ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่

ประกาศรับสมัครงานบริษัทวันนี้ โดยบริษัท เพรสซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ กำลังเปิดรับสมัครบุคคลทั่วไป ไม่จำกัดวุฒิ เพื่อคัดเลือกเข้าทำงานในบริษัทฯ ทั้งในกรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาค โดยเปิดรับสมัครงานจำนวน 40 ตำแหน่ง หลายร้อยอัตรา สำหรับผู้ที่สนใจ สมัครงานบริษัทฟาร์มเฮ้าส์ ให้คลิกลิงก์แนบท้ายประกาศเพื่อตรวจสอบตำแหน่งว่างที่สนใจและคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง พร้อมสมัครงานออนไลน์ได้ทันที

ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
���˹觧ҹ : ��ѡ�ҹ���¼�Ե (��Ш��.���ͧ �.��§����) ����ѷ : ����ѷ ����� ������ �ӡѴ ��������´�ҹ : ����к� �ѵ�� : 2 ���˹� �Թ��͹ : ����к� �ҷ ʶҹ��軯Ժѵԧҹ : ��§���� �ѧ��Ѵ : ��§���� �س���ѵԼ����Ѥçҹ : 1. �Ȫ��/˭ԧ ���� 18 ����
2. �ز� �.3 ����
3. ����ö�ӧҹ�繡���
4. ��������������ѧ��Ѵ��§����
5. ʹ㨵Դ�����Ѥçҹ���µ��ͧ �����觨����¾������ѡ�ҹ�����Ѥçҹ���� ��ҹ����� ������ �Ң� �.��෾ ������. 053-808990 ��������´����ѷ : �����˹��㹼��ӷҧ��ҹ�������������ͧ��������ժ������§�ҹҹ �դ������ʧ����Ѻ��Ѥúؤ�ҡ÷���ջ���Է���Ҿ ��е������� ���������㹡�÷ӧҹ �����ͧ�Ѻ��â��§ҹ�ͧ����ѷ㹵��˹觵�ҧ�ѧ��� ���ʴԡ�� : 1. ���¢�ѹ
2. �����Һ�ҹ
3. ��Ҥ���Ԫ���
4. ��������
5. �ͧ�ع���ͧ����§�վ
6. ⺹�ʻ�Шӻ� �Ըա����Ѥçҹ : ��Ѥü�ҹ�ҧ E-mail : [email protected] �Դ��� : ���ºؤ�� ����ѷ ����� ������ �ӡѴ
�Ţ��� 414/14-15 ����ѧ�մٹѧ�� �����ѹ �������  10330
ทำไมคนไทยถึงเรียกชื่อชาติอื่น จีน ญี่ปุ่น พม่า กัมพูชา ฝรั่งเศส แตกต่างจากภาษาอังกฤษ

ทําไมคนไทยถึงเรียกประเทศไชน่า ว่า จีน เรียกเจแปน ว่า ญี่ปุ่น เรียก เมียนม่าร์ ว่า พม่า เรียก แกมโบเดียน ว่า กัมพูชา เรียกฟรานซ์ว่าฝรั่งเศส

ตอบ เริ่มจากชาติแรก การเรียก ไชน่า-China ว่า จีน มีคำอธิบายจากนักเขียน-นักแปล โชติช่วง นาดอน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน ว่า ชาวไทยในแหลมทองรู้จักคำว่าจีนมานานแล้ว ในโคลงเรื่อง ท้าวฮุ่งหรือเจือง ตอนที่กล่าวถึงดินแดนต่างๆ ก็แยกชัดเจนระหว่างจีนกับฮ่อ และสำหรับชาวไทย ใช้คำ จีน-Cina-Chine-China แพร่หลายมากที่สุด

ตำราเรียนและหนังสือประวัติศาสตร์ทั่วไป เขียนตามสมมติฐานที่ว่า ชื่อประเทศจีน มาจากชื่อรัฐ ฉิน ของจิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินสื่อหวง) สำหรับชื่อที่ต่างชาติเรียกจีน ว่า จีน มาจากคำ จีนะ ซึ่งพบในอักษรสันสกฤตโบราณด้วย

อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ เรียกจีนว่า จีนะ แล้วแพร่หลายถึงยุโรป กระทั่งเรียกประเทศจีนว่า China สืบเนื่องมาถึงทุกวันนี้ ขณะที่เอกสารของกรีกและโรมัน มีคำเรียกประเทศจีนอีกคำหนึ่งว่า Serice อธิบายกันว่าหมายถึงประเทศแห่งผ้าไหม และเรียกชาวจีนว่า Seree

ส่วนกลุ่มประเทศมุสลิมยุคนั้นเรียกจีนว่า Temghaj, Tomghaj, Tohgaj ซึ่งเชื่อว่ามาจาก สกุลของฮ่องเต้ราชวงศ์เป่ยเว่ย (ค.ศ.386-534) ที่ภาษาจีนเรียกว่าถาป๋า

2.เรียก เจแปน-Japan ว่า ญี่ปุ่น เว็บไซต์อุทยานการเรียนรู้ต้นแบบ (TK Park) มีข้อมูลว่า คำว่า ญี่ปุ่น ไทยรับจากคนจีน

เช่น ภาษาแต้จิ๋ว เรียกว่า หยิบปึ้ง ภาษากวางตุ้งเรียก ยาตปุน ภาษาฮกเกี้ยนเรียก ยิต-ปุน ยังมีเรียก ยื่อเปิ่น ด้วย คนไทยฟังไม่ชัดเลยมาเป็นญี่ปุ่น ส่วนคำว่า เจแปน พวกโปรตุเกสที่เข้ามาค้าขายทางเอเชียตอนแรกๆ เรียกตามภาษาจีนท้องถิ่นโดยเพี้ยนเป็น จาปอง

3.เรียก เมียนมาร์-Myanmar ว่า พม่า ราชบัณฑิตยสถานอรรถาธิบายว่า พม่าเปลี่ยนชื่อประเทศอย่างเป็นทางการมาแล้วหลายครั้งหลังจากได้รับเอกราช พ.ศ.2491 ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า The Union of Burma คือ สหภาพพม่า

จนถึง พ.ศ.2503 ได้เปลี่ยนใช้ว่า The Socialist Republic of the Union of Burma ราชบัณฑิตยสถานและกระทรวงการต่างประเทศจึงกำหนดชื่อเรียกเป็นภาษาไทยว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า โดยที่พม่าใช้ชื่อนี้จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ.2531 ก่อนเปลี่ยนกลับไปใช้ The Union of Burma

กระทั่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็น The Union of Myanmar คำว่า Myanmar เมื่อถอดอักษรโรมันเป็นอักษรไทย ออกเสียงตามตัวเขียนว่า มยันมาร์ หรือ มยันม่าร์ แต่พม่าไม่มีเสียงพยัญชนะ ร และ ง ถ้าคำใดมี ร และ ง จะออกเสียงเป็น ย และ น แทน เช่น ร่างกุ้ง เป็น ยานกูน หรือ อิระวดี เป็น อิยาวดี เป็นต้น

คำ Myanmar ถอดตามตัวเป็นอักษรไทยเป็น มรันมา ขณะที่เจ้าของภาษาออกเสียงฟังได้ทั้ง เหมี่ยนหม่า และเมียนม่า กรณีนี้กระทรวงการต่างประเทศหารือกับราชบัณฑิตยสถานว่าสมควรจะกำหนดการเรียกชื่อประเทศพม่าที่ได้เปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษอย่างเป็นทางการนี้อย่างไร ราชบัณฑิตยสถานโดยคณะกรรมการบัญญัติศัพท์ภาษาไทยเห็นว่า คนไทยรู้จักและมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์กับประเทศนี้ในชื่อว่า พม่า มาแต่โบราณกาล จึงเห็นควรให้เรียกชื่อนี้อย่างเป็นทางการว่า สหภาพพม่า ตามที่เคยใช้มาแต่เดิม

4.เรียก แกมโบเดีย-Cambodia ว่า กัมพูชา อาจารย์ศานติ ภักดีคำ ภาคภาษาไทยและภาษาตะวันออก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อธิบายว่า เราเรียกชื่อประเทศเพื่อนบ้านเราตามเอกสารโบราณสมัยอยุธยา ซึ่งก็มีการบันทึกว่ากรุงกัมพูชาแล้ว เพราะฉะนั้นถึงแม้ปัจจุบันชื่อจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรในภาษาอังกฤษ แต่ประเทศกัมพูชาที่ไทยเรียกก็จะคงอ่านตามรูปคำเขียนโบราณที่มีบันทึกอยู่ในอดีตที่เราคุ้นเคย

5.เรียก ฟรานซ์-France ว่า ฝรั่งเศส โดยที่ ฝรั่งเศส เรียกประเทศตัวเองว่า ฟร้องซ์ คนฝรั่งเศสผู้ชายหรือภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า ฟรองเซส์ (เพศหญิง เรียก ฟรองแซส Francaise) คำเรียก ฝรั่งเศส ของเราออกตามเสียงอ่านแบบฝรั่งงเศส

http://www.pattanakit.net/index.php?lay=show∾=article&Id=534548625&Ntype=120

 

ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
หุ้น MORE ร่วงกราวรูดหลังเปิดตลาดซื้อขายวันแรกในรอบ 1 สัปดาห์ ราคาดิ่ง 29.93% ต่ำติดฟลอร์ 0.96 บาท ขณะ ปปง.สั่งอายัดทรัพย์สินวันนี้ 34 รายการ
.
วันนี้ (21 พ.ย. 2565) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้แจ้งเรื่องการปลดเครื่องหมาย SP บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE แล้ว เนื่องจากบริษัทครบกำหนดขึ้นเครื่องหมาย SP เมื่อวันศุกร์ที่ 18 พ.ย.65 ทำให้บริษัทสามารถกลับมาซื้อขายได้ตามปกติ และตลท.ยืนยันว่าไม่กระทบระบบการซื้อขายวันนี้
.
อย่างไรก็ตาม จากกระแสข่าวลบที่ออกมาตลอดทั้งสัปดาห์ ส่งผลให้ราคาหุ้น MORE เปิดตลาดลดลงทันที 0.41 บาท หรือ 29.93% อยู่ที่ 0.96 บาท
.
หากนับจากที่ราคาหุ้น MORE เคยปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 1 เดือน อยู่ที่ 2.98 บาท โดยมีมาร์เก็ตแคปถึง 14,857 ล้านบาท แต่วันนี้ มาร์เก็ตแคปได้ลดลงมากกว่าหมื่นล้านบาทไปแล้ว จนเหลือเพียง 4,786 ล้านบาท เท่านั้น!
.
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ในวันนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ปลดเครื่องหมาย SP เพื่อเปิดให้มีการซื้อขายหุุ้น MORE ตามปกติ หลังจากพิจารณาแล้วว่าการดำเนินการตลอด 5 วันที่ผ่านมาในสัปดาห์ก่อน ได้ทำอย่างครบถ้วนแล้ว
.
“ผลกระทบจากการที่จะปลด SP เราได้คำนวณและดูผลกระทบต่าง ๆ แล้ว โดยมองว่าจะไม่มีผลกระทบต่อระบบ จึงค่อนข้างมั่นใจในการที่จะเปิดให้ซื้อขายได้ ทั้งนี้ เราค่อนข้างพอใจกับความสำเร็จในช่วง 5 วันที่ผ่านมา ว่าได้ส่งข้อมูลให้กับทางตำรวจยอ่างครบถ้วน รวมถึงการส่งข้อมูลให้กับผู้กำกับดูแลที่เกี่ยวข้องแล้ว” นายภากร กล่าว
.
ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
อย่างไรก็ดี ล่าสุดในวันนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่งได้รับข้อมูลจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่แจ้งด่วนเข้ามาเช้านี้ว่า ทาง ปปง. ได้มีคำสั่งให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเสียหายจากกรณีหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ดำเนินการอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่เกิดขึ้นรวม 34 รายการ พร้อมดอกผล มีระยะเวลาไม่กำหนดภายในไม่เกิน 90 วัน นับจากวันที่มีคำสั่งออกไปในวันนี้
.

ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
พบซื้อขายผิดปกติทั้ง "ผู้ซื้อ-ผู้ขาย"
.
ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แถลงร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) กรณีความคืบหน้ากรณีหุ้น บมจ. มอร์ รีเทิร์น (MORE) ว่า จากความผิดปกติของการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ที่พบในวันที่ 10 พ.ย. 2565 นั้น พบสภาพการซื้อขายผิดปกติ โดยมีราคาปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่เปิดตลาด +4.3% จากราคาปิดในวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งวันที่สูงมากถึง 7,143 ล้านบาท (เฉลี่ย 30 วันก่อนหน้าอยู่ที่เพียง 360 ล้านบาท) ทั้งนี้ ในช่วงที่เปิดตลาด มีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 1,500 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ เกือบ 4,300 ล้านบาท
.
สำหรับลักษณะของการส่งคำสั่งซื้อขายที่ผิดปกติ คือ
.
ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
"ฝั่งซื้อ" พบว่า เป็นการส่งคำสั่งซื้อจาก "ผู้ซื้อเพียง 1 ราย" ผ่านบริษัทสมาชิกหลายแห่งที่ราคา 2.90 บาท
ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
"ฝั่งขาย" พบว่า มีการส่งคำสั่งขายเป็นจำนวนมากจากผู้ขายหลายราย ที่ระดับราคาใกล้เคียงกับราคาเสนอซื้อ โดยมีจำนวนที่สั่งขายตั้งแต่ประมาณ 70 ล้านหุ้น/ราย ไปจนถึงประมาณ 600 ล้านหุ้น/ราย
.
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการประสานกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้เข้ามาทำการสอบสวน ขณะที่สมาชิกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย 11 แห่ง ก็ได้ไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) แล้ว
.
ด้านสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า มูลค่าความเสียหายครั้งนี้อาจจะสูงถึง 7,500 ล้านบาท หากจะนับรวมกับนักลงทุนรายอื่นๆที่เข้ามาร่วมในการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ นอกเหนือจากรายการพบความผิดปกติเกือบ 4,500 ล้านบาทจากราคาเปิดเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ที่สูงถึง 2.9 บาท ในจำนวน 1,500 ล้านหุ้น
.

#SPOTLIGHT #ตลท #ปปง #หุ้นMORE #MORE #มอร์รีเทิร์น #ปั่นหุ้น #ตลาดหลักทรัพย์
-------------------------------------------------
ติดตามข้อมูล ด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจการเงิน ของ #Spotlight เพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ https://www.amarintv.com/spotlight
ยูทูป : https://bit.ly/31rtDUM
อินสตาแกรม : https://www.instagram.com/spotlight_biz
TikTok : https://www.tiktok.com/@spotlightbiz
Blockdit : https://www.blockdit.com/spotlightbiz

 

วันนี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2565 คาดว่าจะขยายตัว 3.2% และ และปี 2566 3.0 – 4.0% ซึ่งถือว่า สอดคล้องกับ ตัวเลขของ IMF ที่ออกคาดการณ์เมื่อ2 วันก่อน ว่า เศรษฐกิจไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ปีหน้า GDP เป็นบวกได้ คาด 3.%และอัตราการว่างงานของไทยต่ำที่สุดในโลก
.
สภาพัฒน์ฯ ออกรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2565 เร่งขึ้นจาก 1.5% ในปี 2564 คาดขยายตัว 3.2% ก่อนจะขยายตัวในช่วง 3.0 – 4.0% ในปี 2566 โดยมีแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวต่อเนื่องของอุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุน และการขยายตัวของการผลิตภาคเกษตร ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2565 คาดว่าจะอยู่ที่ 6.3% ก่อนจะขยับมาอยู่ที่ 2.5 – 3.5% ในปี 2566 ซึ่งถือว่าแนวโน้มเงินเฟ้อปีหน้าปรับลดลง
.
รายงาน IMF ระบุ GDP ไทยเป็นบวกได้ดี อัตราการว่างงานต่ำสุดในโลก
ตัวเลขเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2565 และ 2566 ของสภาพัฒน์สอดคล้องกับ รายงาน ก่อนหน้านี้ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ที่ในรายงานระบุว่า ไทยและจีนเป็นเพียงสองประเทศในเอเชียนที่เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี 2566 เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ปีก่อนหน้า ไม่นับรวมฮ่องกงและมาเก๊า โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยนั้นมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 2.8% ในปีนี้ เป็น 3.7% ในปี 2566
.
นอกจากนี้ คาดการณ์อัตราว่างงานของไทยยังต่ำที่สุดในโลกที่ 1.0% ทั้งในปีนี้และปีหน้า ขณะที่ในปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงโควิด-19 ระบาดอย่างหนัก อัตราว่างงานของไทยอยู่ที่ 1.5% เป็นรองแค่คูเวตที่ 1.3% เท่านั้น
.
ผู้อำนวยการ IMF นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ซึ่งได้เดินทางมาร่วมประชุมเอเปค 2022 ในประเทศไทยพอดี ได้เปิดเผยรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจโลกว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวลงแบบเป็นวงกว้างและมากกว่าที่คาด ส่วนอัตราเงินเฟ้อแตะระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ
.
อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์
https://www.amarintv.com/spotlight/economy/detail/36670
.
#เศรษฐกิจไทย #GDPไทย #สศช #IMF

-------------------------------------------------
ติดตามข้อมูล ด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจการเงิน ของ #Spotlight เพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ https://www.amarintv.com/spotlight
ยูทูป : https://bit.ly/31rtDUM
อินสตาแกรม : https://www.instagram.com/spotlight_biz
TikTok : https://www.tiktok.com/@spotlightbiz
Blockdit : https://www.blockdit.com/spotlightbiz

 

ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
ปิดท้ายภารกิจเอเปค 2022 นายกฯ ญี่ปุ่นชวนคนไทยเที่ยวญี่ปุ่นเหนือจรดใต้ กับ "เทศกาลหิมะซัปโปโร" ที่กลับมาจัดใหญ่ในรอบ 3 ปี พร้อมเปิดพื้นที่ส่วนพิเศษให้ชมในปราสาทฮิเมจิ
.
นายกรัฐมนตรีคิชิดะ ฟูมิโอะ กล่าวในงานส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ว่า รู้สึกยินดีที่มีโอกาสได้พบทุกคนหลังจากผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากที่ไม่สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ ในที่สุดขณะนี้โลกก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับโควิด-19 ประเทศญี่ปุ่นจึงได้ริเริ่มโครงการฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่เรียกว่า “Open The Treasure of Japan!” ขึ้นมา
.
โครงการนี้จะเปิดประสบการณ์พิเศษต่างๆ ให้กับนักท่องเที่ยว อาทิ

ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
การเปิดพื้นที่ส่วนพิเศษภายในปราสาท "ฮิเมจิ" แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมใน จ.เฮียวโงะ (ติดกับ จ.โอซาก้า) ที่ตามปกติไม่ได้เปิดให้เข้าเยี่ยมชม

ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
เปิดเทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival 2023) ที่จะกลับมาจัดอย่างยิ่งใหญ่ในรอบ 3 ปี ระหว่างวันที่ 4-11 กุมภาพันธ์ 2566 ณ เมืองซัปโปโร จ.ฮอกไกโด ทางตอนเหนือ

ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
เปิดประสบการณ์ "กำแพงหิมะ ทาเตยามะ" ที่สูงถึง 15 เมตร หรือที่เรียกว่า เส้นทางแอลป์ ทาเตยามะ–คุโรเบะ ซึ่งเชื่อมระหว่าง จ.โทยามะ และ จ.นางาโนะ ทางตอนกลางของญี่ปุ่น
.
“พบกันที่ญี่ปุ่นนะครับ” นายกฯ คิชิดะ กล่าวทิ้งท้ายเป็นภาษาไทย ในงาน “Japan-Thailand Tourism Seminar: Embark upon a new adventure, Discover new treasures” ที่โรงแรมโอคุระ เพรสทีจ
.

ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
ผลักดันการท่องเที่ยว 2 ทาง ไทย-ญี่ปุ่น
.
นายซาโตชิ ประธานองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) กล่าวว่า หลังจากที่ญี่ปุ่นและไทยได้ก้าวข้ามผ่านสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ได้แล้ว ทาง JNTO อยากให้คนญี่ปุ่นที่มาเที่ยวประเทศไทย รวมทั้งคนไทยที่ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ต่างได้ออกไปผจญภัยใหม่ๆ และค้นหา “ประสบการณ์อันล้ำค่า” ที่ไม่อาจหาอะไรมาทดแทนได้จากการเดินทางท่องเที่ยว และยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
.
ทั้งนี้ ในปี 2562 หรือช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 JNTO ได้ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ส่งเสริมการท่องเที่ยว 2 ทาง (Two-way Tourism) ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยและญี่ปุ่นเดินทางไปมาระหว่างกันถึง 3.12 ล้านคน แบ่งเป็นคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่น 1.3 ล้านคน และคนญี่ปุ่นมาเที่ยวไทย 1.8 ล้านคน
.
ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในญี่ปุ่น ณ สิ้นปี 2562 มีจำนวนทั้งหมด 31,880,000 คน ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 1,319,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 4.1%
.
สำหรับในปี 2565 ซึ่งญี่ปุ่นเริ่มกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง พบว่า ตัวเลขในเดือน ก.ย. 2565 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทย 7,600 คน ก่อนจะเพิ่มขึ้น 4 เท่า เป็น 34,100 คน ในเดือน ต.ค. เนื่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นผ่อนคลายกฎเกณฑ์การเดินทางให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเข้ามาเที่ยวได้เองโดยไม่ต้องมีไกด์ทัวร์ และกลับมาใช้มาตรการยกเว้นวีซ่าโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค. ที่ผ่านมา
.
ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
ฟื้นยอดนักเที่ยวภายในปี 2025
.
ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไปเที่ยวญี่ปุ่นสูงสุดทุบสถิติเป็นประวัติการณ์ในปี 2019 อยู่ที่ 31.8 ล้านคน และรัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าจะทุบสถิติใหม่ไปถึง 40 ล้านคนในปี 2020 เพราะเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกส์ฤดูร้อน ทว่าก็ต้องเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 เสียก่อน
.
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า สำนักงานการท่องที่ยวญี่ปุ่น (JTA) ตั้งเป้าหมายจะฟื้นฟูยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับมาเที่ยวญี่ปุ่นเหมือนในระดับปกติก่อนชาวงโควิด ภายในปี 2025 ซึ่งจะเป็นปีที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2025 ที่โอซากา และงาน World Athletics Championship ในกรุงโตเกียว ขณะที่รัฐบาลยังคงเป้าหายนักท่องเที่ยวต่างชาติไว้ที่ 60 ล้านคนต่อปี ในปี 2030
.

อ่านและดูรูปเพิ่มเติม ที่นี่
https://www.amarintv.com/spotlight/economy/detail/36636
.


#SPOTLIGHT #ญี่ปุ่น #ท่องเที่ยว #เที่ยวญี่ปุ่น
---------------------------------
ติดตามข้อมูล ด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจการเงิน ของ #Spotlight เพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ https://www.amarintv.com/spotlight
ยูทูป : https://bit.ly/31rtDUM
อินสตาแกรม : https://www.instagram.com/spotlight_biz
TikTok : https://www.tiktok.com/@spotlightbiz
Blockdit : https://www.blockdit.com/spotlightbiz

 

การสังหารหมู่ชาวโปแลนด์ในโวลฮีเนียและแคว้นกาลิเซียตะวันออก
ส่วนหนึ่งของแนวรบด้านตะวันออกของสงครามโลกครั้งที่สอง
ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่

ที่ตั้ง Volhynia
แคว้นกาลิเซียตะวันออก แคว้น โปเลซี ลูบลิน วันที่ 2486-2488
ประเภทการโจมตี การสังหารหมู่ , การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ผู้เสียชีวิต 50,000 [1] –100,000 [2] [ ต้องการแหล่งที่ดีกว่า ]
ผู้กระทำความผิด องค์กรของยูเครน , กองทัพกบฎยูเครน , Mykola Lebed
แรงจูงใจ ต่อต้าน Polonism , [3] [ แหล่งที่ดีจำเป็น ] ต่อต้านศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก , มหานครยูเครนอุดมการณ์Ukrainisation [ ต้องการอ้างอิง ]

ทุพโภชนาการของโปแลนด์ใน Volhynia และภาคตะวันออกของกาลิเซีย ( โปแลนด์ : rzeźwołyńskaอักษร: ฆ่า Volhynian ; ยูเครน : Волинськатрагедія , Volyn โศกนาฏกรรม ) ได้ดำเนินการในเยอรมันยึดครองโปแลนด์โดยกองทัพกบฎยูเครนหรือ UPA กับการสนับสนุน บางส่วนของประชากรยูเครนในท้องถิ่นกับชนกลุ่มน้อยโปแลนด์ในVolhynia , กาลิเซียตะวันออก , บางส่วนของภูมิภาคโปเลเซียและภูมิภาค Lublinจากปี 1943 ถึง 1945 [4]จุดสูงสุดของการสังหารหมู่เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2486 เหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก[5]เหยื่อชาวโปแลนด์หลายคนโดยไม่คำนึงถึงอายุหรือเพศถูกทรมานก่อนถูกสังหาร บางส่วนของวิธีรวมถึงการข่มขืน , สูญเสียอวัยวะหรือเผาตัวอื่น ๆ ในกลุ่ม[6]การกระทำของ UPA ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตระหว่าง 50,000 [1]ถึง 100,000 คน[7] [8]

ตามที่ทิโมธีไนเดอร์ , เผ่าพันธุ์เป็นความพยายามของยูเครนเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐหลังสงครามจากโปแลนด์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของตนเหนือพื้นที่ยูเครนส่วนใหญ่ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐโปแลนด์สงคราม[9] Henryk Komanski และ Szczepan Siekierka เขียนว่าการสังหารนั้นเชื่อมโยงโดยตรงกับนโยบายของกลุ่ม Stepan Bandera ขององค์การชาตินิยมยูเครน (OUN-B) และแขนของกองทัพ กองทัพผู้ก่อความไม่สงบยูเครนซึ่งมีเป้าหมายตามที่ระบุไว้ใน การประชุมครั้งที่สองของOUN-Bเมื่อวันที่ 17–23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 (มีนาคม 2486 ในบางแหล่ง) คือการกำจัดผู้ที่ไม่ใช่ชาวยูเครนทั้งหมดออกจากรัฐยูเครนในอนาคต[10] [แหล่งที่ดีกว่าต้องการ ]การสังหารหมู่นำไปสู่ความขัดแย้งที่กว้างขึ้นระหว่างกองกำลังโปแลนด์และยูเครนในดินแดนที่เยอรมันยึดครอง โดยกองทัพโปแลนด์บ้านเกิดในโวลฮีเนีย[11]ตอบสนองต่อการโจมตีของยูเครนในรูปแบบที่เล็กกว่ามาก[12][13]

ในปี 2008 การสังหารหมู่ที่มีความมุ่งมั่นโดยโดนัยูเครนกับโปแลนด์ใน Volhynia และกาลิเซียถูกอธิบายโดยโปแลนด์สถาบันชาติจำเป็นแบกลักษณะที่แตกต่างของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ , [14] [15]และ 22 กรกฎาคม 2016 ที่รัฐสภา ของโปแลนด์มีมติรับรองการสังหารหมู่เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ [16] [17] การจำแนกประเภทนี้เป็นข้อโต้แย้งโดยนักประวัติศาสตร์ชาวยูเครนและไม่ใช่ชาวโปแลนด์ ตามบทความปี 2016 ในการทบทวนสลาฟมี "ฉันทามติทางวิชาการว่านี่เป็นกรณีของการล้างเผ่าพันธุ์เมื่อเทียบกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" [18]

พื้นหลัง
ดูบทความ: Cherven Grods , สงครามแคว้นกาลิเซีย–โวลฮีเนียและสงครามโปแลนด์–ยูเครน
ช่วงเวลาระหว่างสงครามในสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สอง
ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่


แผนที่ของWołyń (Volhynia)และแคว้นกาลิเซียตะวันออกในปี ค.ศ. 1939

สำมะโนโปแลนด์ 2474
แผนที่เดิมแสดงการกระจายของภาษาพื้นเมืองที่พูดในโปแลนด์ระหว่างการสำรวจสำมะโนประชากร พ.ศ. 2474
สื่อที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจสำมะโนประชากรของโปแลนด์ปี 1931 – Statistics of Poland at Wikimedia Commons
ก่อนบุก 1939 โซเวียต , Volhynia เคยเป็นส่วนหนึ่งของสองสาธารณรัฐโปแลนด์ตามคำบอกเล่าของนักประวัติศาสตร์ทิโมธี สไนเดอร์ระหว่างปี ค.ศ. 1928 ถึง ค.ศ. 1938 โวลฮีเนียเป็น "หนึ่งในนโยบายที่ทะเยอทะยานที่สุดในยุโรปตะวันออกเรื่องความอดทน" [19]ผ่านการสนับสนุนวัฒนธรรมยูเครน เอกราชทางศาสนา และยูเครนของคริสตจักรออร์โธดอกซ์Józef Piłsudski และพันธมิตรของเขาต้องการบรรลุความจงรักภักดีของยูเครนต่อรัฐโปแลนด์และเพื่อลดอิทธิพลของสหภาพโซเวียตในภูมิภาคแนวเขต แนวทางดังกล่าวค่อยๆ ถูกละทิ้งหลังจากการเสียชีวิตของ Piłsudski ในปี 1935 อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของลัทธิชาตินิยมในยูเครนที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง[19] [20]

ในปี 1929 ที่องค์กรของยูเครน (อ้วน) ก่อตั้งขึ้นในกรุงเวียนนา , ออสเตรียและเป็นผลมาจากสหภาพระหว่างชาตินิยมรุนแรงและองค์กรปีกขวามากรวมทั้งสหภาพฟาสซิสต์ยูเครนที่[21] องค์กรริเริ่มแคมเปญการก่อการร้ายในประเทศโปแลนด์ ซึ่งรวมถึงการลอบสังหารนักการเมืองโปแลนด์ที่โดดเด่น เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยบรอนิสลาฟเพีรแั คกี้ และโปแลนด์และยูเครนกลางเช่นเทดัซโฮโลว์โก้ [ ต้องการการอ้างอิง ]

การรณรงค์การก่อการร้ายและความไม่สงบในชนบทของแคว้นกาลิเซียส่งผลให้ตำรวจโปแลนด์บังคับใช้นโยบายความรับผิดชอบร่วมกันต่อชาวยูเครนในพื้นที่ เพื่อพยายาม "สงบ" ภูมิภาค รื้อถอนศูนย์ชุมชนและห้องสมุดของชุมชนยูเครน ยึดทรัพย์สินและผลิตผล และทุบตีผู้ประท้วง[22] สมาชิกรัฐสภายูเครนถูกกักบริเวณในบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขามีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง กับองค์ประกอบที่ข่มขู่ในการลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งชาวโปแลนด์[22]ชะตากรรมของยูเครน การประท้วง และการสงบสุขได้รับความสนใจจากสันนิบาตแห่งชาติว่าเป็น ' สาเหตุระหว่างประเทศcélèbre' โดยโปแลนด์ได้รับการประณามจากนักการเมืองยุโรป นโยบายต่อเนื่องของโปแลนด์ทำให้เกิดความแตกแยกทางชาติพันธุ์ในพื้นที่ [22]

โวลฮีเนียเป็นสถานที่แห่งความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีตำรวจโปแลนด์อยู่ฝ่ายหนึ่งและคอมมิวนิสต์ยูเครนตะวันตกได้รับการสนับสนุนจากชาวนายูเครนที่ไม่พอใจอีกหลายคนในอีกด้านหนึ่ง คอมมิวนิสต์จัดการโจมตี สังหารผู้แจ้งข่าวต้องสงสัยอย่างน้อย 31 คนในปี 2478-2479 และเริ่มลอบสังหารเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของยูเครนเพื่อ "ร่วมมือกับรัฐโปแลนด์" ตำรวจทำการจับกุมจำนวนมาก รายงานการสังหารคอมมิวนิสต์ 18 คนในปี 2478 และสังหารอย่างน้อย 31 คนในการดวลปืนและระหว่างการจับกุมตลอดช่วงปี 2479 [23]

เริ่มต้นในปี 2480 รัฐบาลโปแลนด์ในโวลฮีเนียได้ริเริ่มการรณรงค์อย่างแข็งขันเพื่อใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสำหรับการสร้างโปโลไนเซชันและเปลี่ยนประชากรออร์โธดอกซ์ให้เป็นนิกายโรมันคาธอลิก[24]กว่า 190 โบสถ์ออร์โธดอกซ์ถูกทำลาย และ 150 แปลงเป็นนิกายโรมันคาธอลิก[25]คริสตจักรออร์โธดอกซ์ที่เหลือถูกบังคับให้ใช้ภาษาโปแลนด์ในการเทศนา ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1939 โบสถ์ออร์โธดอกซ์หลังสุดท้ายที่เหลืออยู่ในเมืองหลวงของลุตสก์ Volhynian ได้รับการดัดแปลงเป็นโบสถ์นิกายโรมันคาธอลิกโดยพระราชกฤษฎีกาของรัฐบาลโปแลนด์[24]

ระหว่างปี ค.ศ. 1921 และ 1938 ชาวอาณานิคมโปแลนด์และทหารผ่านศึกหลายพันคนได้รับการสนับสนุนให้ตั้งถิ่นฐานในเขตชนบทของโวลฮีเนียและกาลิเซีย ส่งผลให้ประชากรในเมืองโปแลนด์ ยิว เยอรมัน และอาร์เมเนียมีความสำคัญอยู่แล้วในทั้งสองภูมิภาคซึ่งปรากฏอยู่ในดินแดนดังกล่าว ศตวรรษที่ 14 การตั้งถิ่นฐานใหม่ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อาคาร ถนน และทางเชื่อมทางรถไฟ แม้จะมีความยากลำบากมากมาย แต่จำนวนของพวกเขาถึง 17,700 ใน Volhynia ในการตั้งถิ่นฐานใหม่ 3,500 ภายในปี 1939 [26]ตามสำมะโนของโปแลนด์ในปี 1931 ในแคว้นกาลิเซียตะวันออก ชาวยูเครน 52% พูดภาษาโปแลนด์ 40% และยิดดิช 7% ในโวลิน (โวลฮีเนีย) พูดภาษายูเครน 68% ผู้อยู่อาศัย, โปแลนด์ 17%, ยิดดิช 10%, เยอรมัน 2%, เช็ก 2% และรัสเซีย 1% การปรากฏตัวเพิ่มเติมของผู้ตั้งถิ่นฐานที่เพิ่งมาถึงได้จุดประกายความรู้สึกต่อต้านโปแลนด์เพิ่มเติมในหมู่ชาวยูเครนในท้องถิ่น[27] [28]

นโยบายที่รุนแรงซึ่งดำเนินการโดยสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สองมักถูกกระตุ้นโดยความรุนแรงของ OUN-B [29] [30]แต่มีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองกลุ่มชาติพันธุ์แย่ลงไปอีก ระหว่างปี ค.ศ. 1934 และ ค.ศ. 1938 มีการโจมตีแบบรุนแรงและบางครั้งอาจถึงตายได้[31]ต่อ Ukrainians ในส่วนอื่น ๆ ของโปแลนด์(32)

นอกจากนี้ ในวอยวอยวอดชิปนโยบายใหม่บางส่วนถูกนำมาใช้ ส่งผลให้มีการปราบปรามภาษายูเครนวัฒนธรรม และศาสนา[33]และการเป็นปรปักษ์กันรุนแรงขึ้น [34]แม้ว่าประมาณ 68% ของประชากรในจังหวัดที่พูดภาษายูเครนเป็นภาษาแรกของพวกเขา (ดูตาราง) แทบทุกตำแหน่งของรัฐบาลและการบริหาร รวมทั้งตำรวจ ได้รับมอบหมายให้ทำงานที่โปแลนด์ [35]

Jeffrey Burds แห่งมหาวิทยาลัย Northeasternเชื่อว่าการก่อตัวขึ้นต่อการกวาดล้างชาติพันธุ์ของชาวโปแลนด์ ซึ่งปะทุขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในแคว้นกาลิเซียและโวลฮีเนียนั้นมีรากฐานมาจากช่วงเวลานั้น (32)

ประชากรยูเครนไม่พอใจนโยบายรัฐบาลโปแลนด์ รายงานของโปแลนด์เกี่ยวกับอารมณ์ที่เป็นที่นิยมในโวลฮีเนียได้บันทึกความคิดเห็นของเด็กสาวชาวยูเครนเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2481: "เราจะตกแต่งเสาหลักของเรากับคุณและต้นไม้ของเรากับภรรยาของคุณ" [24]

ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง สมาชิกของ OUN ได้เพิ่มขึ้นเป็น 20,000 สมาชิกที่แข็งขัน และจำนวนผู้สนับสนุนมีมากขึ้นหลายเท่า (36)

สงครามโลกครั้งที่สอง
ในเดือนกันยายนปี 1939 ที่เกิดการระบาดของสงครามโลกครั้งที่สองและสอดคล้องกับโปรโตคอลความลับของโมโลตอ-ริบเบนต , โปแลนด์กำลังบุกเข้ามาจากทางตะวันตกโดยนาซีเยอรมนีและจากทางทิศตะวันออกโดยสหภาพโซเวียต Volhynia ถูกแยกออกจากโซเวียตเป็นสองoblasts , RovnoและVolynในยูเครน SSR เมื่อมีการผนวกNKVD ของสหภาพโซเวียตเริ่มกำจัดชนชั้นกลางและชนชั้นสูงของโปแลนด์ที่ครอบงำ ซึ่งรวมถึงนักเคลื่อนไหวทางสังคมและผู้นำทางทหาร ระหว่างปี 1939 ถึง 1941 ชาวโปแลนด์ 200,000 คนถูกส่งตัวไปยังไซบีเรียโดยทางการโซเวียต[37]เชลยศึกชาวโปแลนด์หลายคนถูกเนรเทศไปยังยูเครนตะวันออกซึ่งส่วนใหญ่ถูกประหารชีวิตในห้องใต้ดินของสำนักงานคาร์คิฟ NKVD [38] การประมาณจำนวนพลเมืองโปแลนด์ที่ย้ายไปยังสหภาพโซเวียต เช่น ยุโรปตะวันออก เทือกเขาอูราล และไซบีเรีย มีตั้งแต่ 1.2 ถึง 1.7 ล้านคน [39]ชาวโปแลนด์นับหมื่นหนีจากเขตยึดครองของสหภาพโซเวียตไปยังพื้นที่ที่ควบคุมโดยชาวเยอรมัน [37]การเนรเทศและการสังหารทำให้เสาของผู้นำชุมชนถูกลิดรอน

ในระหว่างการยึดครองของสหภาพโซเวียต สมาชิกบริหารท้องถิ่นของโปแลนด์ถูกแทนที่โดยชาวยูเครนและชาวยิว[40]และโซเวียต NKVD ล้มล้างขบวนการเอกราชของยูเครน พรรคการเมืองยูเครนในท้องถิ่นทั้งหมดถูกยกเลิก นักเคลื่อนไหวชาวยูเครนระหว่าง 20,000 ถึง 30,000 คนหลบหนีไปยังดินแดนที่เยอรมันยึดครอง ผู้ที่ไม่หลบหนีส่วนใหญ่ถูกจับ ตัวอย่างเช่น Dr. Dmytro Levitsky หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระดับปานกลางที่เอนเอียงไปทางซ้ายของยูเครน National Democratic Allianceและหัวหน้าคณะผู้แทนยูเครนในรัฐสภาโปแลนด์ก่อนสงครามกับเพื่อนร่วมงานของเขาหลายคน ถูกจับ ถูกเนรเทศไปยังมอสโก และไม่เคย ได้ยินจากอีกครั้ง[41]การกำจัดปัจเจกบุคคล องค์กร และพรรคการเมืองโดยโซเวียตที่เป็นตัวแทนของแนวโน้มทางการเมืองในระดับปานกลางหรือเสรีในสังคมยูเครน อนุญาตให้องค์กรหัวรุนแรงของชาตินิยมยูเครน ซึ่งดำเนินการในชั้นใต้ดิน เป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่มีองค์กรที่สำคัญในหมู่ชาวยูเครนตะวันตก . [42]

เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2484 ดินแดนทางตะวันออกของโปแลนด์ซึ่งถูกยึดครองโดยสหภาพโซเวียตถูกโจมตีโดยกองกำลังเยอรมัน สโลวัก และฮังการี ในโวลฮีเนีย กองทัพแดงสามารถต้านทานการโจมตีได้เพียงสองสามวันเท่านั้น เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2484 โซเวียตถอนกำลังไปทางทิศตะวันออกและโวลฮีเนียถูกชาวเยอรมันบุกโจมตี โดยได้รับการสนับสนุนจากชาตินิยมยูเครนซึ่งก่อวินาศกรรม OUN ได้จัดตั้งกองทหารรักษาการณ์ชาวยูเครนซึ่งจัดฉากการสังหารหมู่และช่วยชาวเยอรมันเข้ารอบและประหารชีวิตชาวโปแลนด์ ชาวยิว และผู้ที่ถือว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือนักเคลื่อนไหวของสหภาพโซเวียต[43] [44]ที่สะดุดตาที่สุดในลwów , Stanisławów , Korostenและโสก . [45]

ในปี 1941 พี่ชายสองคนของผู้นำยูเครนสเตฟานเดอราถูกฆ่าตายในขณะที่พวกเขาถูกขังอยู่ในAuschwitzโดยVolksdeutsche kapos [46]ในChełmภูมิภาค 394 ผู้นำชุมชนยูเครนถูกฆ่าโดยเสาบนพื้นฐานของความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เยอรมัน [47]

ในช่วงปีแรกของการยึดครองของเยอรมัน OUN ได้เรียกร้องให้สมาชิกเข้าร่วมหน่วยตำรวจของเยอรมัน พวกเขาได้รับการฝึกฝนให้ใช้อาวุธเพื่อช่วยเหลือSSเยอรมันในการสังหารชาวยิว Volhynian ประมาณ 200,000 คน ในขณะที่ตำรวจยูเครนมีส่วนร่วมในการสังหารชาวยิวจริง ๆ น้อย ๆ เนื่องจากมีบทบาทสนับสนุนเป็นหลัก ตำรวจยูเครนได้เรียนรู้วิธีใช้เทคนิคการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จากชาวเยอรมัน: การวางแผนอย่างละเอียดและขั้นสูงและการเลือกสถานที่อย่างรอบคอบ ให้การรับรองปลอมกับคนในท้องถิ่น ประชากรก่อนการทำลายล้าง การล้อมและการสังหารหมู่อย่างกะทันหัน การฝึกอบรมที่ UPA ได้รับในปี พ.ศ. 2485 อธิบายว่าสามารถฆ่าชาวโปแลนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในปี พ.ศ. 2486 [48]

การสังหารหมู่
การวางแผน
การตัดสินใจที่นำไปสู่การสังหารหมู่ชาวโปแลนด์ในโวลฮีเนียและการนำไปปฏิบัตินั้น ส่วนใหญ่มาจากกลุ่ม OUN (OUN-B) กลุ่มหัวรุนแรงของ Bandera ไม่ใช่กลุ่มการเมืองหรือการทหารของยูเครน[49]ที่ OUN-B มีอุดมการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความคิดต่อไปนี้: ชาตินิยมที่สมบูรณ์กับรัฐชาติที่บริสุทธิ์และภาษาที่ต้องการเป้าหมาย; [50] การยกย่องความรุนแรงและการต่อสู้ด้วยอาวุธระหว่างชาติกับประเทศชาติ; [51]และลัทธิเผด็จการที่ประเทศชาติต้องถูกปกครองโดยบุคคลเดียวและพรรคการเมืองหนึ่งพรรค ในขณะที่กลุ่ม Melnyk สายกลางของ OUN ชื่นชมแง่มุมของลัทธิฟาสซิสต์ของมุสโสลินีฝ่าย Bandera ที่รุนแรงกว่าของ OUN กลับชื่นชมแง่มุมของลัทธินาซี[52] [53]

ในช่วงก่อตั้ง OUN พรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่ชาวยูเครนคือกลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติยูเครนซึ่งต่อต้านการปกครองของโปแลนด์ แต่เรียกร้องให้มีสันติวิธีและเป็นประชาธิปไตยเพื่อให้ได้รับเอกราชจากโปแลนด์ ในทางกลับกัน OUN เป็นขบวนการนอกกรอบในยูเครนตะวันตกและถูกประณามสำหรับความรุนแรงโดยตัวเลขจากสังคมยูเครนกระแสหลักเช่นหัวหน้าคริสตจักรคาทอลิกยูเครนกรีก Metropolitan Andriy Sheptytskyผู้เขียนเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของ OUN ว่า "ผู้ใดดูหมิ่นเยาวชนของเราเป็นอาชญากรและเป็นศัตรูของประชาชนของเรา" [54] ปัจจัยหลายประการมีส่วนทำให้ความนิยมของ OUN-B เพิ่มขึ้นและการผูกขาดอำนาจในสังคมยูเครนในที่สุด ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการสังหารหมู่ที่จะเกิดขึ้น

กลุ่มชาตินิยมยูเครนเพียงกลุ่มเดียว OUN-B ภายใต้Mykola LebedและRoman Shukhevychตั้งใจจะล้างเผ่าพันธุ์ Volhynia Taras Bulba-Borovetsผู้ก่อตั้งกองทัพปฏิวัติประชาชนยูเครนปฏิเสธแนวคิดนี้และประณามการสังหารหมู่ต่อต้านโปแลนด์เมื่อพวกเขาเริ่มต้น [55] [56]ผู้นำ OUN-M ไม่เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในปี 2486 [57]

หลังจากฮิตเลอร์โจมตีสหภาพโซเวียต ทั้งรัฐบาลพลัดถิ่นของโปแลนด์และ OUN-B ของยูเครนได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ว่าในกรณีของการทำสงครามการขัดสีที่ละเอียดถี่ถ้วนระหว่างเยอรมนีและสหภาพโซเวียต ภูมิภาคนี้จะกลายเป็นที่เกิดเหตุความขัดแย้งระหว่าง ชาวโปแลนด์และชาวยูเครน รัฐบาลพลัดถิ่นโปแลนด์ ซึ่งต้องการให้ภูมิภาคนี้กลับไปยังโปแลนด์ ได้วางแผนสำหรับการยึดครองดินแดนอย่างรวดเร็ว โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนโดยรวมสำหรับการลุกฮือต่อต้านเยอรมันในอนาคต[58]มุมมองนั้นประกอบขึ้นจากความร่วมมือก่อนหน้าของ OUN กับพวกนาซีและดังนั้นในปี 1943 จึงไม่มีความเข้าใจระหว่างกองทัพโปแลนด์และ OUN เลย[57]ในแคว้นกาลิเซียตะวันออก ความเป็นปรปักษ์ระหว่างชาวโปแลนด์และชาวยูเครนรุนแรงขึ้นภายใต้การยึดครองของเยอรมัน[59]จากนั้นเห็นความร่วมมือของยูเครนกับรัฐบาลโซเวียตใน 2482-2484 และจากนั้นกับชาวเยอรมัน ชาวโปแลนด์ในพื้นที่โดยทั่วไปคิดว่า ควรจะถอด Ukrainians ออกจากดินแดน ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2485 บันทึกโดยเจ้าหน้าที่ของ Home Army ในเมืองลวีฟในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2485 แนะนำให้ส่งชาวยูเครนระหว่าง 1 ล้านถึง 1.5 ล้านคนออกจากกาลิเซียและโวลฮีเนียไปยังสหภาพโซเวียต และส่วนที่เหลือกระจัดกระจายไปทั่วโปแลนด์[59] [60] ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปกครองตนเองของยูเครนอย่างจำกัด ตามที่กำลังหารือกันโดย Home Army ในวอร์ซอและรัฐบาลโปแลนด์พลัดถิ่นในลอนดอน ไม่พบการสนับสนุนจากชาวโปแลนด์ในท้องถิ่น ในช่วงต้นปีค.ศ. 1943 กลุ่มใต้ดินของโปแลนด์ได้พิจารณาความเป็นไปได้ของการสร้างสายสัมพันธ์กับชาวยูเครน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไร้ผลเนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่เต็มใจที่จะสละการอ้างสิทธิ์ของตนต่อลวิฟ[59]

แม้กระทั่งก่อนสงคราม OUN ยึดมั่นในแนวความคิดของลัทธิชาตินิยมแบบบูรณาการในรูปแบบเผด็จการตามที่รัฐยูเครนต้องการความเป็นเนื้อเดียวกันทางชาติพันธุ์และศัตรูโปแลนด์สามารถเอาชนะได้โดยการกำจัดชาวโปแลนด์ออกจากดินแดนยูเครนเท่านั้น จากมุมมองของ OUN-B ชาวยิวได้ถูกทำลายล้างไปแล้ว และชาวรัสเซียและชาวเยอรมันก็อยู่ในยูเครนเพียงชั่วคราวเท่านั้น[57]OUN-B เชื่อว่าจะต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในขณะที่ชาวเยอรมันยังคงควบคุมพื้นที่เพื่อเตรียมการล่วงหน้าสำหรับความพยายามของโปแลนด์ในอนาคตที่จะสร้างพรมแดนก่อนสงครามของโปแลนด์ขึ้นใหม่ ผลที่ได้คือผู้บัญชาการ OUN-B ท้องถิ่นใน Volhynia และ Galicia หากไม่ใช่ผู้นำ OUN-B เอง ตัดสินใจว่าการกวาดล้างกลุ่มชาติพันธุ์ของชาวโปแลนด์จากพื้นที่นั้นผ่านการก่อการร้ายและการฆาตกรรมเป็นสิ่งที่จำเป็น[57]

ตามหลักฐานจากรายงานใต้ดินทั้งโปแลนด์และยูเครน ความกังวลหลักเพียงอย่างเดียวของผู้รักชาติยูเครนในขั้นต้นคือกลุ่มพรรคพวกโซเวียตที่เข้มแข็งซึ่งปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ กลุ่มเหล่านี้ประกอบด้วยเชลยศึกโซเวียตเป็นส่วนใหญ่และในขั้นต้นมีความเชี่ยวชาญในการโจมตีการตั้งถิ่นฐานในท้องถิ่น ซึ่งรบกวนทั้ง OUN และหน่วยป้องกันตนเองของโปแลนด์ในท้องถิ่น ซึ่งคาดว่าผลลัพธ์จะเพิ่มมากขึ้นในการก่อการร้ายของเยอรมัน[61]ความกังวลปรากฏขึ้นในไม่ช้า ขณะที่ชาวเยอรมันเริ่ม "ทำให้สงบ" หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านในโวลฮีเนียในการตอบโต้สำหรับการสนับสนุนที่แท้จริงหรือถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนพรรคพวกโซเวียตประวัติศาสตร์โปแลนด์ประกอบกับการกระทำส่วนใหญ่ของชาตินิยมยูเครนแต่พวกเขาดำเนินการโดยตำรวจช่วยยูเครนจริงๆหน่วยภายใต้การดูแลโดยตรงของชาวเยอรมัน[61]ตัวอย่างที่รู้จักกันดีที่สุดประการหนึ่งคือการทำให้สงบของ Obórki หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตLutsk County เมื่อวันที่ 13-14 พฤศจิกายน 1942 การกระทำส่วนใหญ่ดำเนินการโดยตำรวจอาชีวของยูเครน แต่การสังหารชาวบ้านชาวโปแลนด์ 53 คนถูกกระทำ เป็นการส่วนตัวโดยชาวเยอรมันผู้ดูแลการดำเนินการ[62] [63]

เป็นเวลาหลายเดือนในปี พ.ศ. 2485 OUN-Bไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในโวลฮีเนียได้ ที่นอกเหนือไปจากพรรคพวกโซเวียตแล้ว กลุ่มป้องกันตนเองของยูเครนอิสระจำนวนมากเริ่มก่อตัวขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของการก่อการร้ายของเยอรมัน กลุ่มทหาร OUN-B กลุ่มแรกถูกสร้างขึ้นใน Volhynia ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1942 โดยมีเป้าหมายเพื่อปราบกลุ่มอิสระอื่นๆ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 OUN ได้ริเริ่มนโยบายการสังหารพลเรือนชาวโปแลนด์เพื่อแก้ปัญหาโปแลนด์ในยูเครน ในฤดูใบไม้ผลิปี 1943 พรรคพวก OUN-B เริ่มเรียกตัวเองว่ากองทัพผู้ก่อความไม่สงบยูเครน (UPA) และใช้ชื่อเดิมของกองทัพปฏิวัติประชาชนยูเครนกลุ่มยูเครนอีกกลุ่มหนึ่งที่ปฏิบัติการในพื้นที่นี้ในปี 2485 ในเดือนมีนาคม 2486 ตำรวจยูเครนประมาณ 5,000 นายเสียอาวุธและเข้าร่วม UPA กลุ่มนี้ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดีและมีอาวุธอย่างดี ทำให้ UPA ประสบความสำเร็จในการครอบงำกลุ่มยูเครนอื่น ๆ ที่ทำงานอยู่ในโวลฮีเนีย[37]เร็ว ๆ นี้ที่สร้างขึ้นใหม่กองกำลังอ้วน-B ที่มีการจัดการที่จะทำลายหรือการดูดซับกลุ่มอื่น ๆ ของยูเครนใน Volhynia รวมทั้งสี่อ้วน-Mหน่วยและประชาชนยูเครนกองทัพปฏิวัติทิโมธี สไนเดอร์ ระบุว่า ระหว่างทางกลุ่มพรรคพวกของ Bandera ได้ฆ่าชาวยูเครนหลายหมื่นคน เนื่องจากต้องสงสัยว่าเชื่อมโยงกับ Melnyk หรือ Bulba-Borovets [55]OUN-B ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อชำระ "องค์ประกอบต่างประเทศ" โดยมีโปสเตอร์และใบปลิวกระตุ้นให้ชาวยูเครนสังหารชาวโปแลนด์ [40]การปกครองของมันปลอดภัยในฤดูใบไม้ผลิ 2486 UPA ได้รับการควบคุมเหนือ Volhynian ชนบทจากชาวเยอรมัน UPA เริ่มปฏิบัติการขนาดใหญ่กับประชากรโปแลนด์ [37] [57]

โวลฮีเนีย
การสังหารหมู่ที่ Kisielin เป็นการสังหารหมู่ผู้นับถือชาวโปแลนด์ในวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2486 เมื่อหน่วยของ UPA ที่ได้รับการสนับสนุนจากชาวนายูเครนในท้องถิ่นได้ล้อมชุมนุมชาวโปแลนด์เพื่อเข้าร่วมพิธีมิสซาคาทอลิกที่โบสถ์ท้องถิ่นในวันอาทิตย์
ระหว่างปี พ.ศ. 2482 ถึง พ.ศ. 2486 เสาโวลฮีเนียนได้ลดจำนวนลงเหลือเพียง 8% ของประชากรในภูมิภาค (ประมาณ 200,000 คน) พวกเขากระจัดกระจายไปทั่วชนบทและถูกกีดกันจากชนชั้นสูงจากการเนรเทศของสหภาพโซเวียต โดยไม่มีกองทัพพรรคพวกในท้องถิ่นของตนเองหรือผู้มีอำนาจของรัฐ (ยกเว้นชาวเยอรมัน) ที่จะปกป้องพวกเขา[64]

เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1943 กลุ่ม UPA ได้รับคำสั่งจาก Hryhory Perehyniak, แกล้งทำเป็นสมัครพรรคพวกโซเวียตและทำร้ายParośleนิคมSarnyเคาน์ตี้[65] [66] [67]ถือเป็นโหมโรง[68]ของการสังหารหมู่และได้รับการยอมรับว่าเป็นการสังหารหมู่ครั้งแรก[68] ที่กระทำโดย UPA ในพื้นที่ ประมาณการจำนวนเหยื่อมีตั้งแต่ 149 [69]ถึง 173 [70]

ในปี 1943 การสังหารหมู่ถูกจัดไปทางทิศตะวันตกและเริ่มต้นในเดือนมีนาคมKostopolและSarnyมณฑล ในเดือนเมษายนที่พวกเขาย้ายไปยังพื้นที่ของKrzemieniec , Rivne , Dubnoและลัตสก์ [71] UPA สังหารชายหญิงและเด็กที่ไม่มีอาวุธประมาณ 7,000 คนในช่วงปลายเดือนมีนาคมและต้นเดือนเมษายน 2486 [72]

ในคืนวันที่ 22-23 เมษายน กลุ่มชาวยูเครนซึ่งได้รับคำสั่งจากIvan Lytwynchuk (หรือที่รู้จักว่าDubovy ) ได้โจมตีที่ตั้งถิ่นฐานของJanowa Dolina คร่าชีวิตผู้คนไป 600 คนและเผาทั้งหมู่บ้าน[73]ไม่กี่คนที่รอดชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้คนที่พบที่พักพิงพร้อมครอบครัวชาวยูเครนที่เป็นมิตร[74] [ ต้องการแหล่งข้อมูลที่ดีกว่า ]ในการสังหารหมู่ครั้งหนึ่ง ในหมู่บ้าน Lipniki เกือบทั้งครอบครัวของMirosław Hermaszewskiนักบินอวกาศเพียงคนเดียวของโปแลนด์ ถูกสังหาร[75]พร้อมด้วยผู้อยู่อาศัยประมาณ 180 คน[76]ผู้โจมตีสังหารปู่ย่าตายายของนักแต่งเพลงKrzesimir Dębskiพ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในระหว่างการโจมตียูเครน Kisielin [77]พ่อแม่ของเดบสกี้รอดชีวิตจากการลี้ภัยกับครอบครัวชาวยูเครนที่เป็นมิตร

ในการสังหารหมู่อีกครั้ง ตามรายงานของ UPA อาณานิคมของโปแลนด์Kutyในภูมิภาค Szumski และNowa Nowicaในภูมิภาค Webski ถูกชำระบัญชีเพื่อร่วมมือกับ Gestapo และหน่วยงานอื่นๆ ของเยอรมนี [78]ตามแหล่งข่าวของโปแลนด์หน่วยป้องกันตนเอง Kutyสามารถขับไล่การโจมตีของ UPA ได้ แต่อย่างน้อย 53 เสาถูกสังหาร ผู้อยู่อาศัยที่เหลือตัดสินใจละทิ้งหมู่บ้านและถูกชาวเยอรมันคุ้มกันซึ่งมาถึง Kuty โดยได้รับการแจ้งเตือนจากไฟและเสียงปืน [79]Maksym Skorupskyi หนึ่งในผู้บัญชาการของ UPA เขียนไว้ในไดอารี่ของเขาว่า: "เริ่มจากการกระทำของเราที่ Kuty วันแล้ววันเล่าหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าก็อาบไล้ไปด้วยแสงไฟ หมู่บ้านในโปแลนด์กำลังถูกไฟไหม้" [79]

โดยมิถุนายน 2486 การโจมตีได้แพร่กระจายไปยังKowel , Włodzimierz WołyńskiและHorochówเคาน์ตี้ และในเดือนสิงหาคมถึงLubomlเคาน์ตี้ [71]ชัยชนะโซเวียตเคิร์สต์ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นสำหรับการเพิ่มของการสังหารหมู่ในเดือนมิถุนายนและสิงหาคม 1943 เมื่อเผ่าพันธุ์ถึงจุดสูงสุด [40]ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2486 Dmytro Klyachkivskyหัวหน้าผู้บัญชาการของ UPA-North ได้ออกคำสั่งลับว่า:

เราควรดำเนินการครั้งใหญ่ในการชำระบัญชีองค์ประกอบโปแลนด์ ในขณะที่กองทัพเยอรมันถอนกำลัง เราควรใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่สะดวกนี้ในการชำระบัญชีประชากรชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่ 16 ถึง 60 ปี เราแพ้การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้ และจำเป็นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้กองกำลังโปแลนด์อ่อนแอลง หมู่บ้านและการตั้งถิ่นฐานที่อยู่ติดกับป่าใหญ่ควรหายไปจากพื้นโลก[80] [81]

อย่างไรก็ตาม เหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก[5]ในกลางปี 1943 หลังจากคลื่นสังหารพลเรือนชาวโปแลนด์ ชาวโปแลนด์พยายามเริ่มการเจรจากับ UPA ผู้แทนสองคนของรัฐบาลพลัดถิ่นโปแลนด์และกองทัพบ้านเกิด[82] Zygmunt RumelและKrzysztof Markiewiczพยายามเจรจากับผู้นำ UPA แต่พวกเขาถูกจับและสังหารเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2486 ในหมู่บ้าน Kustycze [83]บางแหล่งอ้างว่าพวกเขาถูกทรมานก่อนตาย[84]

วันรุ่งขึ้น 11 กรกฏาคม 2486 ถือเป็นวันที่นองเลือดที่สุดของการสังหารหมู่[85]มีรายงานจำนวนมากเกี่ยวกับหน่วย UPA ที่เดินขบวนจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่งและสังหารพลเรือนชาวโปแลนด์[86]ในวันนั้น หน่วย UPA ได้ล้อมและโจมตีหมู่บ้านและการตั้งถิ่นฐานในโปแลนด์ที่ตั้งอยู่ในสามมณฑล: Kowel , HoochowและWłodzimierz Wołyński. เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อเวลา 03:00 น. ทำให้ชาวโปแลนด์มีโอกาสหลบหนีเพียงเล็กน้อย หลังจากการสังหารหมู่ หมู่บ้านในโปแลนด์ก็ถูกเผาทิ้ง ตามที่ไม่กี่คนที่รอดชีวิตมาได้ การกระทำนั้นได้เตรียมการอย่างรอบคอบแล้ว ไม่กี่วันก่อนการสังหารหมู่ มีการประชุมหลายครั้งในหมู่บ้านยูเครน ซึ่งสมาชิก UPA บอกกับชาวบ้านว่าจำเป็นต้องฆ่าชาวโปแลนด์ทั้งหมด[86]ทั้งหมด 11 กรกฏาคม 2486 ยูเครนโจมตี 167 เมืองและหมู่บ้าน[87]ภายในเวลาไม่กี่วัน หมู่บ้านในโปแลนด์จำนวนหนึ่งถูกทำลายอย่างสมบูรณ์และประชากรของพวกเขาถูกสังหาร ในหมู่บ้าน Gurow ของโปแลนด์ จากประชากร 480 คน มีเพียง 70 คนเท่านั้นที่รอดชีวิต ในการตั้งถิ่นฐานของ Orzeszyn UPA ฆ่า 306 จาก 340 Poles; ในหมู่บ้าน Sadowa จากชาวโปแลนด์ 600 คน มีเพียง 20 คนเท่านั้นที่รอดชีวิต ใน Zagaje จาก 350 Poles มีเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิต[86]คลื่นของการสังหารหมู่กินเวลาห้าวันจนถึง 16 กรกฏาคม UPA ยังคงทำการกวาดล้างชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบท จนกระทั่งชาวโปแลนด์ส่วนใหญ่ถูกเนรเทศ ฆ่า หรือถูกไล่ออก การดำเนินการตามแผนอย่างละเอียดได้ดำเนินการโดยหลายหน่วยงานและมีการประสานงานกันเป็นอย่างดี[40]

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1943 หมู่บ้าน Gaj ของโปแลนด์ใกล้กับKovelถูกเผาและสังหารหมู่ 600 คนในหมู่บ้าน Wola Ostrowiecka มีผู้เสียชีวิต 529 คนรวมถึงเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี 220 คนและเสียชีวิต 438 คนรวมถึงเด็ก 246 คน ออสโตรกี้. ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2535 มีการขุดค้นในหมู่บ้านเหล่านั้นและยืนยันจำนวนผู้เสียชีวิต [86]

ในเดือนเดียวกัน UPA ได้ออกประกาศในทุกหมู่บ้านในโปแลนด์: "ใน 48 ชั่วโมงให้ออกจากแม่น้ำ Bugหรือแม่น้ำSanมิฉะนั้นความตาย" [88]ผู้โจมตีชาวยูเครนจำกัดการกระทำของตนไว้ที่หมู่บ้านและการตั้งถิ่นฐาน และไม่ได้โจมตีเมืองหรือเมืองต่างๆ

การสังหารดังกล่าวถูกต่อต้านโดยคณะกรรมการกลางของยูเครนภายใต้การนำของโวโลดีมีร์คูบิโยวิช ในการตอบสนอง หน่วย UPA ได้สังหารตัวแทนของคณะกรรมการกลางของยูเครนและนักบวชคาทอลิกชาวยูเครนคนหนึ่งซึ่งได้อ่านคำอุทธรณ์ของคณะกรรมการกลางของยูเครนจากแท่นพูดของเขา[89]

นักประวัติศาสตร์ชาวโปแลนด์Władysław Filarผู้ซึ่งได้เห็นการสังหารหมู่ดังกล่าว ได้อ้างถึงคำกล่าวมากมายของเจ้าหน้าที่ยูเครนเมื่อพวกเขารายงานการกระทำของตนต่อผู้นำของ UPA-OUN ตัวอย่างเช่น ในปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2486 ผู้บัญชาการ "ลีซี" เขียนถึงสำนักงานใหญ่ของ OUN: "เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2486 ฉันดำเนินการในหมู่บ้าน Wola Ostrowiecka (ดู การสังหารหมู่ของ Wola Ostrowiecka ) และ Ostrivky (ดู การสังหารหมู่) ของ Ostrówki ) ฉันได้ชำระล้างชาวโปแลนด์ทั้งหมด เริ่มจากคนสุดท้อง หลังจากนั้น อาคารทั้งหมดถูกเผาและสินค้าทั้งหมดถูกริบ". [90]ในวันนั้นใน Wola Ostrowiecka ชาวโปแลนด์ 529 คนถูกสังหาร (รวมถึงเด็ก 220 คนอายุต่ำกว่า 14 ปี) และในOstrówki ชาวยูเครนฆ่า 438 คน (รวมเด็ก 246 คน)[91]

กาลิเซียตะวันออก

รอยกระสุนบนหอคอยของโบสถ์Podkamieńที่ซึ่งชาวโปแลนด์จำนวนมากลี้ภัย ซึ่งถูก UPA บุกโจมตีเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1944
ปลายปี พ.ศ. 2486 และต้น พ.ศ. 2487 หลังจากที่ชาวโปแลนด์ส่วนใหญ่ในโวลฮีเนียถูกสังหารหรือหลบหนีออกจากพื้นที่ ความขัดแย้งได้แพร่กระจายไปยังจังหวัดกาลิเซียที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งประชากรส่วนใหญ่ยังคงเป็นยูเครน แต่การปรากฏตัวของโปแลนด์มีความแข็งแกร่ง ต่างจากกรณีของโวลฮีเนียที่หมู่บ้านชาวโปแลนด์มักจะถูกทำลายและผู้อยู่อาศัยของพวกเขาถูกสังหารโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ในแคว้นกาลิเซียตะวันออก บางครั้งชาวโปแลนด์ได้รับเลือกว่าจะหนีหรือถูกสังหาร คำสั่งของผู้บัญชาการ UPA ในแคว้นกาลิเซียกล่าวว่า "ฉันขอเตือนคุณอีกครั้ง: ก่อนอื่นให้เรียกร้องให้ชาวโปแลนด์ละทิ้งดินแดนของพวกเขาและหลังจากนั้นก็เลิกกิจการพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ในทางกลับกัน") การเปลี่ยนแปลงยุทธวิธี รวมกับการป้องกันตนเองของโปแลนด์ที่ดีขึ้น และความสมดุลทางประชากรศาสตร์ซึ่งเอื้ออำนวยต่อชาวโปแลนด์ ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตในกลุ่มชาวโปแลนด์ในแคว้นกาลิเซียลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับในโวลฮีเนีย[92]วิธีการที่ใช้โดยผู้รักชาติยูเครนในพื้นที่นี้เหมือนกัน: ปัดเศษขึ้นและฆ่าชาวโปแลนด์ทั้งหมดในหมู่บ้านแล้วปล้นสะดมหมู่บ้านและเผาพวกเขาไปที่พื้น [40]ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2487 ในหมู่บ้าน Korosciatyn 135 โปแลนด์ถูกฆาตกรรม; [93]เหยื่อถูกนับโดยนักบวชนิกายโรมันคาทอลิกในท้องถิ่น รายได้ Mieczysław Kamiński [94] Jan Zaleski (บิดาของ Fr. Tadeusz Isakowicz-Zaleski ) ผู้เห็นเหตุการณ์สังหารหมู่ เขียนไว้ในไดอารี่ของเขาว่า "การฆ่ากินเวลาเกือบตลอดทั้งคืน เราได้ยินเสียงร้องอันน่าสยดสยอง เสียงคำรามของวัวควายทั้งเป็น การยิง ดูเหมือนว่ามารเองเริ่มกิจกรรมของเขา!” [95]คุณพ่อคามินสกี้อ้างว่าในโคโรปิก ที่ซึ่งไม่มีชาวโปแลนด์ถูกสังหารจริงๆ นักบวชชาวกรีกคาทอลิกในท้องถิ่น กล่าวถึงครอบครัวโปแลนด์-ยูเครนผสมกัน ประกาศจากแท่นพูด: "แม่ คุณกำลังดูดนมศัตรู – บีบคอมัน" [96]ในบรรดาคะแนนของหมู่บ้านชาวโปแลนด์ที่ถูกสังหารและอาคารทั้งหมดถูกเผาเป็นสถานที่เช่น Berezowica ใกล้Zbaraz ; Ihrowica ใกล้Ternopil ; Plotych ใกล้Ternopil ; พอดคาเมียน ใกล้โบรดี้ ; และ Hanachiv และ Hanachivka ใกล้Przemyślany [97]

Roman Shukhevychผู้บัญชาการของ UPA ระบุในคำสั่งของเขาตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1944 ว่า "ในแง่ของความสำเร็จของกองกำลังโซเวียต จำเป็นต้องเร่งการชำระบัญชีของ Poles พวกเขาจะต้องถูกกำจัดให้หมด หมู่บ้านของพวกเขาถูกไฟไหม้.. . เฉพาะประชากรโปแลนด์เท่านั้นที่ต้องถูกทำลาย" (28)

การสังหารหมู่ที่น่าอับอายที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1944 ในหมู่บ้านHuta Pieniackaในโปแลนด์โดยมีประชากรมากกว่า 1,000 คน หมู่บ้านแห่งนี้เคยใช้เป็นที่หลบภัยสำหรับผู้ลี้ภัยรวมทั้งชาวยิวโปแลนด์[98]เช่นเดียวกับฐานพักฟื้นสำหรับพรรคคอมมิวนิสต์โปแลนด์และคอมมิวนิสต์ หน่วย AK หนึ่งหน่วยทำงานอยู่ที่นั่น ในฤดูหนาวปี ค.ศ. 1944 หน่วยพรรคพวกของสหภาพโซเวียตจำนวน 1,000 หน่วยได้ประจำการในหมู่บ้านเป็นเวลาสองสัปดาห์[98] [99] [100]ชาวบ้านของ Huta Pieniacka แม้ว่าจะยากจน แต่ได้จัดตั้งหน่วยป้องกันตนเองที่มีป้อมปราการและติดอาวุธอย่างดีซึ่งต่อสู้กับการโจมตีลาดตระเวนยูเครนและเยอรมันเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2487 [101] [ แหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ? ] ทหารสองคนของกองพลวาฟเฟินที่ 14 แห่งกองเอสเอสอ กาลิเซีย (ยูเครนที่ 1)แห่งวาฟเฟน-เอสเอสอ ถูกสังหารและชาวบ้านได้รับบาดเจ็บหนึ่งราย เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ องค์ประกอบของกอง SS ที่ 14 ของยูเครนจากโบรดี้กลับมาพร้อมกับทหาร 500–600 นาย โดยได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มพลเรือนชาตินิยม การสังหารหมู่ที่ดำเนินไปตลอดทั้งวัน Kazimierz Wojciechowski ผู้บัญชาการหน่วยป้องกันตนเองของโปแลนด์ ถูกชุบด้วยน้ำมันเบนซินและเผาทั้งเป็นที่จัตุรัสหลัก หมู่บ้านถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงและผู้อยู่อาศัยทั้งหมดถูกสังหาร[99]พลเรือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ถูกล้อมไว้ที่โบสถ์ แบ่งและขังไว้ในยุ้งฉาง ซึ่งถูกจุดไฟเผา[102] การประเมินจำนวนผู้เสียชีวิตในการสังหารหมู่ Huta Pieniackaหลากหลายและรวม 500 (จดหมายเหตุยูเครน), [103]มากกว่า 1,000 ( Tadeusz Piotrowski ), [104] และ 1,200 (Sol Littman) [105]ตามการสอบสวนของ IPN อาชญากรรมเกิดขึ้นโดยกองพันที่ 4 ของกอง SS 14 ที่ 14 ของยูเครน(102] ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหน่วย UPA และพลเรือนชาวยูเครนในท้องถิ่น[16]

วารสารทหารของกอง SS ที่ 14 ของยูเครนประณามการสังหารชาวโปแลนด์ ในบทความวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1944 ที่ส่งไปยังเยาวชนยูเครน ซึ่งเขียนโดยผู้นำทางทหาร พรรคพวกโซเวียตถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สังหารชาวโปแลนด์และชาวยูเครน และผู้เขียนกล่าวว่า "หากพระเจ้าห้าม ในบรรดาผู้ที่กระทำการไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ พบมือชาวยูเครน มันจะถูกกีดกันจากชุมชนแห่งชาติยูเครนตลอดไป" [107]นักประวัติศาสตร์บางคนปฏิเสธบทบาทของกอง SS ที่ 14 ของยูเครนในการสังหารและถือว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นหน่วยของเยอรมัน แต่คนอื่นไม่เห็นด้วย[108] [ จำเป็นต้องมีการตรวจสอบ ]ตามที่นักประวัติศาสตร์ของเยลTimothy Snyderบทบาทของกอง SS ที่ 14 ของยูเครนในการกวาดล้างทางชาติพันธุ์ของชาวโปแลนด์จากยูเครนตะวันตกนั้นมีเพียงเล็กน้อย[19]

หมู่บ้านPidkamin (Podkamień) ใกล้ Brody เป็นที่พักพิงสำหรับชาวโปแลนด์ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในอารามของชาวโดมินิกันที่นั่น ประชาชนราว 2,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก อาศัยอยู่ที่นั่นเมื่ออารามถูกโจมตีในกลางเดือนมีนาคม 1944 โดยหน่วย UPA ซึ่งบัญชีของ Polish Home Army ถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับหน่วย SS ของยูเครน ชาวโปแลนด์กว่า 250 คนถูกฆ่าตาย[98]ในหมู่บ้านใกล้เคียงของ Palikrovy ชาวโปแลนด์ 300 คนถูกสังหาร 20 คนในมาลินีสกาและ 16 คนในเชอร์นิตเซีย กลุ่มติดอาวุธยูเครนทำลายอารามและขโมยของมีค่าทั้งหมด สิ่งที่เหลืออยู่คือภาพวาดของ Mary of Pidkaminซึ่งปัจจุบันเก็บไว้ในโบสถ์ St. Wojciech ในเมือง Wrocław. ตามคำกล่าวของคิริชุก การโจมตีชาวโปแลนด์ครั้งแรกเกิดขึ้นที่นั่นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2486 และน่าจะเป็นผลงานของหน่วย UPA จากโวลฮีเนีย ในการตอบโต้ ชาวโปแลนด์ได้สังหารชาวยูเครนคนสำคัญ รวมทั้งแพทย์ชาวยูเครนจากลวิฟ ชื่อ Lastowiecky และนักฟุตบอลชื่อดังจากPrzemyślชื่อ Wowczyszyn

ในช่วงปลายฤดูร้อน กลุ่มก่อการร้ายมุ่งเป้าไปที่ชาวโปแลนด์ในแคว้นกาลิเซียตะวันออกเพื่อบังคับให้ชาวโปแลนด์ตั้งรกรากบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำซานภายใต้สโลแกน "เสาหลังซาน" สไนเดอร์ประมาณการว่าชาวโปแลนด์ 25,000 คนถูกสังหารในแคว้นกาลิเซียเพียงแห่งเดียว[110]และGrzegorz Motykaประเมินจำนวนเหยื่อที่ 30,000–40,000 [111]

การสังหารไม่ได้หยุดลงหลังจากกองทัพแดงเข้าสู่พื้นที่ โดยมีการสังหารหมู่ในปี 1945 ในสถานที่เช่นCzerwonogrod (ยูเครน: Irkiv) ซึ่งชาวโปแลนด์ 60 คนถูกสังหารเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1945 [112] [113]วันก่อน พวกเขามีกำหนดการที่จะออกสำหรับคืนดินแดน

ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1944 การต่อต้านโปแลนด์หยุดลง และความหวาดกลัวถูกใช้เฉพาะกับผู้ที่ร่วมมือกับ NKVD แต่ในช่วงปลายปี 1944 ถึงต้นปี 1945 UPA ได้ดำเนินการต่อต้านโปแลนด์ครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายในภูมิภาค Ternopil [114]ในคืนวันที่ 5-6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 กลุ่มยูเครนโจมตีหมู่บ้านโปแลนด์แห่ง Barysz ใกล้Buchach ; ชาวโปแลนด์ 126 คนถูกสังหารหมู่ ทั้งผู้หญิงและเด็ก ไม่กี่วันต่อมา ในวันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ กลุ่ม OUN ในท้องถิ่นภายใต้การดูแลของ Petro Khamchuk ได้โจมตีที่ตั้งถิ่นฐานของPuźnikiของโปแลนด์คร่าชีวิตผู้คนไปราว 100 คนและเผาบ้านเรือน ส่วนใหญ่ของผู้ที่รอดชีวิตจากการย้ายไปNiemysłowice , กมีนา Prudnik [15]

ประมาณ 150 [116] –366 ชาวยูเครนและชาวโปแลนด์สองสามคนในพาวโลโค มาถูกสังหารเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2488 โดยอดีตหน่วยกองทัพบกโปแลนด์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มป้องกันตนเองของโปแลนด์จากหมู่บ้านใกล้เคียง การสังหารหมู่นี้เชื่อกันว่าเป็นการแก้แค้นสำหรับการสังหารที่ถูกกล่าวหาก่อนหน้านี้โดยกองทัพผู้ก่อความไม่สงบยูเครนจำนวน 9 หรือ 11 แห่ง[117]ในเมืองพาวโลโคมา และไม่ทราบจำนวนชาวโปแลนด์ที่ UPA สังหารในหมู่บ้านใกล้เคียง

ความโหดร้าย
การโจมตีชาวโปแลนด์ระหว่างการสังหารหมู่ในโวลฮีเนียและแคว้นกาลิเซียตะวันออกนั้นเต็มไปด้วยความซาดิสม์และความโหดเหี้ยมสุดขีด การข่มขืน การทรมาน และการทำร้ายร่างกายเป็นเรื่องปกติ เสาถูกเผาทั้งเป็น ถลกหนัง เสียบไม้กางเขน แยกชิ้นส่วน ผ่าและตัดหัว ผู้หญิงถูกรุมโทรมและตัดหน้าอก เด็กๆ ถูกแทงด้วยขวาน เด็กทารกถูกแทงด้วยดาบปลายปืนและโกยหรือทุบต้นไม้

ความโหดร้ายได้ดำเนินการตามอำเภอใจและปราศจากความยับยั้งชั่งใจ เหยื่อโดยไม่คำนึงถึงอายุหรือเพศ ถูกทรมานจนตายเป็นประจำ Norman DaviesในNo Simple Victoryให้คำอธิบายสั้น ๆ แต่น่าตกใจเกี่ยวกับการสังหารหมู่:

หมู่บ้านถูกจุดไฟเผา นักบวชนิกายโรมันคาธอลิกถูกขวานหรือถูกตรึงกางเขน โบสถ์ถูกเผาพร้อมกับนักบวชทั้งหมด ฟาร์มที่แยกตัวถูกโจมตีโดยแก๊งค์ที่ถือโกยและมีดทำครัว คอถูกตัด สตรีมีครรภ์ถูกดาบปลายปืน เด็กถูกตัดออกเป็นสองส่วน คนถูกซุ่มโจมตีในทุ่งนาและถูกนำออกไป ผู้กระทำผิดไม่สามารถกำหนดอนาคตของจังหวัดได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถระบุได้ว่ามันจะเป็นอนาคตที่ไม่มีชาวโปแลนด์ [118]

คำสั่ง OUN ตั้งแต่ต้นปี 1944 ระบุว่า:

ชำระล้างร่องรอยของโปแลนด์ทั้งหมด ทำลายกำแพงทั้งหมดในโบสถ์คาทอลิกและบ้านสวดมนต์อื่นๆ ของโปแลนด์ ทำลายสวนผลไม้และต้นไม้ในสนามหญ้าเพื่อไม่ให้มีร่องรอยว่ามีคนอาศัยอยู่ที่นั่น.... ให้ความสนใจกับความจริงที่ว่าเมื่อสิ่งที่เหลืออยู่ที่เป็นโปแลนด์ ชาวโปแลนด์จะอ้างสิทธิ์ในดินแดนของเรา" [119]

คำสั่งของผู้บัญชาการ UPA เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1944 ระบุว่า: "ต่อสู้กับพวกเขา [ชาวโปแลนด์] อย่างไร้ความปราณี ไม่มีใครได้รับการยกเว้น แม้แต่ในกรณีที่มีการแต่งงานแบบปะปนกัน" [120]

ทิโมธี สไนเดอร์อธิบายถึงการฆาตกรรมดังกล่าวว่า "พวกที่เข้าข้างยูเครนเผาบ้านเรือน ยิงหรือบังคับกลับเข้าไปข้างในผู้ที่พยายามจะหลบหนี และใช้เคียวและโกยฆ่าผู้ที่ถูกจับได้ภายนอก ในบางกรณี ศพที่ถูกตัดศีรษะ ถูกตรึง แยกส่วน หรือแยกชิ้นส่วนถูกจัดแสดง เพื่อที่จะสนับสนุนให้ชาวโปแลนด์ที่เหลือหนีไป" [37]บัญชีที่คล้ายกันได้รับการเสนอโดยเนียลเฟอร์กูสันผู้เขียน: "ทั้งหมู่บ้านถูกเช็ดออกผู้ชายตีตายผู้หญิงข่มขืนและขาดวิ่นทารกดาบปลายปืน" [121]นักประวัติศาสตร์ชาวยูเครน ยูริ คิริชุก บรรยายถึงความขัดแย้งว่าคล้ายกับการลุกฮือของชาวนายุคกลาง[122]

ตามที่นักประวัติศาสตร์ชาวโปแลนด์Piotr Łossowskiวิธีการที่ใช้ในการโจมตีส่วนใหญ่ก็เหมือนกัน ในตอนแรก ชาวโปแลนด์ในท้องที่มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา ครั้นรุ่งสาง หมู่บ้านแห่งหนึ่งรายล้อมไปด้วยสมาชิกติดอาวุธของ UPA ข้างหลังเป็นชาวนาที่มีขวาน มีด ขวาน ค้อน โกย พลั่ว เคียว เคียว จอบ จอบ และอุปกรณ์การเกษตรอื่นๆ ชาวโปแลนด์ทั้งหมดที่ถูกพบถูกสังหาร ส่วนใหญ่ถูกฆ่าตายในบ้านของพวกเขา แต่บางครั้งพวกเขาก็ถูกต้อนเข้าไปในโบสถ์หรือโรงนาซึ่งถูกจุดไฟเผาแล้ว เสาจำนวนมากถูกโยนลงไปในบ่อน้ำหรือถูกฆ่าตายแล้วฝังในหลุมศพตื้นเช่นกัน หลังจากการสังหารหมู่ สินค้าทั้งหมดถูกปล้น รวมทั้งเสื้อผ้า ข้าว และเฟอร์นิเจอร์ ส่วนสุดท้ายของการโจมตีคือการจุดไฟเผาทั้งหมู่บ้าน[123]ร่องรอยของการดำรงอยู่ของโปแลนด์ทั้งหมดถูกกำจัดให้สิ้นซาก แม้แต่การตั้งถิ่นฐานของชาวโปแลนด์ที่ถูกทิ้งร้างก็ถูกเผาทิ้ง [40]

แม้ว่ามันอาจจะเป็นการกล่าวเกินจริงที่จะบอกว่าการสังหารหมู่ได้รับการสนับสนุนโดยทั่วไปจากชาวยูเครน แต่ก็มีคนแนะนำว่าหากปราศจากการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากชาวยูเครนในพื้นที่ พวกเขาคงเป็นไปไม่ได้ [37]ชาวนายูเครนที่มีส่วนร่วมในการสังหารได้สร้างกลุ่มของพวกเขาเอง SKV หรือSamoboronni Kushtchovi Viddily (Самооборонні Кущові Відділи, СКВ) เหยื่อหลายคนของพวกเขาที่ถูกมองว่าเป็นชาวโปแลนด์ แม้จะไม่รู้ภาษาโปแลนด์ก็ตาม ถูก СКВ ฆ่าพร้อมกับคนอื่นๆ [124]

ความรุนแรงถึงขีดสูงสุดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2486 ที่ชาวโปแลนด์หลายคนรู้จักในชื่อ "วันอาทิตย์นองเลือด" เมื่อ UPA โจมตีหมู่บ้านในโปแลนด์ 100 แห่งในโวลฮีเนีย เผาพวกเขาลงกับพื้นและสังหารชายหญิงและเด็กชาวโปแลนด์ประมาณ 8,000 คน รวมทั้งผู้ป่วยและพยาบาล ที่โรงพยาบาล การโจมตีเหล่านี้และการโจมตีอื่นๆ สามารถหยุดได้ตลอดเวลาโดยชาวเยอรมัน ซึ่งในบางกรณีถูกประจำการอยู่ในกองทหารรักษาการณ์ในหรือใกล้หมู่บ้านที่ถูกโจมตี อย่างไรก็ตาม ทหารเยอรมันได้รับคำสั่งไม่ให้เข้าไปแทรกแซง ในบางกรณี ทหารและเจ้าหน้าที่เยอรมันแต่ละคนทำข้อตกลงกับ UPA เพื่อมอบอาวุธและวัสดุอื่น ๆ ให้กับพวกเขาเพื่อแลกกับส่วนแบ่งของปล้นที่นำมาจากโปแลนด์

ชาวยูเครนในถิ่นฐานที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติได้รับสิ่งจูงใจทางวัตถุให้เข้าร่วมในการสังหารเพื่อนบ้านของพวกเขา หรือได้รับคำเตือนจากหน่วยรักษาความปลอดภัยของ UPA ( Sluzhba Bezbeky ) ให้หลบหนีในตอนกลางคืน และผู้อยู่อาศัยที่เหลือทั้งหมดถูกสังหารในช่วงเช้าตรู่ ชาวยูเครนหลายคนเสี่ยงชีวิตและในบางกรณีก็เสียชีวิตเพราะพยายามจะหลบภัยหรือเตือนชาวโปแลนด์[37] [125]กิจกรรมดังกล่าวได้รับการปฏิบัติโดย UPA เป็นการร่วมมือกับศัตรูและลงโทษอย่างรุนแรง[126]ในปี 2550 สถาบันการรำลึกถึงแห่งชาติของโปแลนด์(IPN) ได้ตีพิมพ์เอกสารKresowa Księga Sprawiedliwych 1939 – 1945 O Ukraińcach ratujących Polaków poddanych eksterminacji przez OUN i UPA("หนังสือความชอบธรรมของชายแดน เกี่ยวกับชาวยูเครนที่ช่วยชีวิตชาวโปแลนด์จากการกำจัด OUN และ UIA") Romuald Niedzielko ผู้เขียนหนังสือของ IPN ได้บันทึกคดี 1341 คดีที่พลเรือนยูเครนช่วยเหลือเพื่อนบ้านชาวโปแลนด์ ซึ่งทำให้ UPA 384 คนถูกประหารชีวิตโดย UPA [127] ในครอบครัวโปแลนด์-ยูเครน คำสั่งของ UPA ทั่วไปอย่างหนึ่งคือการฆ่าคู่สมรสและลูกชาวโปแลนด์ที่เกิดจากการแต่งงานครั้งนั้น ผู้ที่ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวมักถูกฆ่าตายพร้อมทั้งครอบครัว[28] [128]

ตามแหล่งข่าวของยูเครน ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486 คณะผู้แทนรัฐบาลโปแลนด์ Volhynian ได้ประเมินจำนวนผู้เสียชีวิตชาวโปแลนด์ในเขต Sarny, Kostopol, Równe และZdołbunów ให้เกิน 15,000 คน [129]ทิโมธี สไนเดอร์ประมาณการว่าในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1943 การกระทำของ UPA ส่งผลให้พลเรือนชาวโปแลนด์เสียชีวิตอย่างน้อย 40,000 คนในโวลฮีเนีย (ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944 มีผู้เสียชีวิตอีก 10,000 คนในแคว้นกาลิเซีย) [130]ทำให้ชาวโปแลนด์อีก 200,000 คนต้องหลบหนีไปทางตะวันตกก่อน กันยายน 2487 และ 800,000 หลังจากนั้น [37] [130]

องค์กรป้องกันตัว
การสังหารหมู่กระตุ้นให้ชาวโปแลนด์เริ่มจัดตั้งองค์กรเพื่อป้องกันตนเองในเดือนเมษายน พ.ศ. 2486 โดยองค์กรดังกล่าว 100 แห่งได้ก่อตั้งขึ้นในโวลฮีเนียในปี พ.ศ. 2486 บางครั้งองค์กรป้องกันตนเองได้รับอาวุธจากชาวเยอรมัน แต่บางครั้งชาวเยอรมันก็ยึดอาวุธและจับกุม หัวหน้า. องค์กรหลายแห่งไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของ UPA และถูกทำลายได้ มีเพียงองค์กรป้องกันตนเองที่ใหญ่ที่สุดเท่านั้นที่สามารถได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพบ้านเกิดหรือพรรคพวกโซเวียตเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดได้[131] Kazimierz Bąbiński ผู้บัญชาการของ Union for Armed Struggle-Home Army Wołyń ในคำสั่งของเขาไปยังหน่วยพรรคพวก AK ระบุ: [132]

ฉันห้ามไม่ให้ใช้วิธีที่คนขายเนื้อยูเครนใช้ เราจะไม่เผาบ้านไร่ชาวยูเครน หรือฆ่าผู้หญิงและเด็กชาวยูเครนในการตอบโต้ เครือข่ายป้องกันตนเองต้องปกป้องตนเองจากผู้รุกรานหรือโจมตีผู้รุกราน แต่ปล่อยให้ประชากรที่สงบสุขและทรัพย์สินของพวกเขาอยู่ตามลำพัง

—  “ลูบอน”
กองทัพบ้านเกิดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2486 ได้เรียกร้องให้หน่วยป้องกันตนเองของโปแลนด์วางตนเองภายใต้การบังคับบัญชา สิบวันต่อมา ประกาศอิสรภาพของยูเครนในดินแดนที่ไม่มีประชากรโปแลนด์ และเรียกร้องให้ยุติการสังหารพลเรือน[133] องค์กรป้องกันตนเองของโปแลนด์เริ่มมีส่วนร่วมในการแก้แค้นการสังหารหมู่พลเรือนยูเครนในฤดูร้อนปี 2486 เมื่อชาวบ้านยูเครนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ต้องทนทุกข์กับกองกำลังพรรคพวกโปแลนด์ หลักฐานประกอบด้วยจดหมายฉบับหนึ่งลงวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1943 ถึงการป้องกันตนเองของโปแลนด์ในท้องถิ่น ซึ่งผู้บัญชาการ AK Kazimierz Bąbiński วิพากษ์วิจารณ์การเผาหมู่บ้านในยูเครนที่อยู่ใกล้เคียง การสังหารชาวยูเครนที่ข้ามเส้นทาง และการปล้นทรัพย์สมบัติของพวกยูเครน[134]จำนวนพลเรือนยูเครนทั้งหมดที่ถูกสังหารในโวลินในการตอบโต้โดยชาวโปแลนด์อยู่ที่ประมาณ 2,000–3,000 คน [135] 27 บ้านทัพกองทหารราบที่กำลังก่อตัวขึ้นในเดือนมกราคม 1944 มอบหมายให้ต่อสู้ UPA แล้วWehrmacht [133]

การมีส่วนร่วมของเยอรมัน
แม้ว่าชาวเยอรมันจะสนับสนุนความขัดแย้งอย่างแข็งขัน แต่ก็พยายามไม่เกี่ยวข้องโดยตรง หน่วยพิเศษของเยอรมันที่จัดตั้งขึ้นจากผู้ประสานงานชาวยูเครน และต่อมาตำรวจช่วยโปแลนด์ถูกนำไปใช้ในการปราบปรามในโวลฮีเนีย และอาชญากรรมบางส่วนของพวกเขามีสาเหตุมาจาก Home Army หรือ UPA [ ต้องการการอ้างอิง ]

ตามคำกล่าวของ Yuriy Kirichuk ชาวเยอรมันได้กระตุ้นความขัดแย้งทั้งสองฝ่ายอย่างแข็งขัน [136] Erich Kochเคยกล่าวไว้ว่า: "เราต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ขั้วโลกพบกับชาวยูเครน ยินดีที่จะฆ่าเขา และในทางกลับกัน ชาวยูเครนจะเต็มใจที่จะฆ่าชาวโปแลนด์" Kirichuk อ้างคำพูดของผู้บัญชาการชาวเยอรมันจากSarnyซึ่งตอบสนองต่อการร้องเรียนของโปแลนด์: "คุณต้องการSikorskiชาว Ukrainians ต้องการBanderaต่อสู้กันเอง" [136]

ชาวเยอรมันแทนที่ตำรวจยูเครนที่เลิกราชการเยอรมันด้วยตำรวจโปแลนด์ แรงจูงใจในการเข้าร่วมของโปแลนด์เป็นเรื่องของท้องถิ่นและส่วนบุคคล: เพื่อปกป้องตนเองหรือล้างแค้นให้กับความโหดร้ายของ UPA [137]นโยบายของเยอรมันเรียกร้องให้มีการสังหารครอบครัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจยูเครนทุกคนที่ร้างและทำลายหมู่บ้านของเจ้าหน้าที่ตำรวจยูเครนที่ทิ้งอาวุธของเขา การตอบโต้เหล่านี้ดำเนินการโดยใช้ตำรวจโปแลนด์ที่เพิ่งได้รับคัดเลือก การมีส่วนร่วมของโปแลนด์ในตำรวจเยอรมันตามการโจมตีของ UPA ต่อการตั้งถิ่นฐานของชาวโปแลนด์ แต่ให้แหล่งที่มาของการโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รักชาติยูเครนและถูกใช้เป็นเหตุผลในการล้างแค้น ผู้นำ OUN-B สรุปสถานการณ์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1943 โดยกล่าวว่าฝ่ายบริหารของเยอรมัน "ใช้ Polaks ในการทำลายล้าง ในการตอบสนองเราทำลายพวกเขาอย่างไร้ความปราณี" [78]แม้จะมีการละทิ้งในเดือนมีนาคมและเมษายน 2486 ตำรวจช่วยยังคงเป็นยูเครนอย่างหนักและ Ukrainians ที่ให้บริการชาวเยอรมันยังคงดำเนินต่อไปความสงบของโปแลนด์และหมู่บ้านอื่น ๆ [138]

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2486 ทางการเยอรมันได้สั่งให้ชาวโปแลนด์ทั้งหมดออกจากหมู่บ้านและการตั้งถิ่นฐานและย้ายไปอยู่ในเมืองที่ใหญ่ขึ้น [ ต้องการการอ้างอิง ]

หน่วยพรรคพวกโซเวียตในพื้นที่รับทราบถึงการสังหารหมู่ วันที่ 25 พฤษภาคม 1943 ผู้บัญชาการกองกำลังโซเวียตพรรคของRivneพื้นที่เน้นในรายงานของเขาไปยังสำนักงานใหญ่ที่เจ็บแค้นยูเครนไม่ได้ยิงเสา แต่ตัดพวกเขาตายด้วยมีดและขวานกับการพิจารณาไม่มีอายุหรือเพศ [139]

จำนวนเหยื่อ
จอร์จ ลิเบอร์ นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า
ช่วงของการประมาณการเหล่านี้กว้างมากและต้องได้รับการปฏิบัติด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง... การแบ่งส่วนความแตกต่างระหว่างค่าประมาณที่สูงและต่ำ หรือใช้จำนวนพลเรือนที่ตกเป็นเหยื่อมากที่สุดในการหาเหตุผลเข้าข้างตนเองการเรียกร้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์.. ในแง่ของจำนวนเหยื่อชาวโปแลนด์และยูเครนที่เกี่ยวข้องกับจำนวนชาวโปแลนด์และยูเครนโดยรวมที่อาศัยอยู่ในภูมิภาค Kholm, Volhynia ตะวันตกและแคว้นกาลิเซียตะวันออก สงครามโปแลนด์ - ยูเครนครั้งนี้แสดงถึงความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในวงกว้างและรุนแรง ทั้ง OUN-B/UPA และ Home Army เพื่อขับไล่เพื่อนร่วมชาติของอีกฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งชนะและอีกฝ่ายหนึ่งแพ้ และทั้งสองฝ่ายต่างก็ทำความทารุณต่อพลเรือน [140]

ผู้เสียชีวิตชาวโปแลนด์
ยอดผู้เสียชีวิตในหมู่พลเรือนที่ถูกสังหารระหว่างการสังหารหมู่โวลฮีเนียยังอยู่ระหว่างการวิจัย อย่างน้อย 10% ของชาวโปแลนด์ใน Volhynia ถูก UPA สังหาร ดังนั้น "ผู้เสียชีวิตชาวโปแลนด์ประกอบด้วยประมาณ 1% ของประชากรก่อนสงครามของโปแลนด์ในดินแดนที่ UPA ใช้งานอยู่ และ 0.2% ของประชากรโปแลนด์ทั้งชาติพันธุ์ในยูเครนและโปแลนด์" [141] Łossowski เน้นว่าเอกสารไม่ได้สรุป ในหลายกรณี ไม่มีผู้รอดชีวิตคนใดสามารถให้การเป็นพยานได้ในภายหลัง[ ต้องการการอ้างอิง ]

การรุกรานของโปแลนด์ตะวันออกก่อนสงครามของโซเวียตและเยอรมัน การสังหารหมู่ของ UPA และการขับไล่ชาวโปแลนด์ออกจากสหภาพโซเวียตหลังสงครามมีส่วนทำให้การมีอยู่ของโปแลนด์ในภูมิภาคนั้นหายไปโดยเสมือนจริง บรรดาผู้ที่อยู่ทางด้านซ้าย Volhynia ส่วนใหญ่สำหรับจังหวัดใกล้เคียงของรินหลังจากที่สงครามรอดชีวิตเคลื่อนไปทางตะวันตกต่อไปยังดินแดนของLower Silesia เด็กกำพร้าชาวโปแลนด์จากโวลฮีเนียถูกเลี้ยงไว้ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหลายแห่ง โดยส่วนใหญ่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในเมืองคราคูฟ อดีตหมู่บ้านชาวโปแลนด์หลายแห่งในโวลฮีเนียและแคว้นกาลิเซียตะวันออกไม่มีอยู่แล้ว และหมู่บ้านที่หลงเหลืออยู่ในซากปรักหักพัง[ ต้องการการอ้างอิง ]

สถาบันการรำลึกถึงแห่งชาติประมาณการว่าชาวโปแลนด์ 100,000 คนถูกชาตินิยมยูเครนสังหาร (เหยื่อ 40,000–60,000 คนในโวลฮีเนีย, 30,000–40,000 คนในแคว้นกาลิเซียตะวันออก และอย่างน้อย 4,000 คนในเลสเซอร์โปแลนด์ รวมถึงมากถึง 2,000 คนในภูมิภาคเชล์ม) [2]สำหรับแคว้นกาลิเซียตะวันออก ค่าประมาณอื่นๆ อยู่ระหว่าง 20,000 ถึง 25,000, [142] 25,000 และ 30,000–40,000 [111] Niall Fergusonประเมินจำนวนเหยื่อชาวโปแลนด์ทั้งหมดใน Volhynia และ Eastern Galicia อยู่ระหว่าง 60,000 ถึง 80,000, [143] G. Rossolinski-Liebe : 70,000–100,000, [144] John P. Himka: 100,000. [7]ตามข้อมูลของ Motyka จากปี 1943 ถึง 1945 ในทุกพื้นที่ที่ครอบคลุมโดยความขัดแย้ง มีชาวโปแลนด์เสียชีวิตประมาณ 100,000 คน[145]ตามคำกล่าวของ Ivan Katchanovski นักประวัติศาสตร์ชาวยูเครน ระหว่าง 35,000 ถึง 60,000; "ขอบเขตล่างของการประมาณการเหล่านี้ [35,000] มีความน่าเชื่อถือมากกว่าการประมาณการที่สูงขึ้นซึ่งอยู่บนพื้นฐานของสมมติฐานที่ว่าประชากรโปแลนด์ในภูมิภาคนี้มีโอกาสน้อยที่จะพินาศหลายเท่าอันเป็นผลมาจากนโยบายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ของโปแลนด์และ เมื่อเทียบกับประชากรยูเครนของโวลฮีเนีย" [141] Władysław SiemaszkoและลูกสาวของเขาEwaได้บันทึก 33,454 เหยื่อชาวโปแลนด์ 18,208 ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามสกุล[146](ในเดือนกรกฎาคม 2010 Ewa ได้เพิ่มบัญชีเป็น 38,600 เหยื่อที่ถูกบันทึกไว้ โดย 22,113 คนรู้จักนามสกุล[147] ) ในการประชุมร่วมโปแลนด์-ยูเครนครั้งแรกที่Podkowa Leśnaซึ่งจัดเมื่อวันที่ 7-9 มิถุนายน 1994 โดยKarta Centerและการประชุมนักประวัติศาสตร์โปแลนด์-ยูเครนที่ตามมา โดยมีผู้เข้าร่วมชาวโปแลนด์และยูเครนเกือบ 50 คน ประมาณการว่าชาวโปแลนด์เสียชีวิต 50,000 คนในโวลฮีเนีย ตั้งรกรากอยู่[148]ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง[149] [ แหล่งเผยแพร่ด้วยตนเอง? ]ตามที่นักสังคมวิทยา Piotrowski, การกระทำ UPA ส่งผลให้จำนวนประมาณ 68,700 เสียชีวิตในWołyń Voivodeship [150] ต่อ Anders Rudlingระบุว่า UPA สังหารเสา 40,000–70,000 ตัวในพื้นที่ [28] การคาดคะเนที่รุนแรงบางอย่างทำให้จำนวนเหยื่อชาวโปแลนด์สูงถึง 300,000 คน [151] [ ตรวจสอบจำเป็น ]นอกจากนี้ตัวเลขรวมPolonized อาร์เมเนียฆ่าตายในการสังหารหมู่เช่นในKuty [152]การศึกษาจากปี 2011 อ้างว่ามีผู้เสียชีวิต 91,200 รายที่ยืนยันแล้ว 43,987 รายเป็นที่รู้จักในชื่อ [153]

ผู้เสียชีวิตชาวยูเครน
นักประวัติศาสตร์ทิโมธี สไนเดอร์พิจารณาว่ามีความเป็นไปได้ที่ UPA จะสังหารชาวยูเครนจำนวนมากพอๆ กับที่ฆ่าชาวโปแลนด์ เนื่องจากชาวยูเครนในท้องถิ่นที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบของลัทธิชาตินิยมของตนถือเป็นผู้ทรยศ[5]ภายในหนึ่งเดือนของการเริ่มต้นของการสังหารหมู่ หน่วยป้องกันตนเองของโปแลนด์ตอบสนองในลักษณะเดียวกัน ความขัดแย้งทั้งหมดส่งผลให้ชาวโปแลนด์แก้แค้นพลเรือนชาวยูเครน[5]จากข้อมูลของ Motyka จำนวนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อชาวยูเครนคือ 2,000–3,000 คนในโวลฮีเนีย และ 10,000-15,000 คนในทุกพื้นที่ที่ครอบคลุมโดยความขัดแย้ง[154] G. Rossolinski-Liebe กำหนดจำนวน Ukrainians ทั้งสมาชิก OUN-UPA และพลเรือนที่ถูกโปแลนด์สังหารระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็น 10,000–20,000 [144]

การบาดเจ็บล้มตายของชาวยูเครนซึ่งเกิดจากการลงทัณฑ์ของโปแลนด์คาดว่าจะมีจำนวน 2,000–3,000 คนในโวลฮีเนีย [28]ร่วมกับผู้ที่ถูกสังหารในพื้นที่อื่น ๆ ยูเครนได้รับบาดเจ็บระหว่าง 10,000 ถึง 12,000 [2]โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกาลิเซียตะวันออกและโปแลนด์ในปัจจุบัน จากข้อมูลของ Kataryna Wolczuk สำหรับทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง จำนวนผู้เสียชีวิตของยูเครนอยู่ที่ประมาณ 10,000 ถึง 30,000 คนระหว่างปี 1943 และ 1947 [155] Motyka ผู้เขียนเอกสารพื้นฐานเกี่ยวกับ UPA ระบุ[ ตามที่ใคร? ] [156]ไม่สนับสนุนการประเมินการบาดเจ็บล้มตายของยูเครน 30,000 คน [157]


ความรับผิดชอบ
องค์กรของยูเครน (อ้วน) ซึ่งกองทัพกบฎยูเครนได้กลายเป็นปีกติดอาวุธเลื่อนการกำจัดโดยการบังคับถ้าจำเป็นของการไม่ Ukrainians จากทรงกลมทางสังคมและเศรษฐกิจของอนาคตที่รัฐยูเครน [160]

องค์กรชาตินิยมยูเครนได้รับรองบัญญัติสิบประการของผู้รักชาติยูเครนในปี พ.ศ. 2472 ซึ่งคาดว่าสมาชิกทั้งหมดจะปฏิบัติตาม พวกเขากล่าวว่า "อย่าลังเลที่จะทำสิ่งที่อันตรายที่สุด" และ "ปฏิบัติต่อศัตรูในประเทศของคุณด้วยความเกลียดชังและโหดเหี้ยม" [161]

การตัดสินใจกวาดล้างชาติพันธุ์ในพื้นที่ทางตะวันออกของแม่น้ำบักถูกยึดครองโดยกองทัพผู้ก่อความไม่สงบยูเครนในช่วงต้นปี 2486 ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2486 OUN(B) (โดยเฉพาะMykola Lebed [162] ) ได้กำหนดโทษประหารชีวิตชาวโปแลนด์ทั้งหมดที่มีชีวิต ในอดีตทางตะวันออกของสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สอง และอีกไม่กี่เดือนต่อมา หน่วยท้องถิ่นของ UPA ได้รับคำสั่งให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นในไม่ช้า[163]การตัดสินใจกำจัดเสาของดินแดนกำหนดเส้นทางของเหตุการณ์ในอนาคต ตามคำบอกเล่าของทิโมธี สไนเดอร์การกวาดล้างทางชาติพันธุ์ของชาวโปแลนด์เป็นงานของกลุ่มหัวรุนแรง Bandera ของ OUN เท่านั้น แทนที่จะเป็นกลุ่ม Melnyk หรือองค์กรทางการเมืองหรือศาสนาอื่น ๆ ของยูเครน ผู้สืบสวนชาวโปแลนด์อ้างว่าผู้นำกลางของ OUN-B ได้ตัดสินใจในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 เพื่อขับไล่ชาวโปแลนด์ทั้งหมดออกจากโวลฮีเนียเพื่อให้ได้ "ดินแดนที่บริสุทธิ์ทางชาติพันธุ์" ในช่วงหลังสงคราม ในบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจนี้ ผู้สืบสวนชาวโปแลนด์ได้แยกแยะDmytro Klyachkivsky , Vasyl Ivakhov, Ivan Lytvynchuk และ Petro Oliynyk [164]

ความรุนแรงทางชาติพันธุ์รุนแรงขึ้นด้วยการหมุนเวียนของโปสเตอร์และแผ่นพับที่ยุยงให้ประชากรยูเครนสังหารชาวโปแลนด์และ "Judeo-Muscovites" [165] [166] [167]

Taras Bulba-Borovetsผู้ก่อตั้ง UPA วิจารณ์การโจมตีทันทีที่พวกเขาเริ่มต้น:

ขวานและไม้ตีลังกาเคลื่อนตัวไป ทั้งครอบครัวถูกฆ่าตายและถูกแขวนคอ และการตั้งถิ่นฐานในโปแลนด์ก็ถูกจุดไฟเผา "คนขวาน" เพื่อความอับอายขายเนื้อและแขวนคอผู้หญิงและเด็กที่ไม่มีที่พึ่ง .... โดยงานดังกล่าว Ukrainians ไม่เพียง แต่ทำประโยชน์ให้กับ SD [บริการรักษาความปลอดภัยของเยอรมัน] แต่ยังแสดงตนในสายตาของโลกด้วย คนป่าเถื่อน เราต้องคำนึงว่าอังกฤษจะชนะสงครามนี้อย่างแน่นอน และจะปฏิบัติต่อ "คนขวาน" และนักปราชญ์และผู้ก่อความไม่สงบในฐานะตัวแทนในการให้บริการการกินเนื้อคนของฮิตเลอร์ ไม่ใช่นักสู้ที่ซื่อสัตย์เพื่ออิสรภาพ ไม่ใช่ในฐานะผู้สร้างรัฐ [168]

ตามที่อัยการ Piotr Zając สถาบันการรำลึกถึงแห่งชาติของโปแลนด์ในปี 2546 ได้พิจารณาเหตุการณ์สามรูปแบบที่แตกต่างกันในการสอบสวน: [169]

  1. ตอนแรกชาวยูเครนวางแผนที่จะไล่ชาวโปแลนด์ออกไป แต่เหตุการณ์ต่างๆ ก็หลุดมือไปตามกาลเวลา
  2. การตัดสินใจกำจัดชาวโปแลนด์มาจากสำนักงานใหญ่ OUN-UPA โดยตรง
  3. การตัดสินใจกำจัดชาวโปแลนด์อาจเกิดจากผู้นำ OUN-UPA บางคนในช่วงที่เกิดความขัดแย้งภายในองค์กร
IPN สรุปว่ารุ่นที่สองน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด [ ต้องการการอ้างอิง ]

การกระทบยอด
The question of official acknowledgment of the ethnic cleansing remains a matter of discussion between Polish and Ukrainian historians and political leaders. Efforts are ongoing to bring about reconciliation between Poles and Ukrainians regarding the events. The Polish side has made steps towards reconciliation; in 2002 President Aleksander Kwaśniewski expressed regret over the resettlement program, known as Operation Vistula: "ปฏิบัติการ Vistula ที่น่าอับอายเป็นสัญลักษณ์ของการกระทำที่น่ารังเกียจซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่คอมมิวนิสต์เพื่อต่อต้านพลเมืองโปแลนด์ที่มาจากยูเครน" เขาระบุว่าข้อโต้แย้งที่ว่า "ปฏิบัติการวิสตูลาเป็นการแก้แค้นสำหรับการสังหารชาวโปแลนด์โดยกองทัพผู้ก่อความไม่สงบในยูเครน" ในปี พ.ศ. 2486-2487 เป็น "ความผิดพลาดและไม่อาจยอมรับได้ทางจริยธรรม" โดยอ้าง "หลักการของความผิดร่วมกัน" [170]รัฐบาลยูเครนยังไม่ได้ออกคำขอโทษ[171] [172]เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 ประธานาธิบดี Aleksander Kwaśniewski และLeonid Kuchmaเข้าร่วมพิธีที่จัดขึ้นในหมู่บ้าน Volhynian แห่ง Pavlivka (เดิมชื่อPoryck ), [173]ที่ซึ่งพวกเขาเปิดเผยอนุสาวรีย์เพื่อการปรองดอง ประธานาธิบดีโปแลนด์กล่าวว่าไม่ยุติธรรมที่จะตำหนิทั้งประเทศยูเครนสำหรับการกระทำที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้: "ประเทศยูเครนไม่สามารถตำหนิได้สำหรับการสังหารหมู่ที่กระทำต่อประชากรโปแลนด์ ไม่มีประเทศใดที่มีความผิด.... มันเป็นเสมอ เฉพาะบุคคลที่รับผิดชอบในการก่ออาชญากรรม". [174]ในปี 2560 นักการเมืองยูเครนได้สั่งห้ามการขุดซากของเหยื่อชาวโปแลนด์ในยูเครนที่ถูก UPA สังหารเพื่อแก้แค้นให้โปแลนด์รื้อถอนอนุสาวรีย์ UPA ที่ผิดกฎหมายในหมู่บ้าน Hruszowice [175] [176] ในปี 2018 ประธานาธิบดีโปแลนด์Andrzej Dudaปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในพิธีร่วมฉลองครบรอบ 75 ปีของการสังหารหมู่กับประธานาธิบดียูเครนPetro Poroshenkoและเดินทางไป Lutsk เพื่อจัดงานแยกต่างหาก [177] [ ต้องการคำชี้แจง ]

การจำแนกการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
นักประวัติศาสตร์ Grzegorz Motyka ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปัญหาโปแลนด์-ยูเครนกล่าวว่า “แม้ว่าการกระทำที่ต่อต้านโปแลนด์จะเป็นการกวาดล้างชาติพันธุ์ แต่ก็เป็นไปตามคำจำกัดความของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วย” [178]นักประวัติศาสตร์Per Anders Rudlingระบุว่าเป้าหมายของ OUN-UPA ไม่ใช่การทำลายล้างชาวโปแลนด์ แต่เป็นการกวาดล้างทางชาติพันธุ์ของภูมิภาคเพื่อให้มีสถานะที่เป็นเนื้อเดียวกันทางชาติพันธุ์ เป้าหมายคือเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำในปี 1918–20 เมื่อโปแลนด์บดขยี้เอกราชของยูเครนในขณะที่กองทัพบ้านเกิดของโปแลนด์พยายามฟื้นฟูสาธารณรัฐโปแลนด์ในเขตแดนก่อนปี 1939 (28)ตามคำกล่าวของ Ivan Katchanovski การสังหารหมู่ชาวโปแลนด์ใน Volhynia โดย UPA ไม่สามารถจัดว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่า UPA ตั้งใจที่จะทำลายล้างทั้งส่วนหรือส่วนที่สำคัญของประเทศโปแลนด์ การกระทำของ UPA ส่วนใหญ่จำกัดเพียง พื้นที่ขนาดเล็กและจำนวนชาวโปแลนด์ที่ถูกสังหารนั้นเป็นส่วนน้อยของประชากรโปแลนด์ก่อนสงครามในดินแดนที่ UPA ดำเนินการและของประชากรโปแลนด์ทั้งหมดในโปแลนด์และยูเครน[141] Grzegorz Rossoliński-Liebeผู้เขียนชีวประวัติทางวิชาการของ Bandera ให้เหตุผลว่าการสังหารเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มากกว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Rossoliński-Liebe มองว่า "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ในบริบทนี้เป็นคำที่บางครั้งใช้ในการโจมตีทางการเมืองในยูเครน[179]จาเร็ด แมคไบรด์ ที่เขียนไว้ในSlavic Reviewในปี 2016 มี "ฉันทามติทางวิชาการว่านี่เป็นกรณีของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อเทียบกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" [18]

มุมมองโปแลนด์

อนุสรณ์อเวนิวอ้วน-UPA การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ตกเป็นเหยื่อตั้งอยู่ในเมืองของเลก , โปแลนด์
นักวิชาการชาวโปแลนด์จำนวนหนึ่งระบุว่าอาชญากรรมของยูเครนเลวร้ายยิ่งกว่าการทารุณกรรมของนาซีหรือโซเวียตในแง่ของความโหดร้าย แม้ว่าจะไม่ถึงขนาด เนื่องจากเหยื่อจำนวนมากถูกทรมานและทำให้เสียหาย คนอื่นๆ รวมทั้งWaldemar Rezmerใช้คำว่า "Zagłada" ซึ่งเดิมใช้กับ Final Solution เพื่ออธิบายการสังหารหมู่ของชาวโปแลนด์ใน Volhynia และ Eastern Galicia [180] [181]

สถาบันชาติจำสอบสวนการก่ออาชญากรรมโดย UPA กับโปแลนด์ใน Volhynia กาลิเซียและสงครามรินวอยโวเดและเก็บรวบรวมกว่า 10,000 หน้าของเอกสารและโปรโตคอล การสังหารหมู่ได้รับการอธิบายโดยอัยการของคณะกรรมการ Piotr Zając ว่ามีลักษณะของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ : "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาชญากรรมที่กระทำต่อประชาชนชาวโปแลนด์มีลักษณะของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" [182]นอกจากนี้ สถาบันการรำลึกถึงแห่งชาติในบทความที่ตีพิมพ์ระบุว่า:

การสังหารหมู่ในโวลฮีเนียนมีลักษณะของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทั้งหมดที่ระบุไว้ในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันและลงโทษอาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พ.ศ. 2491 ซึ่งกำหนดว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นการกระทำ "โดยมีเจตนาที่จะทำลายทั้งหมดหรือบางส่วน ชาติ ชาติพันธุ์ กลุ่มชาติพันธุ์หรือศาสนา เป็นต้น” [183]

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เซจม์แห่งสาธารณรัฐโปแลนด์มีมติเป็นเอกฉันท์เกี่ยวกับ "ชะตากรรมอันน่าสลดใจของชาวโปแลนด์ในดินแดนชายแดนตะวันออก" ข้อความของมติระบุว่ากรกฎาคม 2552 เป็นวันครบรอบ 66 ปี "การเริ่มต้นปฏิบัติการต่อต้านโปแลนด์โดยองค์กรชาตินิยมยูเครนและกองทัพผู้ก่อความไม่สงบยูเครนในดินแดนตะวันออกของโปแลนด์ - การสังหารหมู่ที่มีลักษณะการกวาดล้างชาติพันธุ์ที่มีเครื่องหมายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" [184]เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 กลุ่ม Sejm ได้มีมติให้วันที่ 11 กรกฎาคมเป็นวันแห่งความทรงจำแห่งชาติเพื่อเป็นเกียรติแก่เหยื่อชาวโปแลนด์ที่ถูกสังหารในโวลฮีเนียและแคว้นกาลิเซียตะวันออกโดยชาตินิยมชาวยูเครน และเรียกอย่างเป็นทางการว่าการสังหารหมู่เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ [16] [17]

มุมมองยูเครน
ในยูเครน เหตุการณ์นี้เรียกว่า "โศกนาฏกรรมโวลิน" [185] [186]ความครอบคลุมในหนังสือเรียนอาจสั้นและ/หรือไพเราะ[187]นักประวัติศาสตร์ชาวยูเครนบางคนยอมรับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ให้เหตุผลว่ามันเป็น "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทวิภาคี" และ Home Army มีหน้าที่รับผิดชอบในการก่ออาชญากรรมต่อพลเรือนชาวยูเครนที่มีลักษณะเท่าเทียมกัน[180]

หลาย Ukrainians รับรู้ความละเอียด 2016 เป็น "ท่าทางต่อต้านยูเครน" ในบริบทของวลาดิมีร์ปูตินของความพยายามที่จะใช้ปัญหา Volhynia จะแบ่งประเทศโปแลนด์และยูเครนในบริบทของสงครามรัสเซียยูเครน ในเดือนกันยายน 2559 Verkhovna Radaได้ลงมติประณาม "การประเมินทางการเมืองด้านเดียวของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์" ในโปแลนด์ [180]ตามที่นักประวัติศาสตร์ชาวยูเครนAndrii Portnovระบุว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากชาวโปแลนด์ที่ถูกขับไล่ออกจากทางตะวันออกและโดยบางส่วนของการเมืองฝ่ายขวาของโปแลนด์

ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
ในปี 2009 โปแลนด์ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์สารคดี bylo miasteczko sobie ...ถูกผลิตโดยอดัม Kruk สำหรับสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศโปแลนด์ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของการสังหารหมู่ Kisielin [188]

การสังหารหมู่ของโปแลนด์ใน Volhynia เป็นภาพในหนัง 2016 Volhyniaซึ่งกำกับการแสดงโดยบทโปแลนด์และผู้กำกับภาพยนตร์โวจเจคสมาร์โซ สกี


หมายเหตุ
  1. อรรถเป็น ข สไนเดอร์, ทิโมธี (1999). " "การแก้ไขปัญหายูเครนและเมื่อทุก ": เผ่าพันธุ์ของ Ukrainians ในโปแลนด์ 1943-1947" วารสารการศึกษาสงครามเย็น . 1 (2): 86–120. ดอย : 10.1162/15203979952559531 . S2CID 57564179 .
  2. ^ a b c การ สังหารหมู่ Volhynia "ผลกระทบของการสังหารหมู่โวลฮีเนียน" . การสังหารหมู่โวลฮีเนีย. สืบค้นเมื่อ2018-03-10 .
  3. ^ "การปะทะกันของเหยื่อ: การสังหารหมู่โวลฮีเนียในความทรงจำของโปแลนด์และยูเครน" .
  4. ^ การ สังหารหมู่, โวลฮีเนีย. “การสังหารหมู่โวลฮีเนียนคืออะไร?” . การสังหารหมู่โวลฮีเนีย. สืบค้นเมื่อ2018-03-10 .
  5. อรรถa b c d ทิโมธี สไนเดอร์ "วีรบุรุษฟาสซิสต์ในเคียฟประชาธิปไตย" . นิวยอร์กทบทวนหนังสือNYR รายวัน แบนเดราตั้งเป้าที่จะทำให้ยูเครนเป็นเผด็จการฟาสซิสต์พรรคเดียวโดยไม่มีชนกลุ่มน้อยระดับชาติ.... พรรคพวกของ UPA ได้สังหารชาวโปแลนด์หลายหมื่นคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ชาวยิวบางคนที่หลบภัยกับครอบครัวชาวโปแลนด์ก็ถูกฆ่าเช่นกัน
  6. ^ "Wołyń 1943 - Rozliczenie" (PDF) , Konferencje IPN , 41 : 27-30 2010
  7. ^ a b เจ.พี.ฮิมกะ. การแทรกแซง: ท้าทายตำนานของประวัติศาสตร์ศตวรรษที่ยี่สิบยูเครน มหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตา. 28 มีนาคม 2554 น. 4
  8. ^ Ahonen, Pertti (2008) Peoples on the Move: นโยบายการย้ายประชากรและการล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองและผลที่ตามมา วิชาการบลูมส์เบอรี่. NS. 99.
  9. ↑ สไนเดอร์, ทิโมธี (2003). "สาเหตุของการล้างเผ่าพันธุ์ยูเครน-โปแลนด์ 2486" . อดีต&ปัจจุบัน . 179 (179): 197–234. ดอย : 10.1093/ที่ผ่านมา/179.1.197 . ISSN 0031-2746 . JSTOR 3600827
  10. ^ เฮนริกKomańskiและคซปานซีเคีอร์กา, Ludobójstwo dokonane przez nacjonalistówukraińskich na Polakach W województwie tarnopolskim W latach 1939-1946 (2006) เล่ม 2, 1182 หน้าที่หน้า 203
  11. ^ Michał Klimecki (2013) "การมีส่วนร่วมการต่อสู้ของโปแลนด์ที่ 27 กองทหารราบของกองทัพ Volhynia บ้านกับ UPA" (PDF)สถาบันระลึกชาติ. 5/8 ในรูปแบบ PDF เก็บถาวรจากต้นฉบับ(PDF)เมื่อ 2016-08-12 กองกำลังโปแลนด์เข้าปะทะกับกองทัพกบฏยูเครนในการดำเนินการต่อสู้เชิงรุกหลายครั้ง การเผชิญหน้าครั้งแรกเกิดขึ้นในวันที่ 10–15 มกราคม ค.ศ. 1944 อ้างอิงวารสารต้องการ|journal=( ความช่วยเหลือ )
  12. ^ สไนเดอร์ 2003 , p. 175 . ข้อผิดพลาด sfn: หลายเป้าหมาย (2×): CITEREFSnyder2003 ( help )
  13. ^ Burds เจฟฟรีย์ (1999) "ความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความทิโมธีไนเดอร์ 'ในการแก้ไขคำถามยูเครนทันทีและสำหรับทั้งหมด: เผ่าพันธุ์ของ Ukrainians ในโปแลนด์ 1943-1947 ' "1 (2). วารสารการศึกษาสงครามเย็น. (1) ลำดับเหตุการณ์ยิ่งฉันศึกษาแคว้นกาลิเซียมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งสรุปได้ว่า *ประเด็นที่กำหนดไม่ใช่การยึดครองและสงครามของโซเวียตหรือเยอรมัน แต่เป็นสงครามกลางเมืองระหว่างชาวยูเครนและชาวโปแลนด์ อ้างอิงวารสารต้องการ|journal=( ความช่วยเหลือ )
  14. ^ Piotr Zajac "Prześladowanialudnościnarodowości Polskiej na terenie Wołynia W latach 1939-1945 - ocena karnoprawna zdarzeń W oparciu o ustalenia śledztwaOKŚZpNP W Lublinie" [ใน:] Zbrodnie przeszłości Opracowania ฉัน materiały prokuratorów IPN , t. 2: Ludobójstwo สีแดง Radosław Ignatiew, Antoni Kura, Warszawa 2008, หน้า 34-49 Quote="W świetle przedstawionych wyżej ustaleń nie ulega wątpliwości, że zbrodnie, których dopuszczono się wobec ludności narodowości polskiej, noszą charakter niechódwadódlega"
  15. ^ PolskieRadio.pl (2 มิถุนายน 2013), Prezes IPN: zbrodnia na Wolyniu to ludobojstwo.
  16. ^ ข โปแลนด์ "วุฒิสภาตระหนัก Volhynia การสังหารหมู่ที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์". http://tass.ru/en/world/887135 http://tass.ru/en/world/887135
  17. ↑ a b Radio Poland "ส.ส.โปแลนด์ใช้มติเรียกการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในทศวรรษที่ 1940" http://www.thenews.pl/1/10/Artykul/263005,Polish-MPs-adopt- resolution-calling-1940s-massacre-genocide
  18. อรรถเป็น ข แมคไบรด์, จาเร็ด (2016). "ชาวนากลายเป็นผู้กระทำผิด: OUN-UPA และการล้างเผ่าพันธุ์ของ Volhynia, 1943–1944" สลาฟรีวิว75 (3): 630–654. ดอย : 10.5612/slavicreview.75.3.0630 . S2CID 165089612 .
  19. ↑ a b ทิโมธี สไนเดอร์. (2003) สาเหตุของการชำระล้างชาติพันธุ์ยูเครน - โปแลนด์ 2486 สังคมในอดีตและปัจจุบัน: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด NS. 202
  20. ↑ ทิโมธี สไนเดอร์. (2005). ภาพวาดจากสงครามลับ: ภารกิจโปแลนด์ศิลปินเพื่อปลดปล่อยโซเวียตยูเครน นิวเฮเวน: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล. น. 32–33, 152–162
  21. ^ Rudling, Per A. (พฤศจิกายน 2554). "OUN, UPA และความหายนะ: การศึกษาในการผลิตตำนานทางประวัติศาสตร์" หมายเลข 2107 มหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก: The Carl Beck Papers ในการศึกษารัสเซียและยุโรปตะวันออก NS. 3 (6 จาก 76 ใน PDF) ISSN 0889-275X .
  22. ^ a b c Subtelny, Orest (2000). ยูเครน ประวัติศาสตร์ . สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโตรอนโต. NS. 430 .
  23. ↑ ตำรวจยังรายงานว่ามีคอมมิวนิสต์ได้รับบาดเจ็บ 20 คนในปี 2478 และในคดีหนึ่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อยเจ็ดคนขณะถูกโจมตีโดยกลุ่มใหญ่ที่ติดอาวุธเคียวและกระบอง คอมมิวนิสต์ตอบโต้ผู้ที่ล้มเหลวในการประท้วง จาก: ทิโมธี สไนเดอร์ (2007). ภาพวาดจากสงครามลับ: ภารกิจโปแลนด์ศิลปินเพื่อปลดปล่อยโซเวียตยูเครน สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล . น. 137, 142.
  24. ^ a b c Timothy Snyder. (2005). Sketches from a Secret War: A Polish Artist's Mission to Liberate Soviet Ukraine. New Haven: Yale University Press. pp.167
  25. ^ Subtelny, Orest. (1988). Ukraine: A History. Toronto: University of Toronto Press, pg. 432.
  26. ^ Lidia Głowacka, Andrzej Czesław Żak, Osadnictwo wojskowe na Wolyniu w latach 1921–1939 w swietle dokumentów centralnego archiwum wojskowego Archived 2014-08-15 at the Wayback Machine (Military Settlers in Volhynia–39, PDF 1921. 143 (4/25 ใน PDF), 153 (14/25 ใน PDF) "Mimo ogromnych trudności, kryzysu Gospodarczego na początkuลาดพร้าว 30. ฉันzłożonej sytuacji politycznej na TYM terenie, osadnicy zdołalizagospodarować znaczne obszary ziemi ฉันstworzyć od podstaw wiele osad Z nowoczesną -jak na หนี้ czasy -infrastrukturą. W 1939 r. na Wołyniumieszkało okolo 17.7 tys. osadników wojskowych และ cywilnych w ponad 3,500 osad"
  27. ^ Subtelny, O. (1988). ยูเครน: ประวัติศาสตร์ . โตรอนโต: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโตรอนโต, หน้า 429 ISBN 0-8020-5808-6
  28. ^ a b c d e f A. รัดลิ่ง . ทฤษฎีและการปฏิบัติ. ตัวแทนประวัติศาสตร์สงครามบัญชีของกิจกรรมของอ้วน-UPA (ที่องค์กรของยูเครนเจ็บแค้น-กองทัพกบฎยูเครน) กิจการยิวยุโรปตะวันออก ฉบับที่ 36. ฉบับที่2. ธันวาคม 2549 หน้า 163–179
  29. ^ Motyka, Ukrainska partyzantka ...พี 58
  30. ^ ลอบสังหารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบรอนิสลาฟเพีรแั คกี้ หรือของลูกน้องของความร่วมมือโปแลนด์ยูเครนที่เงียบสงบเป็นเทดัซโฮโลว์โก้เป็นสองตัวอย่างของอ้วน-B แคมเปญการก่อการร้าย
  31. ↑ ในเหตุการณ์ดังกล่าวหลายครั้ง สันตะปาปาเอกอัครสมณทูตในกรุงวอร์ซอรายงานว่า กลุ่มคนร้ายชาวโปแลนด์โจมตีนักเรียนชาวยูเครนในหอพักของพวกเขาภายใต้สายตาของตำรวจโปแลนด์ หญิงชาวยูเครนที่กรีดร้องถูกโยนเข้าไปในร้านของยูเครนที่ถูกไฟไหม้โดยกลุ่มคนร้ายชาวโปแลนด์ และโรงเรียนสอนศาสนาของยูเครนถูกทำลาย ในระหว่างที่รูปเคารพทางศาสนาถูกทำลายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 8 รายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ดู Burds 1999
  32. อรรถเป็น ข Burds 1999 .
  33. ^ (ยูเครน) Oleksandr Derhachov (บรรณาธิการ), "มลรัฐยูเครนในศตวรรษที่ยี่สิบ: ประวัติศาสตร์และการวิเคราะห์ทางการเมือง" ปี 1996 เคียฟ ISBN 966-543-040-8 ส่วนที่ 2 หมวดย่อย 2
  34. ^ สไนเดอร์ 2003 , p. 144. sfn error: หลายเป้าหมาย (2×): CITEREFSnyder2003 ( help )
  35. ^ Сивицький, М. Записки сірого волиняка Львів 1996 с.184
  36. ^ Orest Subtelny . (1988). ยูเครน: ประวัติศาสตร์. โตรอนโต: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโตรอนโต. NS. 444.
  37. ↑ a b c d e f g h i Snyder 2001 .
  38. ^ Oleksandr Zinchenko (2 ธันวาคม 2010)"Година папуги" майора Людвіка Домоня["ชั่วโมงแห่งนกแก้ว" Major Ludwig Domont]. istpravda.com.ua (ยูเครน) สืบค้นเมื่อ8 เมษายน 2558 .
  39. ^ ของโปแลนด์หายนะ Tadeusz Piotrowski 1998 ISBN 0-7864-0371-3พี 13
  40. ^ ขคงจฉ แมทธิวเจ Gibney, แรนดัลแฮนเซนตรวจคนเข้าเมืองและโรงพยาบาล , หน้า 204 หนังสือ.google.com สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  41. ^ จอห์น อาร์มสตรอง (1963) ชาตินิยมยูเครน . นิวยอร์ก: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย, หน้า 65
  42. ^ Orest Subtelny . (1988). ยูเครน: ประวัติศาสตร์ . โทรอนโต: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโตรอนโต หน้า 455–457
  43. ↑ แมทธิว เจ. กิบนีย์, แรนดัลล์ แฮนเซ่น. การย้ายถิ่นฐานและลี้ภัย: ตั้งแต่ 1900 ถึงปัจจุบัน . เอบีซี-คลีโอ 2548 น. 205.
  44. ^ อีวาน Katchanovski การเมืองของสงครามโลกครั้งที่สองในยูเครนร่วมสมัย 2013. p. 17.
  45. ^ ดร. แฟรงค์ เกรลก้า (2005). ยูเครน มิลิซ Die ukrainische Nationalbewegung unter deutscher Besatzungsherrschaft 1918 และ 1941/42 . มหาวิทยาลัยยุโรปไวอาดรินา : Otto Harrassowitz Verlag. น. 283–284. ISBN 3447052597. สืบค้นเมื่อ17 กรกฎาคม 2558 .
  46. ↑ ทิโมธี สไนเดอร์. (2003). สาเหตุของการกวาดล้างชาติพันธุ์ยูเครน - โปแลนด์ 2486 สังคมในอดีตและปัจจุบัน: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด NS. 207
  47. ^ สไนเดอร์ 2003 , p. 163. sfn error: หลายเป้าหมาย (2×): CITEREFSnyder2003 ( help )
  48. ^ สไนเดอร์ 2003 , p. 162. sfn error: หลายเป้าหมาย (2×): CITEREFSnyder2003 ( help )
  49. ^ สไนเดอร์ 2003 , pp. 165,166,168. ข้อผิดพลาด sfn: หลายเป้าหมาย (2×): CITEREFSnyder2003 ( help )
  50. ^ จอห์น อาร์มสตรอง (1963) ชาตินิยมยูเครน . นิวยอร์ก: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย หน้า 21–22
  51. ↑ วิลสัน, เอ. (2000). Ukrainians ที่: สัญชาติที่ไม่คาดคิด นิวเฮเวน: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล. ISBN 9780300083552.
  52. ^ พอลโรเบิร์ตมากอก ซี่ (1996). ประวัติศาสตร์ของประเทศยูเครน โตรอนโต: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโตรอนโต, พี. 621
  53. ↑ ทฤษฎีและคำสอนของผู้รักชาติยูเครนมีความใกล้ชิดกับลัทธิฟาสซิสต์มาก และในบางแง่มุม เช่น การยืนกรานใน 'ความบริสุทธิ์ทางเชื้อชาติ' ก็ยังนอกเหนือไปจากหลักคำสอนฟาสซิสต์ดั้งเดิมอีกด้วย จอห์น เอ. อาร์มสตรอง. ชาตินิยมยูเครน (1980) สำนักพิมพ์วิชาการยูเครน. NS. 280.
  54. ^ Bohdan Budurowycz. (1989). Sheptytski and the Ukrainian National Movement after 1914 (chapter). In Paul Robert Magocsi (ed.). Morality and Reality: The Life and Times of Andrei Sheptytsky. Edmonton, Alberta: Canadian Institute of Ukrainian Studies, University of Alberta. p. 57.
  55. ^ a b Snyder 2003, pp. 164-5. sfn error: multiple targets (2×): CITEREFSnyder2003 (help)
  56. ^ Taras Bulba-Borovets เขียน: "ขวานและตีได้ไปในการเคลื่อนไหวทั้งครอบครัวจะเชือดและแขวนคอและการตั้งถิ่นฐานโปแลนด์ตั้งอยู่บนไฟ 'ผู้ชายขวาน' เพื่อความอับอายขายหน้าเขียงและแขวนผู้หญิงที่พึ่งและเด็ก.. .... โดยงานดังกล่าว Ukrainians ไม่เพียง แต่สนับสนุน SD [บริการรักษาความปลอดภัยของเยอรมัน] แต่ยังแสดงตนในสายตาของโลกในฐานะคนป่าเถื่อน เราต้องคำนึงว่าอังกฤษจะชนะสงครามนี้อย่างแน่นอนและมัน จะปฏิบัติต่อ 'คนขวาน' และนักปราชญ์และผู้ก่อความไม่สงบเหล่านี้ในฐานะตัวแทนในการให้บริการของการกินเนื้อคนของฮิตเลอร์ ไม่ใช่นักสู้ที่ซื่อสัตย์เพื่อเสรีภาพของพวกเขา ไม่ใช่ในฐานะผู้สร้างรัฐ” จอห์น พอล ฮิมก้า.ยูเครน อดีต และ อนาคต . 20 กันยายน 2553 สืบค้นเมื่อ 19 มกราคม 2556
  57. ^ a b c d e Snyder 2003, p. 168. sfn error: multiple targets (2×): CITEREFSnyder2003 (help)
  58. ↑ "จากมุมมองของโปแลนด์ ความพ่ายแพ้ของทั้งเยอรมนีและรัสเซียจะเปิดสนามทางทิศตะวันออก เร็วเท่าที่ปี 1941 เป็นที่เข้าใจกันว่าการผงาดต่ออำนาจของเยอรมันในอนาคตจะเกี่ยวข้องกับการทำสงครามกับชาวยูเครนสำหรับแคว้นกาลิเซียตะวันออก และอาจ โวลฮีเนียก็จะถูกดำเนินคดีหากเป็นไปได้ในฐานะ "การยึดอาวุธ" อย่างรวดเร็ว"[15] แผนการของ AK สำหรับการเพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในปี 1942 ได้คาดการณ์ถึงการทำสงครามกับชาวยูเครนในดินแดนยูเครนทางชาติพันธุ์ที่อยู่ภายในเขตแดนก่อนสงครามของโปแลนด์ โดย ค.ศ. 1942 การก่อตัวของหน่วยพรรคพวกโปแลนด์ขนาดใหญ่ทางตะวันออกไม่สามารถเตือนชาวยูเครนถึงการอ้างสิทธิ์ในดินแดนโปแลนด์ได้" ( Snyder 2001 )
  59. ^ a b c Christoph Mick. "Incompatible experiences: Poles, Ukrainian and Jews under Soviet and German occupation 1939–44". Journal of Contemporary History. 2011. Vol. 46, Issue 2. pp. 355, 357, 360
  60. ^ Christoph Mick. (2015). Lemberg, Lwow, Lviv, 1914–1947: Violence and Ethnicity in a Contested City. West Lafayette, Indiana: Purdue University Press, p. 319
  61. ^ a b Ray Brandon; Wendy Lower (2008). The Shoah in Ukraine: History, Testimony, Memorialization. Indiana University Press. p. 102. ISBN 9780253001597.
  62. ^ Sowa, "Stosunki ...", p. 171
  63. ^ เฟลิคส์ Trusiewicz, "Zbrodnie - ludobójstwo dokonane na ludności Polskiej W powiecie โชค woj wołyńskie w, latach 1939-1944, CZ 1.."ใน "นาrubieży" NR 5 1997, หน้า 36-39
  64. ^ สไนเดอร์ 2003 , p. 169. sfn error: หลายเป้าหมาย (2×): CITEREFSnyder2003 ( help )
  65. ^ โซวะ "สโตซุงกิ ..." , พี. 176
  66. ^ Motyka "Ukrainska partyzantka ..." พี 190
  67. ^ Od เดินทำludobójstwa , Ewa Siemaszko, Rzeczpospolita, 2008/07/10
  68. ^ ข วลาดิสลาฟฟิลาร์ , Wydarzenia Wołyńskie 1942-1944
  69. ^ "Wołyńskie inferno (ในภาษาโปแลนด์)" . rzeczpospolita.pl[ ลิงค์เสียถาวร ]
  70. ^ Tadeusz Piotrowski :การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และกู้ภัยใน Wolyn: ความทรงจำของยูเครนชาติประจำชาติทำความสะอาดผิวหน้ารณรงค์ต่อต้านโปแลนด์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง , McFarland & Company, 2000, ISBN 0-7864-0773-5
  71. ^ ข Piotr Zajac โปแลนด์สถาบันชาติจำ , Referat dotyczącyustaleńśledztwa W sprawie zbrodni popełnionych przez nacjonalistówukraińskich na na Wołyniuludnościnarodowości Polskiej W latach 1939-1945 (โปแลนด์)
  72. ↑ ทิโมธี สไนเดอร์, The Causes of Ukrainian-Polish Ethnic Cleansing 1943, p. 220
  73. ^ G. Motyka, "Ukrainska partyzantka...", p.316-317
  74. ^ Wołyń - Janowa Dolina Wolyn.ovh.org. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  75. ^ Bogusławลาปาซ Słowowstępne [ใน:] Prawda historyczna prawda polityczna W naukowych badaniach Ludobójstwo na Kresach południowo-wschodniej Polski w latach 1939–1946 , Bogusław Paź (red.), Wrocław 2011, หน้า 12
  76. ^ กรัม Motyka "Ukrainska partyzantka ...", p.315
  77. ^ Katarzyna Skrzydłowska-Kalukin (19 มิถุนายน 2016) "มันเป็นปาฏิหาริย์ที่ฉันมีชีวิตอยู่" . Wprost. เก็บจากต้นฉบับเมื่อ 17 กรกฎาคม 2559
  78. ↑ a b Snyder 2003 , pp. 172-3. ข้อผิดพลาด sfn: หลายเป้าหมาย (2×): CITEREFSnyder2003 ( help )
  79. ^ ข กรัม Motyka "Ukrainska partyzantka ...", p.321
  80. ^ Tadeusz Piotrowski ,ความหายนะของโปแลนด์ จัดพิมพ์โดย McFarland หน้า 247
  81. ^ วลาดิสลาฟฟิลาร์ , Wydarzenia wołyńskie 1939-1944 Wydawnictwo Adam Marszałek. Toruń 2008 ISBN 978-83-7441-884-3 , Antypolskie akcje nacjonalistów ukraińskichจาก Przed Akcją Wisła był Wołyń , วอร์ซอ, 1997
  82. ^ เฟลิคส์ Budzisz, วันแห่งการไว้ทุกข์ใน Kresy, Przeglad สัปดาห์หมายเลข 28/2008
  83. ^ กรัม Motyka "Ukrainska partyzantka ...", p.327
  84. ^ BożenaGórska "Krzemieńczanin", วอร์ซอ 2008 p.121
  85. ^ "Rzeź wołyńska i jej apogeum: krwawa niedziela 11 lipca '43" , ใน: Gazetakrakowska.pl
  86. ^ a b c d www.lwow.home.pl . www.lwow.home.pl. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  87. ^ สมาคมนโยบายต่างประเทศ: กลางและยุโรปตะวันออก | CE ยุโรป Fpa.org สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  88. ↑ สถาบันประวัติศาสตร์ยูเครน, สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งยูเครน,องค์การชาตินิยมยูเครนและกองทัพกบฏยูเครน , บทที่ 11, หน้า. 24
  89. ↑ คริสตอฟ มิก. (2015). Lemberg, Lwow, Lviv, 1914–1947: ความรุนแรงและเชื้อชาติในเมืองที่มีการโต้แย้ง West Lafayette, Indiana: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย Purdue NS. 315
  90. ^ Antypolskie akcje nacjonalistówukraińskich Lwow.home.pl. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  91. ^ Tadeusz Piotrowski (1998). ความหายนะของโปแลนด์ หน้า 247
  92. ^ สไนเดอร์ 2003 , p. 176. sfn error: หลายเป้าหมาย (2×): CITEREFSnyder2003 ( help )
  93. ^ เจกอรซ์โมตีิกา, Ukrainska partyzantka 1942-1960 พี 383
  94. ^ นอร์แมนเดวีส์ - Teksty - อเมริกาใต้ Davies.pl สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  95. ^ ม.ค. Zaleski, Kronika życia, Cracov ปี 1999 หน้า 29, อ้างใน: เทดัซอิซาโควิกซ์, Przemilczane ludobójstwo na Kresach, Cracov 2008 p.88
  96. ^ ประวัติศาสตร์ Buczacz ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ยกมาจากนอร์แมนเดวีส์ (1996), ยุโรป: ประวัติศาสตร์ Shtetlinks.jewishgen.org. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  97. ^ (โปแลนด์) Po Polakach pozostałymogiły ... - Rzeczpospolita อาร์พีพี สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  98. อรรถa b c สถาบันประวัติศาสตร์ยูเครน, Academy of Sciences of Ukraine, Organization of Ukraine Nationalists and the Ukrainian Insurgent Army , บทที่ 5, p. 283
  99. ^ ข (โปแลนด์) Bogusława Marcinkowska สถาบันชาติจำ, Ustalenia wynikające ZE śledztwa W sprawie zbrodni ludobójstwa funkcjonariuszy เอสเอส "Galizien" i nacjonalistówukraińskich na Polakach W Hucie Pieniackiej 28 Lutego 1944 Roku
  100. ^ (ในภาษาโปแลนด์) [1]
  101. ^ Mieczyslaw Juchniewicz '' Polacy W radzieckim ruchu podziemnym I partyzanckim ค.ศ. 1941–1945 วอร์ซอ: Ministerstwo Obrony Narodowej อ้างใน Michael Logusz (1997). กาลิเซียหมวด: วาฟเฟน-SS14th กองทัพบกกอง 1943-1945 เพนซิลเวเนีย:สำนักพิมพ์ชิฟเฟอร์ . ISBN 0-7643-0081-4หน้า 459.
  102. ^ ข "สืบสวนอาชญากรรมมุ่งมั่นที่หมู่บ้านฮู Pieniacka" วอร์ซอ: สถาบันการรำลึกถึงแห่งชาติ. 26 มิถุนายน 2544 เก็บถาวรจากต้นฉบับเมื่อ 2008-11-20CS1 maint: bot: ไม่ทราบสถานะ URL ดั้งเดิม ( ลิงก์ )
  103. ^ รัฐยูเครนหอจดหมายเหตุ ที่เก็บไว้ 2017/08/10 ที่เครื่อง Wayback หอจดหมายเหตุ.gov.ua สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  104. ^ Tadeusz Piotrowski ,ความหายนะของโปแลนด์ จัดพิมพ์โดย McFarland หน้า 229
  105. ^ ลิตต์มัน, โซล (2003). ทหารบริสุทธิ์หรืออุบาทว์ Legion: ยูเครน 14 วาฟเฟน-SS Division - โซล Littman - Google หนังสือ ISBN 9781551642185. สืบค้นเมื่อ8 เมษายน 2558 .
  106. ^ วัล Szwiec, Informacja o śledztwie W sprawie ludobójstwa dokonanego przez nacjonalistówukraińskich W latach 1939-1945 na terenie Huty Pieniackiej [ใน:] Prawda historyczna prawda polityczna W badaniach naukowych Ludobójstwo na Kresach południowo-wschodniej Polski w latach 1939–1946 , Bogusław Paź (ed.), Wrocław 2011, หน้า 117–128
  107. ↑ องค์การชาตินิยมยูเครนและกองทัพกบฏยูเครน , บทที่ 5, น. 285. เคียฟ, ยูเครน: สถาบันประวัติศาสตร์ยูเครน, สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งยูเครน [2]
  108. ↑ สถาบันประวัติศาสตร์ยูเครน, สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งยูเครน,องค์กรชาตินิยมยูเครนและกองทัพกบฏยูเครน[ ลิงก์เสียถาวร ] , บทที่ 5, น. 284
  109. ^ สไนเดอร์ 2003 , p. 166. sfn error: หลายเป้าหมาย (2×): CITEREFSnyder2003 ( help )
  110. ^ สไนเดอร์ 2003 , p. 196. sfn error: หลายเป้าหมาย (2×): CITEREFSnyder2003 ( help )
  111. ^ a b Grzegorz Motyka, Od rzezi wołyńskiej do akcji "Wisła". Konflikt polsko-ukraiński 1943– 1947. Kraków 2011, p.447. See also: Book review by Tomasz Stańczyk: "Grzegorz Motyka oblicza, że w latach 1943–1947 z polskich rąk zginęło 11–15 tys. Ukraińców. Polskie straty to 76–106 tys. zamordowanych, w znakomitej większości podczas rzezi wołyńskiej i galicyjskiej."
  112. ^ Wiktoria Śliwowska, Jakub Gutenbaum, The Last Eyewitnesses, page 187. Books.google.com (13 May 1998). Retrieved on 11 July 2011.
  113. ^ Tluste/Tovste, Ukraine – Czerwonogrod. Tovste.info (3 February 1945). Retrieved on 11 July 2011.
  114. ^ เจกอรซ์โมตีิกา, Ukrainska partyzantka 1942-1960, p.401-402
  115. ^ (โปแลนด์) ZagładaPuźnik - Rzeczpospolita อาร์พีพี สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  116. ^ Zdzisław Konieczny, byl taki Czas U źródeł akcji odwetowej w Pawłokomie , Przemyśl 2005, หน้า 62
  117. ^ ตามประวัติศาสตร์โปแลนด์ยูเครน Eugeniusz Misiłoเสาที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าตายในPawłokomaโดยของ UPA ถูกลักพาตัวจริงๆโดยโซเวียต NKVDในความพยายามที่จะเริ่มต้นชุดของการตอบโต้ (มิซีโล,พาวโลโคมา ... , หน้า 20)
  118. ↑ นอร์มัน เดวีส์ , Europe at War 1939–1945: No Simple Victory Publisher: Pan Books, พฤศจิกายน 2007,544 หน้า, ISBN 978-0-330-35212-3
  119. ^ มาร์กแมซวเวอร์, ฮิตเลอร์เอ็มไพร์, หน้า 506-507 Penguin Books 2008. ISBN 978-0-14-311610-3
  120. ^ Filar 1999 , หน้า 71–2.
  121. ^ Niall Ferguson ,สงครามของโลกนกเพนกวินกดนิวยอร์ก 2006, หน้า 455
  122. ^ กาเซตา Wyborcza 2003/04/23 Ji-magazine.lviv.ua. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  123. ^ "Nie Tylko Wołyń" ,เพออเตอร์ลอสซฟ สกี , Przeglad, 28/2003
  124. ^ นา รูบีซี (2007). Ogólnopolskie seminarium historii kresów wschodnich II Rzeczypospolitej Polskiej ฉบับที่ 89–94 Stowarzyszenie Upamie̜tnienia Ofiar Zbrodni Ukraińskich Nacjonalistow. น. 20–21, 40–44. ISBN 978-8373993761. OCLC 183409524
  125. ↑ ทิโมธี สไนเดอร์. (2003). สาเหตุของการกวาดล้างชาติพันธุ์ยูเครน-โปแลนด์ 2486 สังคมในอดีตและปัจจุบัน: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด, พี. 221
  126. ^ Romuald Niedzielko, IPN, Sprawiedliwi Ukraińcy ที่ ratunek polskim sąsiadom skazanym na zagładę przez OUN-UPA
  127. ^ นี, Grzegorz (17 ตุลาคม 2009) "ปัญหายูเครนกับเดอรา" , Rzeczpospolita ประจำวัน สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011. (ในภาษาโปแลนด์)
  128. ↑ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 ในหมู่บ้าน Zalesie ในเขต Buczacz ชายชาวยูเครนคนหนึ่งถูกทรมานจนตายโดยสมาชิกของ Bandera เนื่องจากปฏิเสธที่จะฆ่ามารดาชาวโปแลนด์: ดู Komanski et al. 1995 , น. 25.
  129. ^ I. อิลยูชิน. "БойовідіїОУНіУПАнаантілольськомуфронті" [อ้วนและ UPA ที่ด้านหน้าป้องกันโปแลนด์] (PDF)บทที่ 5 . เคียฟ: สถาบันประวัติศาสตร์แห่งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งยูเครน NS. 241. เก็บถาวรจากต้นฉบับ(PDF)เมื่อ 2008-12-19.
  130. อรรถเป็น ข มุลเลอร์, แจน-แวร์เนอร์ (2002-08-29). หน่วยความจำและการใช้พลังงานในหลังสงครามยุโรป: การศึกษาในการแสดงตนของอดีต สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. ISBN 9780521000703.
  131. ↑ สถาบันประวัติศาสตร์ยูเครน, สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งยูเครน,องค์กรชาตินิยมยูเครนและกองทัพกบฏยูเครน , บทที่ 5, น. 264เขียนโดย อิฮอร์ อิลยูชิน
  132. ^ Piotrowski ยซ์ส (2000/01/01) การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และกู้ภัยในWołyń: ความทรงจำของยูเครนชาติประจำชาติทำความสะอาดผิวหน้ารณรงค์ต่อต้านโปแลนด์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แมคฟาร์แลนด์. ISBN 9780786407736.
  133. ↑ a b Snyder 2003 , pp. 173-4. ข้อผิดพลาด sfn: หลายเป้าหมาย (2×): CITEREFSnyder2003 ( help )
  134. ↑ สถาบันประวัติศาสตร์ยูเครน, สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งยูเครน,องค์กรชาตินิยมยูเครนและกองทัพกบฏยูเครน , บทที่ 5, น. 266เขียนโดย อิฮอร์ อิลยูชิน
  135. ^ เจกอรซ์โมตีิกา (2008/05/24) " Zapomnijcie o Giedroyciu: Polacy, Ukraińcy, IPN " [ลืม Giedroyc: โปแลนด์, Ukrainians และ IPN] ไวบอร์กซา , อาร์ชิวุม. เก็บถาวรจากต้นฉบับเมื่อ 2008-09-21 – ผ่าน Internet Archive W sumie w latach 1943-47 zginęło 80-100 tys. Polaków oraz 10-20 tys. ยูเครน. Na Wołyniu relacja ตลก wprost porażająca - po polskiej stronie było może nawet 50-60 tys. ofiar, po ukraińskiej - raczej nie więcej niż 2-3 tys. อ้างอิงวารสารต้องการ|journal=( ความช่วยเหลือ )
  136. ^ ข Jak Za Jaremy ฉัน Krzywonosa , Jurij Kiriczuk, กาเซตา Wyborcza 2003/04/23
  137. ↑ ทิโมธี สไนเดอร์, The cause of Polish and Ukraine Ethnic Cleansing, Past&Present, A Journal of Historical Studies, nr 179, 2003, p. 223.
  138. ↑ ทิโมธี สไนเดอร์,สาเหตุของการล้างเผ่าพันธุ์โปแลนด์และยูเครน , "อดีตและปัจจุบัน, วารสารการศึกษาประวัติศาสตร์", หมายเลข 179, หน้า. 224
  139. ^ ศ. วลาดิสลาฟฟิลาร์, โปแลนด์สถาบันชาติจำ , "Antypolskie akcje nacjonalistówukraińskich"
  140. ^ ลิเบอร์, จอร์จ (2016). สงครามรวมและสร้างโมเดิร์นยูเครน, 1914-1954 สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโตรอนโต. NS. 237. ISBN 978-1-4426-2144-2.
  141. ^ a b c Katchanovski, Ph.D., อีวาน. "ผู้ก่อการร้ายหรือวีรบุรุษของชาติ? การเมืองของ OUN และ UPA ในยูเครน" Davis Center for Russian and Eurasian Studies, มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด : 7.
  142. ^ ม.ค. Kęsik Ogólny bilans strat ludności w wyniku ukraińsko-polskiego konfliktu narodowościowego w latach II wojny światowej [ใน:] Polska-ยูเครน ทรูดเน่ ปิทาเนีย ฉบับที่ 9. วอร์ซอ พ.ศ. 2545 น. 41
  143. ^ Niall Ferguson ,สงครามของโลกนกเพนกวินกดนิวยอร์ก 2006, หน้า 455
  144. ^ a b G. Rossolinski-Liebe. Celebrating Fascism and War Criminality in Edmonton. The Political Myth and Cult of Stepan Bandera in Multicultural Canada. Kakanien Revisited. 29 December 2010.
  145. ^ Motyka, Grzegorz (2016). Wołyń'43 Ludobójcza czystka - fakty, analogie, polityka historyczna. Cracow: Wydawnictwo Literackie. p. 83. ISBN 978-83-08-06207-4.
  146. ^ Władysław Siemaszko, Ewa Siemaszko, Ludobójstwo dokonane przez nacjonalistów ukraińskich na ludności polskiej Wołynia 1939–1945, Warsaw 2000, p. 1050.
  147. ^ Biuletyn Instytutu Pamięci Narodowej nr 7-8/2010 (116–117), July–August 2010; Komentarze Historyczne: Ewa Siemaszko, "Bilans zbrodni." (PDF – 1,14 MB).
  148. ^ โปแลนด์-ยูเครน: คำตอบที่ยาก เอกสารเกี่ยวกับการประชุมของประวัติศาสตร์ (1994-2001), Chronicle กิจกรรมใน Volhynia และภาคตะวันออกของกาลิเซีย (1939-1945) วอร์ซอ: สำนักงานใหญ่ของหอจดหมายเหตุแห่งรัฐ (NDAP) และศูนย์ KARTA 2546. ISBN 83-89115-36-0.
  149. ^ (โปแลนด์) ซีส Bulzacki "Nasza Polska" 22 กรกฎาคม 2008 จากตัวอักษรต่อการแก้ไขที่ยกมาโดยStanisław Zurek ในเร็ว ๆ นี้จะได้รับการเผยแพร่ZagładaKresówPołudniowo-Wschodnich
  150. ^ Tadeusz Piotrowski ,โปแลนด์หายนะ: การปะทะกันของกลุ่มชาติพันธุ์การทำงานร่วมกันกับกองกำลังครอบครองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสาธารณรัฐสอง หน้า 251.จัดพิมพ์โดย McFarland, 1998. 437 หน้า. ไอเอสบีเอ็น0-7864-0371-3
  151. ^ (โปแลนด์)โจเซฟทูโรวฟสกีกับWładysław Siemaszko, Zbrodnie nacjonalistówukraińskich dokonane na ludności Polskiej na Wołyniu 1939-1945 ,วอร์ซอ : Główna Komisja Badania Zbrodni Hitlerowskich W Polsce - Instytut Pamięci Narodowej , ŚrodowiskoŻołnierzy 27 Wołyńskiej Dywizji Armii Krajowej W Warszawie ( อาชญากรรมที่ก่อขึ้นต่อประชากรโปแลนด์แห่งโวลฮีเนียโดยชาตินิยมยูเครน 2482-2488 จัดพิมพ์โดยคณะกรรมการหลักเพื่อการสืบสวนอาชญากรรมของนาซีในโปแลนด์ –สถาบันรำลึกแห่งชาติกับสมาคมทหารแห่งกองพลโวลฮีเนียที่ 27 แห่ง AK), วอร์ซอ, 1990
  152. ^ "21 kwietnia 1944 roku w dniach 19-21 kwietnia Ukraińska Powstańcza Armia (UPA) dokonała masakry około 200 Polaków oraz polskich Ormian w miejscowości Kuty » Historykon.pl". 20 April 2021.
  153. ^ Per Anders Rudling, WARFARE OR WAR CRIMINALITY? Volodymyr V’iatrovych, Druha pol’s’ko-ukains’ka viina, 1942–1947 (Kyiv: Vydavnychyi dim “Kyevo-Mohylians’ka akademiia,” 2011). 228 pp. ISBN 978-966-518-567-3*, p. 373
  154. ^ "Od rzezi wołyńskiej do akcji Wisła. Konflikt polsko-ukraiński 1943-1947". dzieje.pl (in Polish). Retrieved 2018-03-10.
  155. ^ Kataryna Wolczuk, "The Difficulties of Polish-Ukrainian Historical Reconciliation," Royal Institute of International Affairs, London, 2002.
  156. ^ Timothy Snyder, Bloodlands, p.500
  157. ^ Grzegorz Motyka, Od rzezi wołyńskiej do akcji "Wisła". Konflikt polsko-ukraiński 1943– 1947. Kraków 2011, p.448
  158. ^ Timothy Snyder (2002). Jan-Werner Müller (ed.). Memory and Power. Poland, Lithuania and Ukraine. Cambridge University Press. p. 43. ISBN 052100070X.
  159. ^ Himka จอห์นปอล (2010) "องค์กรชาตินิยมยูเครนและกองทัพกบฏยูเครน: องค์ประกอบที่ไม่พึงประสงค์ของโครงการอัตลักษณ์" แอบ อิมเปริโอ . 2010 (4): 83–101 [94] ดอย : 10.1353/imp.2010.0101 . S2CID 130590374 .
  160. ↑ Matthew J. Gibney, Randall Hansen Immigration and Asylum. ตั้งแต่ 1900 ถึงปัจจุบัน[ ลิงก์เสีย ]
  161. ^ วิก Satzevich, ยูเครนพลัดถิ่น หนังสือ.google.com สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  162. ^ Viktor Polishchuk '' Gorkaya Pravda Prestuplenya OUN-UPA.'' (ในภาษารัสเซีย) . Sevdig.sevastopol.ws. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  163. ^ คาเรลคอร์เนลิ Berkhoff "เก็บเกี่ยวแห่งความสิ้นหวัง: ชีวิตและความตายในยูเครนภายใต้กฎนาซี" ฮาร์วาร์ University Press, 2004 ISBN 0-674-01313-1 พี 291
  164. ^ รายงานโปแลนด์เกี่ยวกับการสังหารหมู่ บทความจากหน้าเว็บของยูเครน
  165. ^ "เป้าหมายหลักคือ [...] ลบ – โดยบังคับ ถ้าจำเป็น – ไม่ใช่ชาวยูเครนจากขอบเขตทางสังคมและเศรษฐกิจของรัฐยูเครนในอนาคต" ในขณะเดียวกันก็มีการดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อกำจัด "องค์ประกอบแปลกปลอม" ในยูเครน โปสเตอร์และแผ่นพับ OUN-B ปลุกระดมประชากรยูเครนให้สังหารชาวโปแลนด์และ "Judeo-Muscovites" (...) การประชุมครั้งที่ 3 ของ OUN-B ได้สรุปแผนแล้ว [ใน:] Matthew J. Gibney, Randall Hansen, Immigration and Asylum, หน้า 204-205 [3] Books.google.com. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  166. ^ ทิโมธีไนเดอร์ Rekonstrukcja narodów Polska, Ukraina, Litwa, Białoruś 1569–1999, Sejny 2009, หน้า 187
  167. ↑ ทิโมธี สไนเดอร์ (2010). Bloodlands: ยุโรประหว่างฮิตเลอร์และสตาลินหนังสือพื้นฐาน NS. 500. เอกสารเกี่ยวกับแผนและการดำเนินการของ UPA ที่มีต่อชาวโปแลนด์สามารถพบได้ใน TsDAVO 3833/1/86/6a; 3833/1/131/13-14; 3833/1/86/19-20; และ 3933/3/1/60 ที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องคือ DAR 30/1/16=USMM RG-31.017M-1; ดาร์ 301/1/5-USHMM RG-31/017M-1; และ DAR 30/1/4=USHMM RG-31.017M-1 การประกาศในช่วงสงคราม OUN-B และ UPA เกิดขึ้นพร้อมกับการสอบสวนหลังสงคราม (ดู GARF R-9478/1/398) และความทรงจำของผู้รอดชีวิตชาวโปแลนด์ (ในการสังหารหมู่เมื่อวันที่ 12–13 กรกฎาคม 1943 เช่น ดู OKAW, II/737, II / 1144, II / 2099, II / 2650 II / 953 และ II / 755) และชาวยิวผู้รอดชีวิต (ตัวอย่างเช่น ZIH 301/2519 และ Adini, Dubno: เซเฟอร์ zikarom, 717-118)
  168. ^ Himka จอห์นปอล (2010) "องค์กรชาตินิยมยูเครนและกองทัพกบฏยูเครน: องค์ประกอบที่ไม่พึงประสงค์ของโครงการอัตลักษณ์" แอบ อิมเปริโอ . 2010 (4): 83–101 [96] ดอย : 10.1353/imp.2010.0101 . S2CID 130590374 .
  169. ^ www.ipn.gov.pl
  170. ^ Volhynia ที่: Reckoning Begins Tol.cz สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  171. ^ ยูเครน, โปแลนด์แสวงหาการปรองดองเหนือประวัติศาสตร์ที่น่าสยดสยอง , Jan Maksymiuk, RFE/RL, 12 พฤษภาคม 2549
  172. ^ RFE/RL Newsline, 03–02–13 . Hri.org สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  173. ^ การ บรรยายสรุปโลก | ยุโรป: ยูเครน: ร่วมรำลึกถึงการสังหารหมู่ . นิวยอร์กไทม์ส (12 กรกฎาคม 2546) สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  174. ^ RFE/RL Newsline, 03–07–14 . Hri.org สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011.
  175. ^ [4]
  176. ^ "Zdemontowano pomnik UPA W Hruszowicach. ยูเครน protestuje" TVN24.pl . สืบค้นเมื่อ2018-07-13 .
  177. ^ "Волинське загострення: Польща продемонструвала жорсткість у історичному конфлікті з Україною" .
  178. ^ "Over 100,000 slaughtered with axes, pitchforks, scythes and knives: The Wołyń massacre started 76 years ago today and lasted for two years". thefirstnews.com. 11 July 2019. Retrieved 13 July 2021.
  179. ^ McBride, Jared (2016). "Who's Afraid of Ukrainian Nationalism?". Kritika: Explorations in Russian and Eurasian History. 17 (3): 647–663 [652]. doi:10.1353/kri.2016.0039. S2CID 159764382.
  180. อรรถเป็น ข c Portnov, Andrii. "การปะทะกันของเหยื่อ: การสังหารหมู่ Volhynia ในความทรงจำของโปแลนด์และยูเครน" . openDemocracyสืบค้นเมื่อ29 ตุลาคม 2020 .
  181. ^ การดำเนินการประชุม IPN , Waldemar Rezmer , Na Ukrainie polsko-ukraiński konfl ikt zbrojny o Lwów i Galicję Wschodnią 1918–1919, a potem tragiczne wydarzenia II wojny światowej, łzayładównie z z łgącznie z w pamięci historycznej elit, a tym bardziej przeciętnego Ukraińca.
  182. ^ W świetle przedstawionych wyżej ustaleń nie ulega wątpliwości, że zbrodnie, których dopuszczono się wobec ludności narodowości polskiej, noszą charakter niepodlegających przedawnieniu zbrodni ludobójstwa. – Piotr Zając, Prześladowania ludności narodowości polskiej na terenie Wołynia w latach 1939–1945 – ocena karnoprawna zdarzeń w oparciu o ustalenia śledztwa OKŚZpNP w Lublinie, [in:] Zbrodnie przeszłości. Opracowania i materiały prokuratorów IPN, t. 2: Ludobójstwo, red. Radosław Ignatiew, Antoni Kura, Warszawa 2008, p.34-49
  183. ^ 1943 Volhynian หมู่ความจริงและความทรงจำหน 6 "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF) . เก็บถาวรจากต้นฉบับ(PDF)เมื่อ 2016-08-12 . สืบค้นเมื่อ2016-07-15 . CS1 maint: สำเนาที่เก็บถาวรเป็นชื่อ ( ลิงก์ ) สถาบันการรำลึกถึงชาติ
  184. ^ "Uchwala Sejmu Rzeczypospolitej Polskiej Z dnia 15 lipca 2009 r. W sprawie tragicznego losu Polakow na Kresach Wschodnich" บิอูโร ปราโซเวกันเซลารี เซจมู สืบค้นเมื่อ17 สิงหาคม 2011 .
  185. ^ https://ukrainianweek.com/History/219272
  186. ^ "การปะทะกันของเหยื่อ: การสังหารหมู่โวลฮีเนียในความทรงจำของโปแลนด์และยูเครน" .
  187. ^ Portnov, Andrii (2013) "ภาษายูเครน interpretacje rzezi wołyńskiej" . Więź (ในภาษาโปแลนด์). LVI (652): 158–166. ISSN 0511-9405 .
  188. ^ "BYŁO SOBIE MIASTECZKO..." (กาลครั้งหนึ่งเคยเป็นเมือง...), National Film School in Łódź (Państwowa Wyższa Szkoła Filmowa, Telewizyjna i Teatralna im. Leona Schillera), Łódź , Poland 1998. (ในภาษาโปแลนด์)
อ้างอิง
  • Polacy i Ukraińcy pomiędzy dwoma systemami totalitarnymi 1942–1945 . วอร์ซอ / เคียฟ: สถาบันการรำลึกถึงแห่งชาติ . 2005. ISBN 8389078775. (ในภาษาโปแลนด์และยูเครน)
  • Norman Davies , No Simple Victory: World War Two in Europe , หน้า 352, Viking Penguin 2007. ISBN 978-0-670-01832-1
  • Filar, Władysław, เอ็ด. (1999). Ekusterminacja łudnosci polskiej na Wołyniu w drugiej wojnie światowej [ การกำจัดประชากรโปแลนด์แห่ง Volhynia ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ] (ในภาษาโปแลนด์). วอร์ซอ.
  • อิลยูชิน, อิฮอร์ (2009). UPA ฉัน AK Konflikt w Zachodniej Ukrainie (1939–1945) (ในภาษาโปแลนด์) วอร์ซอ: Związek Ukraińców w Polsce. ISBN 978-83-928483-0-1.
  • Komanski, H.; Buczkowski, ลุดวิก; สกิบา, ม.ค.; et al., สหพันธ์. (1995). "Zbrodnie banderowskich bojówek OUN-UPA w pow. Buczacz, woj. tarnopolskie" [อาชญากรรมที่กระทำโดย Bandera OUN-UPA Fighting Squads ใน Buczacz County ของ Tarnopol Province] Na Rubieży [On the Frontier] (ในภาษาโปแลนด์). 4 (14).
  • (ในภาษายูเครน) L.Melnik, B.Yurochko, "Rozkhytane derevo myfiv"ในหนังสือพิมพ์ The Lviv , 25 พฤษภาคม 2550
  • Grzegorz Motyka (2006). Ukraińska partyzantka 1942–1960 (ในภาษาโปแลนด์) วอร์ซอ: RYTM. ISBN 83-7399-163-8.
  • นีดซิเอลโก้, โรมูอัลด์ (2009). "Sprawiedliwi Ukraińcy. Na ratunek polskim sąsiadom skazanym na zagładę przez OUN-UPA" . Biuletyn IPN, 1-2/2009 (ภาษาโปแลนด์). ไอพีเอ็น. หน้า 77–85. เก็บถาวรจากต้นฉบับเมื่อ 2010-04-30 . สืบค้นเมื่อ23 สิงหาคม 2552 .
  • ฆาOżarowski Wolyn สว่าง , สำนักพิมพ์ WICI 1977, ISBN 0-9655488-1-3
  • Tadeusz Piotrowski : การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการช่วยเหลือใน Wolyn: Recollections of the Ukrainian Nationalist Ethnic Cleansing Campaign Against the Poles during World War II , McFarland & Company, 2000, ISBN 0-7864-0773-5 .
  • Wiktor Poliszczuk "ความจริงอันขมขื่น": ความผิดทางอาญาขององค์กรชาตินิยมยูเครน (OUN) และกองทัพกบฏยูเครน (UPA) คำให้การของชาวยูเครนISBN 0-9699444-9-7
  • Władysław Siemaszko, Ewa Siemaszko (2000) Ludobójstwo dokonane przez nacjonalistów ukraińskich na ludności polskiej Wołynia 1939–1945 (ในภาษาโปแลนด์) วอร์ซอ. ISBN 83-87689-34-3.
  • สไนเดอร์, ทิโมธี (2001). การแก้ไขคำถามยูเครนทันทีและสำหรับทั้งหมด: เผ่าพันธุ์ของ Ukrainians ในโปแลนด์, 1943-1947 (PDF) กระดาษทำงาน #9 มหาวิทยาลัยเยล.
  • สไนเดอร์, ทิโมธี (2003). การฟื้นฟูชาติ. โปแลนด์, ยูเครน, ลิทัวเนีย, เบลารุส, 1569–1999 . สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล . ISBN 0-200-10586-X.
  • Andrzej L. Sowa (1998). Stosunki polsko-ukraińskie 1939–1947 (ในภาษาโปแลนด์) คราคูฟ OCLC 48053561 .
  • ซับเทลนี, โอเรสต์ (1988). ยูเครน: ประวัติศาสตร์ . สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโตรอนโต. ISBN 0-8020-5808-6.
  • Mikolaj Teres: การชำระล้างชาติพันธุ์ของชาวโปแลนด์ใน Volhynia และ Eastern Galicia , Alliance of the Polish Eastern Provinces, 1993, ISBN 0-9698020-0-5 .
  • มาร์ซิน วอจเซียโชวสกี้, เอ็ด. (2551). โวลิน 2486-2551 Pojednanie (ในภาษาโปแลนด์). วอร์ซอ: อโกรา. ISBN 978-83-7552-195-5.
อ่านเพิ่มเติม
  • ทิโมธี สไนเดอร์. (2003). สาเหตุของการกวาดล้างชาติพันธุ์ยูเครน - โปแลนด์ 2486 สังคมในอดีตและปัจจุบัน: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
  • ปิโอโทรวสกี้, ทาเดอุสซ์ (2000). การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และกู้ภัยใน Wolyn แมคฟาร์แลนด์. ISBN 0-7864-0773-5.
  • นีดซิเอลโก้, โรมูอัลด์ (2007). Kresowa księga sprawiedliwych 1939–1945 O Ukraińcach ratujących Polaków poddanych eksterminacji przez OUN i UPA (ในภาษาโปแลนด์). วอร์ซอ: IPN ISBN 978-83-60464-61-8.
  • Радевич-Винницький, Ярослав (2000). เครวิวา กนิกา. Передрук видань 1919 та 1921 років . Дрогобич: Відродження. ISBN 5-7707-4786-2.
  • คาเซียนอฟ, จอร์จี (2006). "ภาระของอดีต: ความขัดแย้งระหว่างยูเครน-โปแลนด์ในปี 1943/44 ในการอภิปรายสาธารณะ วิชาการ และการเมืองร่วมสมัยในยูเครนและโปแลนด์" นวัตกรรม: วารสารวิจัยสังคมศาสตร์แห่งยุโรป . 19 (3–4): 247–259. ดอย : 10.1080/13511610601029805 . S2CID 149364679 .
ลิงค์ภายนอก
ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่

  • (in English, Polish, and Ukrainian) Volhynia massacre. Truth and Remembrance — Institute of National Remembrance
  • (in Polish) The Polish Institute of National Membrance, Ewa Siemaszko, Balance of the crime
  • (in Polish) Pictures from massacres. Association Commemorating Victims of the Crime of Ukrainian nationalists
  • (in Ukrainian and Polish) Volhynia and Eastern Galicia 1943–1944. Documents of State Committee on Archives of Ukraine
  • (in Ukrainian) Tragedy of Volhynia 1943–1944. Documents of State Committee on Archives of Ukraine
  • Kost Bondarenko, "The Volyn Tragedy: Echoes Through Decades"ในZerkalo Nedeli (The Mirror Weekly), 15-21 กุมภาพันธ์ 2546
  • (เป็นภาษายูเครน) การอภิปรายโวลิน (รายชื่อบทความ)
  • (ในภาษาโปแลนด์) เว็บไซต์โปแลนด์ของ Światowy Związek Żołnierzy Armii Krajowej
  • คำนำย่อของหนังสือชื่อย่อของ Władysław Siemaszko และ Ewa Siemaszkoพฤศจิกายน 2000

https://hmong.in.th/wiki/Volhynian_massacres

 

Nov 21, 2022 เมินคำขอ! ก.ล.ต.ไม่ขยายระยะเวลาการดำเนินการบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ตามที่ขอ
.
ตามที่บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด (บล.เอเชีย เวลท์) มีการนำเงินของลูกค้าไปชำระค่าซื้อหลักทรัพย์กับสำนักหักบัญชี โดยที่ลูกค้าไม่ได้อนุญาต และคณะกรรมการกำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.) ในการประชุมครั้งที่ 12/2565 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 เห็นว่าการดำเนินงานของบริษัทอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประโยชน์ของประชาชนได้ จึงมีมติโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 143 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ) ให้ บล. เอเชีย เวลท์ นำเงินของลูกค้าที่บริษัทนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์โดยที่ลูกค้าไม่ได้อนุญาต มาคืนภายในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2565 และระงับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว ตามข่าว ก.ล.ต. ฉบับที่ 207/2565 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565* นั้น
.
คณะกรรมการกำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.) ในการประชุมครั้งที่ 13/2565 เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 มีมติไม่ขยายระยะเวลาการดำเนินการของ บล. เอเชีย เวลท์ ตามที่บริษัทขอมา เนื่องจากการสั่งการของ ก.ต.ท. ในครั้งก่อน เกี่ยวกับระยะเวลาในการนำทรัพย์สินมาคืนให้ลูกค้าได้คำนึงถึงความเป็นไปได้ของการดำเนินการ รวมทั้งความเหมาะสมและการป้องกันผลกระทบต่อทรัพย์สินของลูกค้าแล้ว อนึ่ง บล. เอเชีย เวลท์ ยังไม่ได้คืนเงินลูกค้าอย่างครบถ้วน
.
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.) ในการประชุมครั้งที่ 12/2565 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 เห็นว่าการดำเนินงานของบริษัทอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประโยชน์ของประชาชนได้ จึงมีมติโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 143 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ให้บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) นำเงินของลูกค้าที่บริษัทนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์โดยที่ลูกค้าไม่ได้อนุญาต มาคืนภายในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2565
.
(2) ระงับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว เว้นแต่เป็นการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงโดยรวมในเงินลงทุนของบริษัทหรือการดำเนินการตามภาระผูกพันที่ค้างอยู่ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป จนกว่าบริษัทจะนำเงินลูกค้ามาคืน และได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ให้ประกอบธุรกิจได้ตามปกติ
.
(3) จัดให้มีระบบงานในการป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก ภายในวันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2565
.
(4) อำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าของบริษัท เพื่อให้ลูกค้าสามารถดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกค้าที่มีอยู่กับบริษัทได้ตามความประสงค์ของลูกค้า ภายในระยะเวลาที่ตกลงกับลูกค้า
.
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย เวลท์ จำกัด หรือ เป็นโบรกเกอร์หมายเลข 43 มีนายอธิพงศ์ อมาตยกุล เป็นประธาน คณะบริหารประกอบด้วย 2 คน คือนายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ และนายฉัฐพรรษ สุทธิรักษ์ หัวหน้าสายงานการตลาด ในวันที่ 21 ตุลาคม 2556 ได้รับอนุมัติประกอบธุรกิจนายหน้าหรือโบรกเกอร์ซื้อขายและจำหน่ายหลักทรัพย์ โดยเริ่มซื้อขายหลักทรัพย์เป็นทางการในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2556 ปัจจุบันมีทั้งหมด 6 สาขา โดยเป็นสาขาในกรุงเทพเพียง 1 สาขาที่ถนนศรีนครินทร์ ที่เหลืออีก 5 สาขาอยู่ตามต่างจังหวัด ได้แก่ ระยอง ชลบุรี ศรีราชา เชียงใหม่ และสิงห์บุรี

#กลต #เอเชียเวลท์ #คืนเงินลูกค้า #นักลงทุน #ลงทุน #ตลท #SET #โบรกเกอร์ #BTimes

 

Nov 21, 2022 หุ้นสุดฉาว! ปปง.สั่งอายัดกว่า 5,000 ล้านกับทรัพย์สิน 34 รายการเชื่อมโยงหุ้นฉาว MORE ปลดซื้อขายวันนี้ เปิดหุ้น MORE ดำดิ่งติดฟลอร์
.
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งเรื่องการปลดเครื่องหมาย SP บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ในวันที่ 21 พ.ย.65 เนื่องจากบริษัทครบกำหนดขึ้นเครื่องหมาย SP เมื่อวันศุกร์ที่ 18 พ.ย.65 กลับมาซื้อขายปกติ โดยยืนยันว่าไม่กระทบระบบการซื้อขายวันนี้
.
กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวต่อไปว่าได้รับทราบจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่แจ้งว่า ปปง.ได้มีคำสั่งให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเสียหายจากกรณีหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ดำเนินการอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่เกิดขึ้นรวม 34 รายการ พร้อมดอกผล มีระยะเวลาภายในไม่เกิน 90 วัน นับจากวันที่มีคำสั่งออกไปในวันนี้
.
ด้านพล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง. เปิดเผยว่า คำสั่งอายัดทรัพย์สินจำนวน 34 บัญชีที่ ป.ป.ง. ดำเนินการอายัดทรัพย์สินเป็นบัญชีของผู้ขายหุ้น MORE มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท โดยเป็นบัญชีที่ตำรวจสอบสวนกลางได้ดำเนินการสอบสวนแล้ว เข้าข่ายต้องสงสัยว่า มีความผิดปกติในการซื้อขาย จึงจำเป็นต้องมีการอายัดทรัพย์ พร้อมดอกผลเป็นเวลา 90 วัน เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในคดีดังกล่าว
.
ขณะที่นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ในวันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปลดเครื่องหมาย SP เพื่อเปิดให้มีการซื้อขายหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ตามปกติ หลังจากพิจารณาแล้วว่าการดำเนินการตลอด 5 วันที่ผ่านมาในสัปดาห์ก่อน ได้ทำอย่างครบถ้วนแล้ว
.
“ผลกระทบจากการที่จะปลด SP เราได้คำนวณและดูผลกระทบต่าง ๆ แล้ว โดยมองว่าจะไม่มีผลกระทบต่อระบบ จึงค่อนข้างมั่นใจในการที่จะเปิดให้ซื้อขายได้ ทั้งนี้ เราค่อนข้างพอใจกับความสำเร็จในช่วง 5 วันที่ผ่านมา ว่าได้ส่งข้อมูลให้กับทางตำรวจอย่างครบถ้วน รวมถึงการส่งข้อมูลให้กับผู้กำกับดูแลที่เกี่ยวข้องแล้ว” นายภากรกล่าว
.
นายภากรกล่าวอีกว่า การซื้อขายหุ้น MORE ขอให้นักลงทุนใช้ข้อมูลและพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดอย่างรอบด้าน ก่อนจะตัดสินใจลงทุน
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก
ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
https://bit.ly/3UVmG4J
.
ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/
.
#MORE #หุ้นMORE #ตลาดหลักทรัพย์ #ปปง #อายัดทรัพย์ #ลงทุน #BTimes

 

Nov 21, 2022 ตายอีก 2! ยอดติดโควิด-19 เสียชีวิตในปักกิ่งเพิ่มอีก 2 ชั่วข้ามคืน พ่วงยอดติดเชื้อเกิน 900 มากเป็นประวัติการณ์
.
คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติ จีนแผ่นดินใหญ่ รายงานว่า วันนี้ 21 พฤศจิกายน 2565 กรุงปักกิ่งซึ่งมีประชาชน 21 ล้านคน พบว่ามีผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาจำนวน 951 ราย ทำสถิติติดเชื้อรายวันมากสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ โดยเพิ่มขึ้น 330 รายเมื่อเทียบกับวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมาที่มีจำนวน 621 ราย
.
ที่สำคัญ พบผู้ป่วยติดโรคระบาดโควิด-19 สูงอายุเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2 รายเมื่อวานนี้ ประกอบด้วย ผู้หญิงอายุ 91 ปี และผู้ชายอายุ 88 ปี ในขณะที่เมื่อวันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ปักกิ่งพบผู้ชาวจีนวัย 87 ปี เป็นชาวกรุงปักกิ่ง ติดโรคระบาดโควิด-19 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนผ่านมา โดยมีอาการป่วยทรุดลงอย่างรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต ส่งผลเป็นผู้เสียชีวิตรายแรกในรอบเกือบ 6 เดือนผ่านมาของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเมื่อวันที่ 25 และ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา พบผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดโควิด-19 ที่นครเซี่ยงไฮ้
.
สาเหตุสำคัญเกี่ยวกับการกลับมาระบาดของโรคโควิด-19 ครั้งใหญ่ในจีนแผ่นดินใหญ่ครั้งนี้ เนื่องจากอัตราและจำนวนผู้สูงอายุ และผู้มีความเสี่ยงอย่างเปราะบางชาวจีนที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ต่ำมาก โดยพบว่ามีเพียง 66% ของผู้สูงอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส และมีเพียง 40% ที่ได้รับการฉีดเข็มที่ 3 หรือเข็มกระตุ้นเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามกับสหรัฐอเมริกา ที่พบว่ามีมากถึง 90% ของผู้สูงอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส
.
ในช่วงเช้าวันนี้ 21 พฤศจิกายน คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติจีนแผ่นดินใหญ่ หรือ NHC เปิดเผยว่า มีคำสั่งให้ประชาชนชาวปักกิ่งในเขตฉาวหยาง กรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตที่มีประชาชนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นถึงกว่า 3.5 ล้านคน และเป็นเขตที่ทำการของสถานทูตหลากหลายประเทศและเศรษฐกิจสำคัญของกรุงปักกิ่ง ให้อยู่แต่ภายในที่อยู่อาศัยตั้งแต่วันจันทร์นี้ 21 พฤศจิกายนเป็นต้นไป
.
ทางการปักกิ่งประกาศคำสั่งให้สถาบันการศึกษาทุกแห่ง รวมถึงโรงเรียนนานาชาติในเขตฉาวหยางเปิดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์เท่านั้น โดยให้นักเรียนนักศึกษาเรียนจากที่บ้านเริ่มสัปดาห์นี้เป็นต้นไป
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก
ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
https://bit.ly/3Xj0bZb
.
ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/
.
#จีน #ปักกิ่ง #โควิด19 #โรคระบาด #เสียชีวิต #เอเชีย #BTimes

 

Nov 21, 2022 เทขายอีก! น้ำมันดิบตลาดโลกในเอเชียดิ่งต่ำใน 2 เดือน ร่วงเฉียด 7 ดอลล์ใน 3 วันกว่า ฉุดราคาน้ำมันดิบเฉียดหลุด 80 ดอลล์
.
ตลาดซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบตลาดโลกล่วงหน้าในเอเชีย สิงคโปร์ วันนี้ 21 พฤศจิกายน 2565 เมื่อเวลา 9.35 น. เวลาประเทศไทย รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ เคลื่อนไหวที่ 80.00 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.08 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลงมากถึง -6.92 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -8.0% ใน 3 วันกว่าติดกัน
.
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน
.
ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 87.34 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.28 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.3% ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลงมากถึง -6.52 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -7.1% ใน 3 วันกว่าติดกัน
.
ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
.
สาเหตุจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในจีนแผ่นดินใหญ่ที่ระบาดรุนแรงและกระจายในเมืองเศรษฐกิจสำคัญของจีนรอบใหม่ แนวโน้มดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาที่จะขึ้นสูงต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าอาจสูงขึ้นถึง 7% ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้มาก ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่กลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก
ฟาร์ม เฮ้า ส์ สมัครงาน ฝ่ายผลิต เชียงใหม่
https://bit.ly/3tK9Ry7
.
ติดตาม BTimes ได้ทุกช่องทาง ดังนี้
เฟซบุ๊ก: https://m.facebook.com/btimesch3/
ยูทูป: https://m.youtube.com/c/MisterBan
ทวิตเตอร์: https://mobile.twitter.com/btimes_ch3
เว็บไซต์: https://btimes.biz
พ็อดคาสท์: https://btimes.podbean.com/
.
#น้ำมันดิบ #น้ำมันสำเร็จรูป #ราคาน้ำมัน #ราคาน้ำมันวันนี้ #ดอลลาร์สหรัฐ #เศรษฐกิจ #สหรัฐ #BTimes