ผ อ โรงเรียน ประเทืองทิพย์วิทยา

ผ อ โรงเรียน ประเทืองทิพย์วิทยา

เปิดใจผู้บริหาร ต้นแบบไอเดีย ครูแต่งคอสเพลย์ เด็กแต่งไปรเวตสอบสัมภาษณ์เข้าเรียน ม.4 ฉีกทุกกฎเกณฑ์ มาหมดทุกตัวละคร ทั้งภาพยนตร์ แอนิเมะชื่อดัง 4 ปีที่ผ่านมา เห็นรอยยิ้มมากกว่าความเครียด

สร้างรอยยิ้ม ลดความตึงเครียด

ฉีกทุกกฎเกณฑ์การสอบสัมภาษณ์ที่แสนจะตึงเครียด เมื่อคุณครูจากโรงเรียนประเทืองทิพย์วิทยา เขตสายไหม กทม. ต่างจัดเต็มแต่งตัวคอสเพลย์เป็นตัวละครที่โด่งดังกันอย่างพร้อมเพรียง สอบสัมภาษณ์นักเรียนชั้น ม.4 เพื่อทำให้เด็กๆ รู้สึกผ่อนคลายลดความตึงเครียด

เรียกได้ว่าจัดเต็มกันทุกคน ไม่ว่าจะแต่งเป็น “กัปตันอเมริกา” “แฮร์รี่ พอตเตอร์” หรือจะเป็นแอนิเมะชื่อดังอย่าง “ดาบพิฆาตอสูร” ที่มาเกือบครบทีม ทั้ง “ทันจิโร่” “เนซึโกะจัง” และ “เซนอิตสึ” หรือแม้แต่ “พระถังซัมจั๋ง” และคอสเพลย์อื่นๆ อีกมากมายจนกลายเป็นไวรัลทั่วโลกโซเชียลฯ

โดยภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “Prataungtipvittaya” มีคนเข้ามากดไลก์ แสดงความคิดเห็น และแชร์ออกไปเกือบหมื่นครั้ง แถมยังได้รับเสียงชื่นชอบจากชาวโซเชียลฯ อีกว่า คุณครูและทางโรงเรียนมีความคิดที่เปิดกว้าง ไม่ปิดกั้นให้อยู่ในกรอบจนเกินไป


ทีมข่าว MGR Live จึงติดต่อไปยัง จ.ส.ต.ดร.ชัยครุฑ สุพรรณ ผู้บริหารโรงเรียนประเทืองทิพย์วิทยา ให้เล่าถึงไอเดียในครั้งนี้ให้ฟังว่า เดิมทีท่าน ผอ.ดร.เกรียงไกร สุพรรณ ได้แนวคิดนี้มาจากประเทศญี่ปุ่น และทำมาตั้งแต่ปี 61 แล้ว บวกกับทางโรงเรียนมีคุณครูหลายเจนเนอเรชัน จึงหาทางออกร่วมกันว่าอยากจะสร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน ลดความตึงเครียดในการเข้ามาสอบสัมภาษณ์ของนักเรียน จึงเป็นที่มาของไอเดียที่กำลังเป็นที่สนใจในสังคม

นอกจากนี้ ผู้บริหารโรงเรียนยังย้ำอีกว่า เป้าหมายของทางโรงเรียน คือ พยายามมุ่งเน้น พัฒนาการศึกษาอย่างสร้างสรรค์ ไอเดียในครั้งนี้ก็ทำบนพื้นฐานของความเหมาะสมเช่นเดียวกัน


“ต้นไอเดียเลยคือ ทางโรงเรียนเราทำมาทุกปีอยู่แล้ว และโรงเรียนเรามุ่งเน้นพัฒนาการอย่างสร้างสรรค์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันก็เป็นสิ่งที่เราจะเปิดโอกาสให้กับเด็กทุกคน ในการสอบสัมภาษณ์ปีหนึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง เด็กไม่ต้องขอ เราจะต้องจัดให้เด็ก

เราเชื่อว่า เด็กทุกคนมี Passion ในการแสดงออก เราต้องหาสถานที่ หรือโอกาสที่เหมาะสมให้เขาได้แสดงออก พอเขาพร้อมที่จะแสดงออก ในการสอบที่ไม่มีความกดดัน ครูที่สอบสัมภาษณ์เขาจะเห็นเลยว่า เด็กคนนี้ลักษณะบุคลิกเป็นยังไง การพูดคุยของเขามันเปลี่ยนไป เขาพร้อมที่จะให้ข้อมูลกับเราได้อย่างเต็มที่ การสอบมันก็จะราบรื่น

ครูเป็นผู้สังเกตอยู่แล้ว ก็จะเห็นตัวตน อัตลักษณ์ของเด็กที่แท้จริงได้ ก็จะรู้ว่าเด็กคนนี้พร้อมที่จะเรียนในสายอะไร คุณครูก็จะแนะนำให้ด้วย ทางโรงเรียนเราเป็นทั้งการสอบสัมภาษณ์เชิงวิชาการอย่างหนึ่งด้วย สัมภาษณ์เกี่ยวกับทัศนคติของเด็กด้วย


เป้าหมายของโรงเรียนคือ พยายามมุ่งเน้นพัฒนาการศึกษาอย่างสร้างสรรค์ ถ้าทางโรงเรียนไม่สร้างสรรค์เลย เด็กจะทำตามไหมครับ นี่ครูเราพยายามเปิดกว้างแล้ว เป็นตัวอย่างให้เด็กแล้ว ดีด้วยนะ เด็กก็กล้าที่จะฉีก กล้าที่จะทำตามภายใต้เงื่อนไขอย่างที่ผมบอก คือ ถูกที่ ถูกกาลเทศะ

ภายใต้เงื่อนไขคือ ความเหมาะสม ถูกที่ ถูกเวลา ถูกตามความเหมาะสม เราสอนโดยที่เราไม่สอน ทำให้เห็นว่ามันทำได้นะ ภายใต้เงื่อนไง คือ ความเหมาะสม ถูกที่ ถูกเวลา นี่คือ คอนเซ็ปต์ของครูที่สอบสัมภาษณ์ และคอนแซ็ปต์ของผู้บริหารโรงเรียนเรา”


ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เมื่อได้ทดลองให้คุณครูแต่งคอสเพลย์ในการสอบสัมภาษณ์เด็ก ผู้บริหารของโรงเรียนก็บอกว่า เห็นได้ชัด คือ รอยยิ้มของนักเรียน ผู้ปกครองมีมากขึ้นกว่าเดิม สามารถลดความตึงเครียด และทำให้คัดเลือกเด็กได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

“เห็นรอยยิ้มมากกว่าความเครียด ยิ้มทุกคน ทั้งผู้ปกครองด้วย ถือว่าประสบความสำเร็จ ผู้ปกครอง เด็กนักเรียน ให้ความร่วมมือดี บางคนเตรียมตัวมาพร้อม ก็มีความพร้อม มั่นใจมากขึ้นอีกกว่าเดิม

มันเหมือนประจักษ์ต่อสายตาเหมือนเราทำวิจัย แต่ว่าเป็นวิจัยที่มันไม่มีตัวผลมารองรับ แต่คุณครูผู้สอนเขาจะ observe ได้เลยว่าเป็น observation Education มันดีนะ เพราะว่าพอสัมภาษณ์ไปแล้ว เราจะมี observation ทางด้านจิตวิทยาว่าเด็กเป็นยังไงให้ความร่วมมือดีไหม ตอนแรกเด็กก็จะงง ทำอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ


บางทีเราต้องฉีกแนวมุมมองด้านการศึกษาไป เสริมแรงเด็กดีกว่า ให้มีความพร้อม อยากจะเรียน อยากจะสอบ ที่ฉันทำมา ฉันโดนฉีกแนวจากคุณครูเลยเหรอ แทนที่ฉันจะฉีกแนวให้คุณครูเห็น ทีนี้คุณครูฉีกแนวให้เด็กเห็นก่อนว่ามันทำได้

ในขณะเดียวกัน ก็อยากให้มองในมุมมองของเด็ก มองกลับกัน ตอนเราเป็นเด็ก ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์นั้น ซึ่งคุณครูทุกคน น้องๆ คุณครูที่เขาสอบสัมภาษณ์เด็กๆ เขาเข้าใจว่าเมื่อตอนเราเป็นเด็ก ถ้าเรากลับไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น มันจะกดดันแค่ไหน

เราลองกลับมุมมองที่มันเปลี่ยนไป ถ้าเราเป็นเด็กให้เด็กมาทำอะไรแบบนี้ในสิ่งที่เขาเคยอยากทำ แล้วเขาไม่ได้ทำ เขาจะมีผลยังไง เปิดกว้างยังไงกับความคิดของเด็ก คุณครูก็จะสามารถเข้าไปดึงความคิดของเด็ก และเด็กๆ ก็จะสามารถแสดงออกในทางความคิด ทางศักยภาพได้ดี”


ผู้ใหญ่ควรให้ “โอกาส” มากกว่า “ตำหนิ”

ผู้บริหารของโรงเรียนยังบอกอีกว่า ขอบคุณสำหรับเสียงชื่นชม และเพื่อไม่เป็นการเปรียบเทียบ เรื่องของสถาบันการศึกษา วันสอบสัมภาษณ์ยังอนุญาตให้เด็กใส่ชุดไปรเวตมาสอบสัมภาษณ์ได้อีกด้วย

“ตรงนี้ยินดี เราก็ไม่ได้หลงระเริงในความชื่นชมนี้ เพราะว่าเราพยายามที่จะผลักดันเด็กมาตั้งแต่ปี 61 แล้ว ตอนนี้ก็เป็นปีที่ 4 แล้ว ในส่วนปี 61 เราทดลองคือ คุณครูเปลี่ยนก่อน แต่ยังไม่ให้เด็กใส่ชุดไปรเวตมา พอมาปี 62 เราเริ่มเห็นแล้วว่ามีเด็กหลายๆ โรงเรียนเข้ามา มันเกิดการเปรียบเทียบว่าฉันเรียนโรงเรียนนั้น ฉันเรียนโรงเรียนนี้ โรงเรียนไม่ดี โรงเรียนนั้นดีกว่า เราก็เลยเปลี่ยนเป็นไปรเวตให้หมด

พอเปลี่ยนเป็นไปรเวตให้หมด ทุกคนเสมอกัน นี่คือ แนวคิดที่เราเห็น เราสังเกตมาไม่เกิดการเปรียบเทียบแล้ว ไม่เกิดการกดดันแล้ว ว่าเด็กคนนี้มาจากโรงเรียนนี้ ต้องเก่งแน่ๆ ชุดบางทีมันก็ลดความกดดันเด็กได้ วันสอบเราก็เลยไม่ให้เด็กแต่งชุดที่เป็นชุดโรงเรียนมา


อีกประเด็นที่ไม่ถามไม่ได้เลย คือ เรื่องดรามาในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่ครูฝ่ายปกครองยึดเสื้อคลุมการ์ตูนสุดฮิต “ดาบพิฆาตอสูร” ของนักเรียนชั้น ป.3 เพราะมองว่าเป็นเสื้อแฟชัน ไม่ใช่เสื้อกันหนาว และยังมีคำสั่งอีกว่าหากเด็กนักเรียนคนใดยังฝ่าฝืนใส่มา เตรียมโดนยึดทันที

ในฐานะที่เป็นผู้บริหารทางการศึกษา พร้อมทั้งเป็นโรงเรียนที่เปิดกว้างให้ทั้งคุณครูและเด็กนักเรียนขนาดนี้ ก็มองถึงเรื่องนี้ว่า บางอย่างอยากให้มองข้าม และเปิดโอกาสให้เด็กดีกว่า

“มีบางโรงเรียนที่ยึดเสื้อ ที่เป็นพวกแฟชัน ก็อยู่ที่ผู้บริหารด้วย อย่างที่ผมบอก อยู่ที่สถานที่ความเหมาะสม เวลา และสุดท้ายเลย คือ ถ้าเรามองข้ามบางอย่างไปด้วย เพื่อให้เกิดผลดีๆ อีกอย่างหนึ่ง เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว บางทีเราควรจะทำ
ถ้าเรามองข้าม บางทีมันเป็นจุดเล็กๆ มันอาจจะทำให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้น ก็ได้นะ มองข้ามได้ก็มองข้าม แล้วเปิดโอกาสให้เด็กดีกว่า เพราะเด็กทุกคนเขาต้องการโอกาส

สมัยเราเป็นเด็ก เราก็ต้องการโอกาส เพราะบางทีมองกลับกัน ถ้าเด็กตอนนี้ เราให้โอกาสเขา เขาจะไม่มีคำถามว่า ทำไมตอนเขาเป็นเด็ก ทำไมเขาไม่เคยให้โอกาสแบบนี้เลย

สุดท้าย เป้าหมายโครงการคุณครูที่จัดสอบสัมภาษณ์ขึ้นมา ก็คือ เพื่อลดความกดดันในการสอบสัมภาษณ์ และเพื่อให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นของเขาได้เต็มที่ แสดง Passion แสดงตัวตน ความรู้ที่เขามีออกมาได้มากที่สุด”


แม้ทางโรงเรียนจะเปิดให้มีการแต่งกายแบบนี้ได้ ทางโรงเรียนก็ไม่ได้มองว่า จะลดความน่าเชื่อถือ หรือจะทำให้นักเรียนไม่เคารพคุณครู เพราะมองว่าเด็กถูกสอนมาดี และรู้จักกาลเทศะ

“ในความที่เด็กเขาโตแล้ว มีวุฒิภาวะ เขาจะรู้อยู่แล้วว่าสถานที่แบบนี้ เขาจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร นี่คือ ความสำเร็จอย่างหนึ่งนะของการศึกษาไทยที่สอนให้เด็กรู้อยู่แล้ว หน้าที่ของเด็ก มาที่นี่ แต่งตัวแบบนี้

คุณจะแต่งตัวอะไรก็ได้ แต่งมาเถอะ เข้ามาที่นี่ การพูดจามันจะเปลี่ยนไปอยู่แล้ว คุณมาเพื่อมาสอบ คุณจะแต่งมาอวดเพื่อนมันเป็นความสุขของคุณ แต่สุดท้ายคุณมาสอบ คุณต้องเตรียมตัวมาอยู่แล้ว สอบก็ไม่ใช่สอบกากบาทหรือเขียน หัวใจหลักคือ มาสอบสัมภาษณ์วิชาการ คุณอ่านหนังสือมาหรือเปล่า มันยากกว่าการทำข้อเขียนนะครับ

ครูยิงคำถามไปโป้งเดียว เด็กสามารถตอบกลับมาด้วยความมั่นใจขนาดไหน ครูจะสังเกตได้ พอเรารู้แล้วว่าเด็กคนนี้สามารถตอบสูตร สมการอะไรได้ มีความมั่นใจเต็มที่ เราดูแล้วว่าเขาสามารถสอบสายวิทย์ได้นะ ไหนเธอลองคุยเป็นภาษาอังกฤษหน่อย

ในขณะเดียวกัน คุณครูที่เขาสอบสัมภาษณ์เขาก็ลองถามดูว่า ทำไมถึงคิดว่าจะแต่งตัวแบบนี้มาโรงเรียน แล้วรองเท้าทำไมใส่รองเท้าแตะมาโรงเรียน ทำไมชุดเธอดูดี แต่ใส่รองเท้าแตะมาโรงเรียน อะไรแบบนี้ คือ เราจะได้ observe จากเด็กเลย”


ยินดีหากโรงเรียนอื่นอยากนำไปประยุกต์ใช้ มองว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะการศึกษาคือ การแบ่งปันซึ่งกันและกันให้ก้าวหน้า
“นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดครับ เพราะผมบอกแล้วว่า การศึกษามันต้องพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ ต้องช่วยกัน ไม่มีใครกำหนดใครว่าห้าม เพราะการศึกษามันคือการแชร์กัน การแบ่งปันกัน

ในมุมมองถ้าเป็นนักวิชาการ การศึกษาไทยตอนนี้เราเปิดกว้างเต็มที่นะ ไม่ว่าจะโรงเรียนที่ไหนก็แล้วแต่ ในกรุงเทพฯ โรงเรียนต่างจังหวัด โรงเรียนชนบท ครูทุกคน ไม่ว่าจะเป็นครูเอกชน หรือรัฐบาล เราพัฒนาการศึกษาอย่างเต็มที่ เพียงแค่ขอโอกาสเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับเด็ก แล้วการศึกษาไทยเราจะไปไกลมาก”

ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊กแฟนเพจ “Prataungtipvittaya”
ข่าว : MGR Live


** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **