****************************** ปัญหา สิวสเตอรอยด์ พบได้บ่อยจากการใช้ครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะครีมที่เน้นให้หน้าใส มีรีวิวมหาศาล เห็นผลเร็ว และผู้ขายต่างก็มั่นใจว่าครีมที่ตัวเองรับมาขายนั้นไร้สารแน่นอน แต่ไม่นานนัก ความจริงก็ปรากฏ มีผู้เสียหายปรากฎตัวให้เห็น
ก่อนเข้าเรื่องผลข้างเคียงของ ครีมหน้าใส ที่แอบผสม ยาสเตอรอยด์ เรามาดูประวัติความเป็นมาของการใช้ยาสเตอรอยด์ในวงการแพทย์กันก่อนนะคะ สเตอรอยด์ชนิดทา (Topical steroids) และต่อมามีการใช้แพร่หลายมากขึ้น มีรายงานพบผลข้างเคียงของการใช้สเตอรอยด์ชนิดทาผิวหนังครั้งแรกในปี ค.ศ.1995 การแบ่งความแรงของสเตอรอยด์ชนิดทา
(Topical steroids potency classification) ตัวอย่างยาสเตอรอยด์ที่มีจำหน่าย จำแนกตามระดับความแรง (ข้อมูลจาก
https://www.dst.or.th) การดูดซึมยาสเตอรอยด์ชนิดทา
1. สิวสเตอรอยด์
สิวสเตอรอยด์ชนิดรูขุมขนอักเสบร่วมกับติดเชื้อรา (pityrosporum folliculitis) รูขุมขนอักเสบคืออะไร
สิวสเตอรอยด์(คนไทย)
: มีสิวหลายชนิดรวมกัน ทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบ และรูขุมขนอักเสบ ยาสเตอรอยด์ ทำให้เซลล์บุรูขุมขนไวต่อการกระตุ้น มีปริมาณกรดไขมันมากขึ้น แบคทีเรีย P.acne ในรูขุมขนเจริญเติบโตเร็ว เกิดการสร้างคอมีโดนที่มากผิดปกติ กลายเป็นสิวอุดตัน หรือสิวอักเสบเม็ดใหญ่ลุกลามเกือบทุกรูขุมขน อีกทั้งภูมิคุ้มกันของผิวถูกสเตียรอยด์กดไว้มาอย่างยาวนาว ทำให้ผิวอ่อนแอ ติดเชื้อได้ง่าย สิวสเตอรอยด์จึงมักรุนแรง มีหัวหนองขนาดใหญ่ มีสะเก็ดกรัง
" สิวจากสเตอรอยด์จะมีลักษณะเป็นปื้น กระจุก ประทุทุกรูขุมขน ทุกเม็ดจะดูคล้ายกันไม่ขึ้นกับระยะสิว ทำให้บางคนเรียกมันว่า ผื่นสิว และอาจมีอาการคัน ส่วนสิวฮอร์โมนทั่วไป จะมีลักษณะต่างกันในแต่ละเม็ด ขึ้นกับระยะสิว "
2. ผิวติดสเตอรอยด์ ผิวก่อนใช้ปกติดี ทาครีมแล้วหน้าสวย ทาครีมไปนานเข้า พอลืมทา หรือเลิกใช้ ก็เกิดอาการถอนยา ผิวเสียสมดุล เดี๋ยวแห้งเดี๋ยวมัน แพ้ทุกอย่าง เปลี่ยนครีมไม่ได้ คันหน้า หน้าแดง แสบง่าย มีสิวผดขึ้น พอกลับไปทาครีมเดิม อาการเหล่านี้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ยาสเตอรอยด์มีผลทำให้โครงสร้างผิวหนังชั้นหนังแท้หลวมบาง เพราะคอลลาเจนและอีลาสตินถูกทำลาย ผิวจึงเหี่ยวและยุบตัว ผิวหนังชั้นหนังกำพร้าก็บางลงเพราะการสร้างเซลล์ใหม่หยุดชะงัก สารสำคัญที่เป็นองค์ประกอบของปราการผิว (skin barrier) ไม่เพียงพอ เชื้อโรคและสารก่อการแพ้จึงซึมลงไปใต้ผิวได้มากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการแพ้ง่าย ใช้อะไรก็แพ้ เวลาเป็นสิวก็รุนแรง แผลหายช้ากว่าปกติเพราะการสร้างเนื้อเยื่อใหม่เส้นเลือดใหม่ผิดปกติไปหมด " อาการเลิกยาแล้วหน้ามีผื่นแดงเรียกว่า Steroids withdrawal pattern จะเกิดขึ้นหลังจากหยุดยาประมาณ7วัน เส้นเลือดมีการขยายตัว ทำให้หน้าแดง อาจมีตุ่มหนองขนาดเล็กคล้ายสิวผด 2-3 สัปดาห์ต่อมาผิวจะลอกเป็นขุย อาจกลับเป็นซ้ำได้อีกและมักจะหายช้ากว่าเดิม " ผิวติดสเตอรอยด์จัดเป็นอาการข้างเคียงประเภทหนึ่งจากการใช้ยาหรือครีมที่ผสมสเตอรอยด์เท่านั้น คนที่ใช้ยาหรือครีมสเตอรอยด์อาจจะไม่เกิดผลข้างเคียงนี้ แต่อาจจะเกิดผลข้างเคียงอื่นๆ อย่างไรก็ตามการใช้สเตอรอยด์เป็นระยะเวลานาน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียงครบทุกประเภทที่จะกล่าวในบทความนี้
กรณีที่ 1 กรณีที่2 จากกรณีศึกษาจะเห็นว่าการรักษาผิวติดสเตอรอยด์ไม่มีกฎตายตัว แม้แต่ Physio cream หรือ Cetaphil ที่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย บางคนก็อาจจะใช้ไม่ได้ ต้องล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าและงดการทาครีมทุกชนิด เรียกว่า พักผิว 100% หากคันมากก็ทานยาแก้แพ้กลุ่มแอนตี้ฮีสตามีนเพื่อบรรเทาอาการคันเป็นครั้งๆ ไป ในบางรายอาจต้องใช้เวลาฟื้นฟูผิวนานร่วมปี กรณีอาการรุนแรงแนะนำให้พบแพทย์ผิวหนัง หลังจากมีกระแสครีมในอินเทอร์เนตผสมสารต้องห้าม หลายคนก็เกิดความกลัวว่าครีมที่ตนใช้อยู่นั้น ปลอดภัยหรือไม่ และบางคนก็เข้าใจผิดว่าอาการที่ตนเป็นอยู่นั้นต้องเป็นอาการติดสเตอรอยด์แน่ๆ ก่อนจะตัดสินใจว่าครีมที่ตัวเองใช้อยู่มีสเตอรอยด์หรือไม่ ให้สังเกตดังนี้ค่ะ 1. ใช้แล้ว หน้าเงาใสดั่งกระจก ใสจนมองเห็นเส้นเลือด ข้อ 1- 4 ต้องใช้ไปสักพักจึงจะทราบ ดีไม่ดีหน้าอาจจะติดสเตอรอยด์ไปแล้ว ข้อ 5 ข้อนี้สังเกตง่ายและเร็วค่ะ กรณีไม่มีผดผื่นคันที่หน้า ก็ลองเอาครีมนั้นไปทาผื่นคันส่วนใดก็ได้ของร่างกาย ถ้าผื่นคันนั้นดีขึ้นใน 1-2 วัน ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่ามีสเตอรอยด์ หรือในบางคนที่มีปัญหาเป็นโรคเซบเดิร์มอยู่แล้วก็ลองเอาครีมนั้นทาเซบเดิร์มดู ถ้าทาแล้วเซบเดิร์มหายใน 3-5 วัน ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่ามีสเตอรอยด์ เพราะครีมบำรุงผิวธรรมดาทำไม่ได้ค่ะ " ชัวร์สุดคือการส่งครีมไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ไม่ควรตรวจเองด้วยวิธีบ้านๆแล้วประกาศว่าครีมนี้มีสเตอรอยด์นะคะ เพราะอาจจะโดนฟ้องได้ค่ะ "
1. ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสูตรปราศจาก สบู่ น้ำหอม AHA/BHA แนะนำ ผงแป้งอะมิโน คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับการรักษา ผิวติดสเตอรอยด์ ระวังถูกหลอกขายครีมขับสเตอรอยด์ ความเข้าใจที่ว่าอาการ " แดง แสบ คัน สิวเห่อทั้งหน้า ใช้อะไรก็แพ้ " เพราะสเตอรอยด์ยังติดค้างอยู่ใต้ผิว เป็นความเข้าใจที่ผิด ความจริงก็คือ " อาการแดง แสบ คัน สิวเห่อทั้งหน้า ใช้อะไรก็แพ้ " นั้นเป็นผลจากการที่สเตอรอยด์ไปทำลายผิวจนพัง
ทำลายไปทีละนิดในช่วงที่ใช้ครีม โดยคนใช้เองไม่รู้ตัว เมื่อถึงจุดๆหนึ่งก็จะแสดงอาการออกมา ดังนั้น " แม้ครีมบำรุงจะมีส่วนผสมชั้นเลิศ ฟื้นฟูโครงสร้างผิวได้ดีบลาๆ แต่อย่าลืมว่าผิวที่ติดสเตอรอยด์นั้นพร้อมที่จะแพ้ทุกอย่างได้ตลอดเวลา การลองใช้คือวิธีเดียวที่จะรู้ว่า จะแพ้หรือไม่ " อาการข้างเคียงอื่นๆ ที่พบจากการใช้ยาหรือครีมที่ผสมสเตอรอยด์
2. ผิวแตกลาย (Straie, rubrae distensae) อ่าน ตัวอย่างกรณีศึกษาจาก pantip สเตอรอยด์ทำให้เกิดการอักเสบและการบวมของชั้นหนังแท้ เกิดเป็นแผลและมีการสร้างคอลลาเจนตามแนวแผล กลายเป็นรอยนูนมองเห็นจากด้านนอก ผิวแตกลายจากสเตอรอยด์จะมีลักษณะเฉพาะคือมีสีแดง ในบางคนอาจรู้สึกเจ็บ เป็นแล้วถาวร ไม่หาย ต่างจากรอยแตกจากความอ้วน การตั้งครรภ์ที่สีจะซีดขาว และจางลงได้เมื่อเวลาผ่านไป
3. เส้นเลือดฝอยขยาย (Telangiectasia)
4. ขนยาวผิดปกติ (Hypertrichosis)
5. ผิวซีด ด่างขาว (Hypopigmentation)
ฝากไว้ท้ายสุด : ยาทุกชนิดมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ ต้องใช้ให้เป็น ในทางการแพทย์ สเตอรอยด์เป็นยาที่มีประโยชน์ หากไม่มียานี้ ผู้ป่วยบางโรคก็อาจจะไม่มีชีวิตรอดเช่นกัน ยาจะดีไม่ดีอยู่ที่การใช้ให้เป็น คำถามที่พบบ่อย อัพเดทเพิ่ม 29/9/2560 การแพ้ครีมใดๆเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายไปต่อต้านส่วนผสมบางอย่างในครีม แต่ตัวสเตียรอยด์เองมีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน ดังนั้น ครีมที่แอบใส่สเตียรอยด์ ใช้ยังไงก็ไม่มีทางแพ้ค่ะ คนใช้จึงรู้สึกว่า ครีมนี้ดีจัง นอกจากจะไม่แพ้แล้ว หน้ายังใสเหมือนกระจก เนียนนิ่มดั่งก้นเด็กแรกเกิด ฝ้ากระก็หาย
สิวก็หาย และเมื่อใช้ผ่านไปสักระยะ ครีมหมด ไม่มีเงินซื้อมาใช้ต่อเนื่อง ,เดินทางไกลแล้วลืมเอาครีมไป ,หรือแอบปันใจไปลองครีมยี่ห้ออื่นไม่กี่วันหลังจากนั้นก็เกิดอาการ "หน้าแหก" สิวขึ้น ผื่นแดง คันทั้งหน้า แต่พอกลับไปใช้ครีมเดิม หายเป็นปลิดทิ้ง! นี่คืออาการของ ผิวติดสเตียรอยด์ หยุดไม่ได้ หยุดเมื่อไหร่เกิดอาการถอนยาทันที
ไม่ใช่อาการแพ้สเตียรอยด์ อ้างอิง |