การพิจารณาเลือกส่วนตลาดให้เหมาะสมนั้น

Marketing การแบ่งกลุ่มและกำหนดเป้าหมาย (Segmentation Targeting Positioning)

การพิจารณาเลือกส่วนตลาดให้เหมาะสมนั้น

การแบ่งกลุ่มและกำหนดเป้าหมาย (Segmentation Targeting Positioning, STP) คือ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายทางตลาดที่มี ก่อนที่จะเลือกกลุ่มแล้วกำหนดให้มีเป้าหมายที่มีความชัดเจน

- Segment คือ การจัดแบ่งส่วนตลาดที่ใหญ่ให้มีขนาดย่อยเล็กลง แบ่งเป็นกลุ่มโดยใช้ความสัมพันธ์ หรือตามลักษณะเฉพาะที่คล้ายคลึงกัน 

- Target คือ การเลือกกำหนดเป้าหมาย เพื่อจะใช้ในการวางแผนจัดทำหรือนำเสนอผลิตภัณฑ์ และแผนการตลาดให้เหมาะสม 

- Positioning คือ การวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ของตนว่าอยู่ตรงจุดไหนของตลาด

การเลือกส่วนตลาด (Selecting)

- มุ่งส่วนในตลาดเดียว (Single Segment Concentration) คือ การมุ่งมั่นในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าในส่วนการตลาดส่วนใดส่วนหนึ่งโดยเฉพาะ ด้วยผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะส่วนนั้น ผลดีของการมุ่งเน้นทำตลาดส่วนเดียว ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญและเกิดความได้เปรียบ สามารถประหยัดจากการผลิตที่มีปริมาณมาก (Economy of Scale) 

- มุ่งความเชี่ยวชาญเฉพาะผลิตภัณฑ์ (Product Specialization) คือ การมุ่งไปในส่วนตลาดที่การผลิตสินค้า/บริการเฉพาะที่ชำนาญออกมาตอบสนอง ความต้องการในหลายส่วนตลาด

- มุ่งความเชี่ยวชาญเฉพาะตลาด (Market Specialization) คือ การมุ่งส่วนตลาดที่มงเน้นไปที่กลุ่มตลาดเดียว โดยการตอบสนองด้วยหลายผลิตภัณฑ์ 

- มุ่งความเชี่ยวชาญหลายส่วนตลาด (Selective Specialization) คือ การเลือกส่วนตลาดที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ มีความสามารถสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และทรัพยากรของบริษัท ในการตอบสนองต่อตลาด 

- มุ่งครอบคลุมทุกส่วนตลาด (Full Market Coverage) คือ การเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบเข้าสู่หลายส่วนตลาดหรือทุกส่วนตลาด ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้ามวลชน (Mass Market) 

การเลือกตลาดเป้าหมาย (Targeting) คือ การประเมินและเลือกส่วนตลาดส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือมากกว่า จากการแบ่งส่วนตลาดมาเป็นเป้าหมาย

ตลาดเป้าหมาย (Target market หรือ Target group) คือ กลุ่มผู้บริโภคหรือส่วนตลาดที่นักการตลาดสนใจและเลือกที่จะเข้าไปดำเนินกิจกรรมทางการตลาด  เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนัั้น

- การตลาดแบบไม่แตกต่าง (Undifferentiated Marketing) เป็นการเสนอผลิตภัณฑ์หนึ่งรูปแบบ โดยมองว่าตลาดมีความต้องการเหมือนกัน การตลาดลักษณะนี้มีข้อดีคือ ในด้านการประหยัดต้นทุน เนื่องจากการผลิตในรูปแบบมาตรฐาน (Standardization) และผลิตในจำนวนมาก (Mass Production) จึงทำให้ ลดต้นทุนการผลิต ลดสินค้าคงเหลือ ลดค่าขนส่ง ลดค่าโฆษณา ลดค่าใช้จ่ายในการวิจัย หรือลดค่าใช้จ่ายในการวางแผนการตลาด แต่ก็มีข้อเสียคือ สินค้าชนิดเดียวจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม เนื่องจากแต่ละกลุมจะมีความต้องการที่แตกต่างกัน และไม่เหมาะสมกับตลาดเล็ก 

- การตลาดแบบแตกต่าง (Differentiated Marketing) คือ การเลือกส่วนตลาดแบบมุ่งส่วนที่มีความแตกต่างกันมากกว่าหนึ่งส่วนตลาด โดยจะทำการออกแบบผลิตภัณฑ์ และส่วนประสมทางการตลาดที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละส่วนตลาดเช่น รถยนต์ Toyota, Honda เป็นต้น ข้อดีคือ สามารถสร้างยอดขายได้มากเนื่องจากสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้มากที่สุด แต่ก็มีข้อเสีย คือ ใช้ต้นทุนในการดำเนินงานสูง ทั้งด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ มีต้นทุนการผลิต ต้นทุนในการบริหารส่วนตลาดที่แตกต่างกัน และต้นทุนในการส่งเสริมการตลาด 

- การตลาดแบบมุ่งเฉพาะส่วน (Concentrated Marketing) คือ การเลือกส่วนตลาดที่เฉพาะ (Niche Market) เป็นการเลือกส่วนตลาดเพียงส่วนเดียว (Single Segment) เพื่อการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดในการสร้างความพึงพอใจให้แก่ตลาดได้ตรงกับความต้องการของตลาด มีข้อดีคือ สามารถสร้างความเข้มแข็งในส่วนตลาดนั้นได้เพราะรู้จักตลาดนั้นดี และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารได้ และได้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีข้อเสียคือ มีความเสี่ยงสูง มีโอกาสที่คู่แข่งจะเข้ามาแบ่งส่วนในการตลาดมาก เพราะตลาดมีขนาดเล็กแต่มีมูลค่าตอบแทนที่สูง

---------------------------------------- 

หลายๆธุรกิจที่ไม่กำหนด กลุ่มเป้าหมาย (Tarket Market) หรือกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่กว้างเกินไป มักจะเสียโอกาสและใช้เงินลงทุนโดยไม่จำเป็น เพราะเมื่อพิจารณาถึงสถานีของเศรษฐกิจในปัจจุบัน การมีกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดที่กำหนดไว้มีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมา ไม่มีใครสามารถกำหนดเป้าหมายเป็นทุกๆคนในตลาดได้

ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่ก็ต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพในตลาดเท่านั้น เพราะการกำหนดกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดนอกจากจะยกเว้นผู้ที่ไม่เหมาะสมกับเกณฑ์ที่ธุรกิจกำหนดไว้แล้ว ยังเป็นการกำหนดเพื่อมุ่งเน้นมูลค่าของตลาด สินค้าและบริการในตลาด การสื่อสาร และกลยทธ์ทางการตลาด ที่จะสร้างโอกาสในการเข้าถึงผู้ที่คาดว่าจะเป็นลูกค้าในอนาคต

เลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

  • กลุ่มเป้าหมายทางการตลาด คืออะไร?
    • วิธีการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
  • เงื่อนไขที่ต้องใช้ในการเลือกกลุ่มเป้าหมาย
    • 1. ฐานลูกค้าปัจจุบัน
    • 2. การแบ่งส่วนตลาด
    • 3. ขนาดกลุ่มเป้าหมาย
    • 4. จุดแข็งของสินค้าหรือบริการ
    • 5. การประเมินการตัดสินใจ

กลุ่มเป้าหมายทางการตลาด คืออะไร?

กลุ่มเป้าหมายทางการตลาด (Target Market) คือ กลุ่มผู้มีโอกาสจะเป็นลูกค้า ซึ่งเราต้องการขายสินค้าหรือบริการไปยังคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ การระบุว่าใครคือลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ โดยปกติแล้วจะกำหนดได้ด้วยข้อมูลประชากร เช่น อายุ, เพศ, ที่อยู่, ระดับรายได้, และไลฟ์สไตล์

วิธีการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย

            วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่ง คือ การใช้กลยุทธ์ STP – Segment, Target, Position

เริ่มต้นจากการแบ่ง Segment การแบ่งตลาดออกเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่มีลักษณะเฉพาะ วิธีที่พบบ่อยที่สุด คือ การแบ่งข้อมูลตามประชากรศาสตร์, จิตวิทยา, ภูมิศาสตร์, และพฤติกรรม จากนั้นนำไปวิเคราะห์ Target นำข้อมูลจาก Segment มาวิเคราะห์ว่ากลุ่มเป้าหมายไหนคือกลุ่มที่ดี่สุดในปัจจุบัน และสามารถสร้างมูลค่าให้กับสินค้าและบริการของเราได้ สุดท้ายPositioning คือ วิธีการที่เราเลือกวางตำแหน่งสินค้าและบริการของเรา โดยจำกัดขอบเขตให้แคบลง ระบุด้วยข้อดีข้อเสียของแต่ละกลุ่ม และนำมาวางแผนการตลาด และออกแบบวิธีที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทำได้อย่างไร และที่ไหน

เงื่อนไขที่ต้องใช้ในการเลือกกลุ่มเป้าหมาย

1. ฐานลูกค้าปัจจุบัน

การเริ่มต้นขายสินค้า มักจะมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว จึงควรที่จะศึกษาหาข้อมูลโดยเริ่มจาก ฐานลูกค้าปัจจุบัน ว่าเพราะอไรลูกค้ากลุ่มนี้ถึงสนใจ และสาเหตุที่ผลิตภัณฑ์ของคุณสามารถเข้าถึงกลุ่มนี้ได้ และกลุ่มเป้าหมายในลักษณะใดที่สามารสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ได้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจวิธีการตอบสนองลูกค้าปัจจุบัน และนำไปขยายฐานลูกค้าได้ในอนาคต

2. การแบ่งส่วนตลาด

การดูเปอร์เซ็นต์ยอดขายทั้งหมดในอุตสาหกรรม ซึ่งคำนวนจากยอดขายของธุรกิจในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งสามารถดูการแข่งขันในตลาดได้ เพราะมีข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงอย่างประเทศ, คู่แข่งขัน, รายได้ ทำให้สามารถนำข้อมูลไปใช้คาดการณ์ความรุนแรงในการแข่งขัน อำนาจในการซื้อของผู้บริโภค และอำนาจในการขายของผู้ประกอบการ ซึ่งจะสามารถคาดการณ์ได้ว่ากลุ่มเป้าหมายในตลาดนี้เหมาะสมกับสินค้าของเราหรือไม่ และเราสามารถทำธุรกิจในอุตสากรรมนี้โดยใช้กลุ่มเป้าหมายเดียวกันได้หรือไม่

3. ขนาดกลุ่มเป้าหมาย

จำนวนผู้ทีมีแนวโน้มซื้อสินค้าและบริการที่มีศักยภาพในตลาด โดยการคำนวนต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย ประเมินความสนใจโดยดูจากยอดขายและการแบ่งส่วนตลาดมาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล จะทำให้ประมาณขนาดของกลุ่มเป้าหมายได้ อาจจะใช้การวิจัยทางการตลาดเข้ามาช่วยในการประเมิน ก็จะทำให้คาดการณ์แนวโน้มของปริมาณผู้ที่จะซื้อสินค้าและบริการที่คล้ายคลึงกันภายใน 1-2 ปีนั้นอย่างไรบ้าง ทำให้สามารถประเมินยอดขายและผลกำไรของสินค้าและบริการได้ ซึ่งเป็นส่วนช่วยในการตัดสินใจลงทุน และการวางแผนทางการตลาดได้

4. จุดแข็งของสินค้าหรือบริการ

การมองหากลุ่มเป้าหมาย ต้องทบทวนสินค้าหรือบริการของธุรกิจ เพื่อให้เข้าใจถึงวิธีการดึงดูดลูกค้าใหม่ หรือดูว่าสินค้าหรือบริการที่มีตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้หรือไม่ ซึ่งจะทำให้รับรู้ได้ว่าสินค้าหรือบริการของเราคืออะไร กลุ่มเป้าหมายคาดหวังจะได้รับอะไร รวมไปถึงความพึงพอใจต่อสินค้าหรือบริการ และทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำการตลาดกับผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าได้อย่างไร

5. การประเมินการตัดสินใจ

เมื่อได้กำหนดหรือตัดสินใจเลือกกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใดกลุ่มหนุ่งไปแล้ว ควรพิจาณาถึงผลที่จะตามมาด้วยทุกครั้ง ด้วยการพิจารณาจากคำถามเหล่านี้

  • คนที่เหมาะสมกับสินค้าและบริการของเรามีเพียงพอหรือไม่?
  • กลุ่มเป้าหมายจะได้รับประโยชน์จากสินค้าและบริการของเราจริงหรือไม่? หรือมีความจำเป็นมากเพียงพอหรือไม่?
  • แรงจูงใจ หรือแรงผลักดันจากกลยุทธ์ทางการตลาด หรือสินค้าและบริการมีเพียงพอให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อหรือไม่?
  • กลุ่มเป้าหมายมีศักยภาพเพียงพอที่จะซื้อสินค้าและบริการได้จริงหรือไม่?
  • วิธีการที่จะเข้าถึง และสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายเป็นไปได้หรือไม่?

เมื่อรู้แล้วว่ากลุ่มเป้าหมายทางการตลาดของเราเป็นใคร จะทำให้เราเข้าใจได้ง่ายมากว่า ทิศทางของธุรกิจจะเป็นไปในทางใด จะสามารถสื่อสารเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร ทำให้สามารถกำหนดได้เฉพาะเจาะจง ช่วยประหยัดต้นทุน เพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย