ระบบทำความเย็นในโรงงานเป็นหนึ่งในระบบสำคัญที่ช่วยในการปรับอากาศ ควบคุมความชื้น และรักษาคุณภาพของอากาศในพื้นที่ขนาดใหญ่ นอกจากนี้โรงงานที่มีห้องเย็นหรือห้องแช่แข็ง ก็จะมีระบบทำความเย็นหลากหลายรูปแบบ ที่ใช้ในการทำความเย็นให้ได้ตามอุณหภูมิที่ต้องการ Show ระบบทำความเย็นในโรงงานไม่ว่าจะเป็นระบบปรับอากาศ (Air-Condition) ระบบห้องเย็น (Cold Storage Room) ระบบห้องแช่แข็ง (Freezing Room) ล้วนมีวัตถุประสงค์ที่เหมือนกันคือ การทำความเย็นให้กับพื้นที่ที่ต้องการ แต่อาจแตกต่างกันที่รูปแบบการทำความเย็น และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำความเย็น สำหรับบทความนี้จะเป็นการแนะนำการเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบทำความเย็นภายในโรงงาน รวมทั้งการตรวจเช็คความพร้อมในการทำงานของอุปกรณ์ทำความเย็น และการบำรุงรักษาอุปกรณ์ทำความเย็นให้ทำงานเป็นปกติ เพื่อประสิทธิภาพในการทำความเย็นที่ดี การแบ่งประเภทระบบทำความเย็นในโรงงานแบ่งประเภทตามลักษณะการทำงาน1. แบบ Primary Refrigeration ระบบการทำความเย็นแบบปฐมภูมิ (Primary Refrigeration) เป็นการทำความเย็นด้วยสารทำความเย็น (Refrigerant) ที่ทำงานโดยตรงกับอุปกรณ์ทำความเย็น ยกตัวอย่างเช่น
2. แบบ Secondary Refrigeration ระบบทำความเย็นแบบทุติยภูมิ (Secondary Refrigeration) เป็นการทำความเย็นด้วยการใช้สารทำความเย็น ไปทำความเย็นให้กับตัวกลาง (Media) เมื่อสารตัวกลาง (Cooling Media) ถูกทำให้เย็นแล้วจะถูกนำไปใช้ทำความเย็นอีกต่อหนึ่ง เช่น น้ำเกลือ หรือ Glycol แบ่งประเภทตามการจ่ายและควบคุมสารทำความเย็น
การตรวจสอบความปลอดภัยของระบบทำความเย็นการตรวจสอบอุปกรณ์ทำความเย็นของระบบทำความเย็น เพื่อรักษาสภาพการทำงานของอุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และป้องกันอันตรายที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานภายในโรงงาน ที่เกิดจากการรั่วไหลของสารทำความเย็นที่มีสารแอมโมเนีย ซึ่งในเชิงวิศวกรรมสามารถตรวจสอบความปลอดภัยของระบบทำความเย็นได้ดังนี้
การดูแลความปลอดของระบบทำความเย็นและการบำรุงรักษาความปลอดภัยเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญกับระบบทำความเย็น เนื่องจากระบบทำความเย็นประกอบด้วยอุปกรณ์จำนวนมาก และควรได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพที่ดีและใช้งานได้ดีอยู่เสมอ โดยสามารถทำได้ตามคำแนะนำดังนี้
ปัญหาที่พบบ่อยสำหรับระบบทำความเย็นในโรงงานและการแก้ไขการรั่วไหลของสารทำความเย็นที่เป็นฟรีออนและแอมโมเนียสารทำความเย็นที่เป็นชนิดสารฟรีออน และสารแอมโมเนีย จะมีความเป็นสารพิษและมีความอันตรายสูงเมื่อไหลออกมาสู่ภายนอกจากอุปกรณ์ทำความเย็น เมื่อมีการรั่วไหลที่ความเข้ม 0.005% โดยปริมาตร จะเริ่มส่งกลิ่นฉุนและผู้ที่สูดดมจะเกิดการระคายเคืองที่ระบบหายใจ เมื่อมีการสัมผัสโดยตรงที่ผิวหนังก็จะเกิดการไหม้ของผิวหนังอย่างรุนแรงหรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ สาเหตุของการรั่วไหล การรั่วไหลของสารทำความเย็นส่วนใหญ่มักเกิดจากการชำรุดของอุปกรณ์ หรือหมดอายุการใช้งานแล้ว ทำให้สารทำความเย็นที่ทำงานอยู่ภายในอุปกรณ์ทำความเย็นรั่วไหลออกตามจุดที่มีการผุกร่อน นอกจากนี้การรั่วไหลยังเกิดขึ้นได้จากการติดตั้งอุปกรณ์วาล์วกันกลับผิดทาง (Check Valve) ทำให้ของเหลวในระบบเกิดการขยายตัวจนเกิดการรั่วไหล การแก้ไขเมื่อเกิดการรั่วไหลของสารทำความเย็นที่เป็นแอมโมเนีย เมื่อพบว่ามีการรั่วไหลของสารทำความเย็นที่เป็นแอมโมเนีย ควรทำการป้องกันไม่ให้เกิดการฟุ้งกระจายหรือถูกผิวหนัง และทำตามข้อควรปฏิบัติดังนี้
สรุปโรงงานที่มีการผลิต จัดเก็บรักษา ประกอบ บรรจุ โดยมีคนงานตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป มีความต้องการในการทำความเย็นที่มีมาตรฐาน เพื่อให้สามารถรักษาวัตถุดิบที่จัดเก็บเอาไว้ในตู้แช่ หรือใช้ในการแช่แข็งสินค้าภายในห้องแช่แข็ง หรือใช้ในการปรับอากาศภายในพื้นที่ขนาดใหญ่ของโรงงาน ดังนั้น การตรวจสอบสภาพความพร้อมใช้งานของอุปกรณ์ทำความเย็นอยู่เสมอ จะทำให้ระบบทำความเย็นสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และการควบคุมอุณหภูมิในการทำความเย็นที่ต้องการได้ดี อีกทั้งยังช่วยในการลดความเสี่ยงหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากการชำรุดของอุปกรณ์ทำความเย็นได้อีกด้วย สำหรับท่านใดที่ยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบทำความเย็นในโรงงาน ติดต่อเราได้ที่นี่ เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทำความเย็นที่คอยให้คำปรึกษากับคุณได้อย่างเต็มที่ |