% ในเดือนตุลาคม ถือเป็นการหดตัวมากที่สุดนับแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2020
.
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก CNBC Supply Chain Heat Map สะท้อนให้เห็นว่าคำสั่งผลิตสินค้าจากทางฝั่งสหรัฐอเมริกามายังโรงงานในจีนลดลงไป 40% ส่งผลให้โรงงานต่างๆ ในจีนอาจจะหยุดงานในช่วงก่อนวันปีใหม่จีนถึงประมาณ 2 สัปดาห์ จากปกติที่โรงงานแต่ละแห่งมักจะหยุดล่วงหน้าเพียงแค่ประมาณ 7 วัน ทั้งนี้ วันปีใหม่จีนตรงกับวันที่ 21 มกราคม 2023
.
“การลดลงอย่างต่อเนื่องของอัตราการขนส่งสินค้าจากเอเชีย ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ที่หดหายไป ทำให้อัตราการใช้ประโยชน์ของเรือ (Vessel Utilization) ลดลงทำระดับต่ำสุดใหม่” Joe Monaghan ซีอีโอของ Worldwide Logistics Group กล่าว
.
ขณะที่บริษัทวิจัยด้านห่วงโซ่อุปทานอย่าง project44 เปิดเผยว่า หลังจากที่การขนส่งสินค้าคึกคักอย่างมากในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิดระยะแรก หลังจากนั้นตัวเลขการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะจากจีนไปยังสหรัฐฯ ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว อย่างปริมาณการขนส่งผ่านตู้คอนเทนเนอร์ที่ลดลง 21% ระหว่างเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายนที่ผ่านมา
.
ด้าน HLS บริษัทขนส่งสินค้ารายใหญ่ออกมาส่งสัญญาณเตือนไปยังลูกค้าของบริษัทว่า “เวลานี้ดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายสำหรับอุตสาหกรรมขนส่งสินค้า เราต้องเผชิญกับทั้งอุปสงค์ที่ลดลง และจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก”
.
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของ HLS คาดการณ์ว่าปริมาณการขนส่งสินค้าผ่านตู้คอนเทนเนอร์จะลดลงอีกราว 2.5% สวนทางกับพื้นที่ตู้ใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มอีกราว 5-6% ในปี 2023
.
“ตลาดของการส่งสินค้าผ่านตู้คอนเทนเนอร์จะซับซ้อนมากขึ้น เป็นผลจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้งการแข่งขันที่รุนแรง”
.
ไม่เพียงแค่ปัจจัยภายนอก การค้าจีนยังถูกกดดันจากนโยบาย Zero-COVID ทำให้กระบวนการผลิตและการขนส่งระหว่างเมืองล่าช้า
.
การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป ยังได้ส่งผลกระทบต่อเวียดนาม ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้อานิสงส์จากการที่ธุรกิจจีนย้ายฐานการผลิตออกมา
.
จากรายงานด้านสถิติของ General Statistics Office of Vietnam ระบุว่า นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีบริษัทในเวียดนามปิดตัวไป 12,500 บริษัทต่อเดือน เพิ่มขึ้น 24.8% จากปีก่อน โดย HLS ระบุว่า ปริมาณคำสั่งซื้อที่ลดลงและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในเวียดนามที่เพิ่มขึ้นจาก 6.5% เป็น 13.2% ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ในเวียดนามเลือกที่จะปิดโรงงานแทนที่จะวิ่งหาลูกค้าใหม่
.
แม้ว่าการค้าระหว่างจีนไปยังสหรัฐฯ จะชะลอตัวลง แต่แผนที่การค้าโลกอันใหม่กำลังถูกวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างการค้าระหว่างยุโรปกับสหรัฐฯ โดยปีนี้สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากยุโรปมากกว่าจากจีน ซึ่งเป็นภาพที่เปลี่ยนไปอย่างมากจากช่วงปี 2011-2020 จากการวิเคราะห์ของ project44
.
ประเทศอย่างเยอรมนีส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 50% จากปีก่อนหน้า สำหรับตัวเลขเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
.
Josh Brazil รองประธานฝ่ายข้อมูลห่วงโซ่อุปทานของ project44 กล่าวว่า “การเพิ่มขึ้นของตัวเลขการค้าระหว่างยุโรปกับสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเพราะโควิดอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของสงครามการค้ากับจีน รวมทั้งความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์จากกรณีสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การค้าระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ บูมขึ้นมา”
.
อ้างอิง:
https://www.reuters.com/.../chinas-trade-likely-shrank.../
https://www.cnbc.com/.../manufacturing-orders-from-china...
.
#TheStandardWealth

 

Indonesia: อินโดนีเซียประกาศเขตห้ามเข้าเพิ่มเติม หลังภูเขาไฟ “เซเมรู” ปะทุ ด้านสิงคโปร์เตือนพลเมือง เลี่ยงเดินทางมายังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเซเมรู

สถานการณ์หลังภูเขาไฟ “เซมารู” ปะทุ ทางเขตลูมาจัง ที่ตั้งของภูเขาไฟเซเมรู ในจังหวัดชวาตะวันออก ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินนาน 14 วันตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา (5 ธันวาคม)

ทางการอินโดนีเซียแจ้งเตือนเขตห้ามเข้าใกล้ภูเขาไฟเพิ่มเติม โดยแจ้งประชาชนให้งดเว้นกิจกรรมใด ๆ ในพื้นที่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของเซเมรู ตลอดแนวแม่น้ำ เบซุค โคโบกัน (Besuk Kobokun) โดยให้หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้แม่น้ำดังกล่าวในระยะ 500 เมตร จากริมฝั่งทุกแห่งของแม่น้ำสายนี้ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเซเมรูเพียง 17 กิโลเมตร เนื่องจากอาจเป็นเส้นทางไหลของลาวา

ก่อนหน้านี้ ทางสำนักบรรเทาภัยพิบัติภูเขาไฟและธรณีวิทยาของอินโดนีเซีย หรือ PVMBG ได้ประกาศเขตห้ามเข้า 8 กิโลเมตรรอบภูเขาไฟตั้งแต่วันแรกที่ภูเขาไฟปะทุเมื่อวันอาทิตย์ (4 ธันวาคม)

ขณะที่ กระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ประกาศเตือนชาวสิงคโปร์ เลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็นไป ในพื้นที่ในอินโดนีเซียที่ได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟ “เซเมรู” ปะทุ

พร้อมกันนั้น ยังแจ้งเตือนชาวสิงคโปร์ที่อาศัยอยู่ในเขตลูมาจัง และมาลัง ในจังหวัดชวาตะวันออก ซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟเซเมรู ให้ติดตามสถานการณ์ภูเขาไฟอย่างใกล้ชิด และหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้เซเมรู

เจ้าหน้าที่กู้ภัยอินโดนีเซีย ยังคงเข้าช่วยอพยพชาวบ้านออกจากหลายหมู่บ้านใกล้ภูเขาไฟ ในวานนี้ (6 ธันวาคม) ทางสำนักบรรเทาภัยพิบัติฯ อินโดนีเซีย ระบุว่า มีชาวบ้านอพยพหนีภูเขาไฟแล้วราว 2,500 คน เข้าไปอยู่ในศูนย์พักพิง 11 แห่ง

ทั้งนี้ ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต หลังภูเขาไฟปะทุเข้าสู่วันที่ 3 วัน

“เซเมรู” ภูเขาไฟใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในเขตลูมาจัง จังหวัดชวาตะวันออก ปะทุวันแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา พ่นเถ้าถ่านสูงกว่า 15 กิโลเมตรบนท้องฟ้า เถ้าถ่านตกใส่หมู่บ้านหลายแห่งจนบดบังแสงอาทิตย์

ทางการอินโดนีเซียยกระดับเตือนภัยภูเขาไฟเป็นสีแดงระดับ 4 สูงสุดทันที จากเดิมที่อยู่ในระดับ 3 สีส้มมานาน 1 ปี ตั้งแต่ภูเขาไฟเซเมรูปะทุครั้งก่อนเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ในครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิต 51 คน ประชาชนอพยพเกือบ 10,000 คน และบ้านเรือนเสียหายกว่า 5,000 หลัง

อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียมีภูเขาไฟที่ยังมีพลังเหมือนกับเซเมรูกว่า 140 ลูก
————
ภาพ:Getty Images

#TNNWorldNews #อินโดนีเซีย #ภูเขาไฟ #เซเมรู
#เจาะลึกรอบโลก #TNNOnline
————
ถ่านชาร์จครั้งแรกกี่ชั่วโมง
อัพเดทข่าวไฮไลต์และบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจ มาเป็นเพื่อนใน Line กับ TNN World คลิก https://lin.ee/LdHJXZt

ติดตาม TNN World ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
Website : https://bit.ly/TNNWorldWebsite
Youtube : https://bit.ly/TNNWorldTodayYouTube
TikTok : https://bit.ly/TNNWorldTikTok