วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต ไม่ไกลจาก พระบรมรูปทรงม้า เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้น โดยมีสมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้างด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมไทยโบราณมีความวิจิตรงดงามและเป็นระเบียบ ได้รับการยกย่องว่าเป็นวัดที่มีการวางแปลนแผนผังที่ดีที่สุดวัดหนึ่ง ทั้งยังประดับด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดจากประเทศอิตาลี เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในชื่อ “Marble temple”

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

สำหรับการเดินทางมายัง วัดเบญจมบพิตร ฯ สำหรับผู้ที่มาด้วยรถส่วนตัว สามารถนำรถมาจอดบริเวณหน้าวัด โดยไม่มีการเสียค่าใช้จ่าย แต่จะมีคนดูแลคอยโบกรถให้บริเวณหน้าวัดก็สามารถให้เงินเป็นสินน้ำใจได้ตามความเหมาะสม  สำหรับค่าเข้าชมคนไทยเข้าชมฟรี ชาวต่างชาติ 50 บาท เป็นวัดที่นักท่องเที่ยวค่อนข้างน้อยกว่าวัดอื่นในฝั่งพระนคร โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิดที่ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยี่ยมชม เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูวด ก็จะพับกับพระอุโบสถตั้งโดดเด่นอยู่ตรงกลาง ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธาน คือ พระพุทธชินราช ที่จำลองมาจากพิษณุโลก 

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

เดินเข้าไปบริเวณชั้นในรอบพระอุโบสถเป็นแบบจตุรมุข เสาและผนังกรุด้วยหินอ่อนสีขาวจากเมืองคาราร่าห์ อิตาลี ซึ่งถือว่าเป็นหินอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดในยุคนั้น ด้านหลังพระอุโบสถมีพระพุทธรูปยืนทรงเครื่องศิลปะลพบุรี ปางห้ามญาติ ประดับด้วยสิงห์ทวารบาล 2 ตัว ที่สลักจากหินอ่อน นับได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความวิจิตรงดงามเป็นอย่างมาก 

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

พื้นภายในพระอุโบสถปูด้วยหินแกรนิตสีชมพูอ่อนและสีเทา ล้อมรอบด้วยระเบียงคด ทั้ง 4 ด้าน พระระเบียงคด พื้นระเบียงปูหินอ่อน เสากลมหินอ่อนทั้งแท่ง 64 ต้น เสาเหลี่ยมประกบแผ่นหินอ่อน 28 ต้น ปลายเสา เรียงรายด้วยพระพุทธรูปโบราณปางต่าง ๆ 52 องค์ ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงรวบรวมมาจากหัวเมืองต่าง ๆ และต่างประเทศ

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

ภายในวัด ยังมีกลุ่มอาคารที่สวยงาม ให้เดินชม เดินข้ามสะพานผ่านคลองขุดยาว ๆ มีน้ำพุอยู่กลางคลอง มองข้ามั่งไปเห็นพระอุโบสถที่สงบสวยงาม

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

ข้ามสพานมาจะเจอกับ พระที่นั่งทรงธรรม ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น ก่ออิฐถือปูนบันไดปูด้วยหินอ่อน หน้าบันจำหลักภาพปิดทองประดับกระจก ถัดไปคือ พระที่นั่งทรงผนวช ซึ่งเป็นพระที่นั่งองค์เดิมที่รัชกาลที่ 5 ประทับเมื่อครั้งทรงผนวชในพุทธรัตนสถาน ที่สวนศิวาลัย ในพระบรมมหาราชวัง และเมื่อสร้างวัดเบญจมบพิตรฯ เสร็จทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อมาปลูกที่นี่ เพื่อเป็นกุฏิเจ้าอาวาสโดยรักษารูปแบบเดิมไว้ เดินชมกลุ่มอาคารได้ฟีลแบบคลาสสิคมาก

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

วัดเบญจมบพิตร ดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

วัดเบญจมบพิตร วัดสำคัญและเป็นแหล่งรวมงานศิลปกรรมที่น่าสนใจ ทั้งการก่อสร้างแบบไทยที่ผสมผสานจกวัสดุจากต่างประเทศ  นับได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความวิจิตรงดงามเป็นอย่างมาก หากมีโอกาสเราคนไทยน่าไปเยือนให้ได้สักครั้ง แนะนำสำหรับคนชอบถ่ายภาพ ถ้าไม่ได้มาช่วงเช้าก่อน 9 โมง ก็ให้มาช่วงสี่โมงนะคะ จะได้แสงอ่อนๆ ส่องกระทบลงมายังตัวอุโบสถ และเสาที่เรียงรายกัน แสงสวยมาก

Tags : วัดฝั่งพระนคร, วัดสวยกรุงเทพ, วัดเบญจมบพิตร, เที่ยววัดกรุงเทพ

  • บทความที่เกี่ยวข้อง

    ประวัติ
    วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เดิมเป็นวัดราษฎร์

    เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณปลายแหลมที่สวนต่อกับทุ่งนา หรือ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดแหลม เนื่องจากอาจมีต้นไทรอยู่ภายในวัด ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด เมื่อ พ.ศ. 2369 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ขึ้น พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพนมวัน กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาศิลา ทรงเป็นแม่ทัพรักษาพระนคร โดยทรงตั้งกองบัญชาการทัพที่วัดแหลม หลังจากปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แล้ว กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พร้อมพระอนุชาและพระขนิษฐาร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกันอีก 4 พระองค์ คือ

    1. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากุญชร กรมพระพิทักษ์เทเวศร์ (ต้นราชสกุลกุญชร)
    2. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทินกร กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ (ต้นราชสกุลทินกร)
    3. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทนิล และ
    4. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงวงศ์

    มีพระประสงค์ที่จะร่วมกันปฏิสังขรณ์วัดแหลม พร้อมทั้งทรงสร้างพระเจดีย์เรียงรายไว้หน้าวัด 5 องค์ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า วัดเบญจบพิตร หมายความว่า วัดของเจ้านาย 5 พระองค์ 
    ในปี พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินระหว่างคลองผดุงกรุงเกษมจนถึงคลองสามเสนเพื่อสร้างที่ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถส่วนพระองค์ โดยพระราชทานนามว่า "สวนดุสิต" (พระราชวังดุสิต ในปัจจุบัน) ซึ่งบริเวณที่ดินที่ทรงซื้อนั้นมีวัดโบราณ 2 แห่ง คือ วัดดุสิตซึ่งอยู่ในสภาพทรุดโทรมโดยถูกใช้เป็นที่สร้างพลับพลา และวัดร้างอีกแห่งซึ่งจำเป็นต้องใช้ที่ดินของวัดสำหรับตัดเป็นถนน พระองค์จึงทรงกระทำผาติกรรม สร้างวัดแห่งใหม่เพื่อเป็นการทดแทนตามประเพณี โดยทรงเลือกวัดเบญจมบพิตรเป็นวัดที่ทรงสถาปนาตามพระราชดำริว่า การสร้างวัดใหม่หลายวัดยากต่อการบำรุงรักษา ถ้ารวมเงินสร้างวัดเดียวให้เป็นวัดใหญ่ และทำโดยฝีมือประณีตจะดีกว่า จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถและถาวรวัตถุอื่น ๆ และมีพระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) เป็นนายช่างก่อสร้าง
    เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมายังวัด ในการนี้มีพระบรมราชโองการประกาศพระบรมราชูทิศถวายที่ดินให้เป็นเขตวิสุงคามสีมาของวัด พร้อมทั้งพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดเบญจมบพิตร อันหมายถึง วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5 และเพื่อแสดงลำดับรัชกาลในมหาจักรีบรมราชวงศ์ ต่อมา พระองค์ได้ถวายที่ดินซึ่งพระองค์ขนานนามว่า ดุสิตวนาราม ให้เป็นที่วิสุงคามสีมาเพิ่มเติมแก่วัดเบญจมบพิตร และโปรดฯ ให้เรียกนามรวมกันว่า วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม 
    เมื่อมีการจัดระเบียบพระอารามหลวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ. 2458 วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามจัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ดังนั้น ชื่อวัดจึงมีสร้อยนามต่อท้ายด้วย "ราชวรวิหาร" ดังเช่นในปัจจุบัน


    สิ่งก่อสร้างสำคัญ

    ศาลาสี่สมเด็จ

    ศาลาสี่สมเด็จ เป็นศาลาจตุรมุขพื้นศิลา หลังคาประดับด้วยช่อฟ้าใบระกา สร้างขึ้นจากพระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวร่วมกับสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอและสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอร่วมพระราชชนนีอีก 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช โดยพระองค์พระราชทานนามศาลาแห่งนี้ว่า ศาลาสี่สมเด็จ ไว้เป็นที่พักผ่อนสำหรับพระสงฆ์และสามเณร ปัจจุบัน ศาลาสี่สมเด็จใช้เป็นหอกลอง

    บริเวณหน้าบันทั้ง 4 ด้านของศาลาสี่สมเด็จได้จำหลักลายไทยเป็นตราประจำพระองค์ของแต่ละพระองค์ไว้ ได้แก่ ตราพระเกี้ยว พระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตราจันทรมณฑล ตราประจำพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ ตราจักร ตราประจำพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และ ตราสุริโยทัย ตราประจำพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช 

    พระที่นั่งทรงธรรม

    เป็นตึก 2 ชั้น ก่ออิฐถือปูนตลอด พื้นชั้นล่างและบันไดปูหินอ่อน ชั้นบนปูไม้ หลังคา 2 ชั้น มุงกระเบื้องเคลือบสี ช่อฟ้าใบระกาลงรักปิดทองทึบ หน้าบันทั้ง 4 ด้าน จำหลักภาพต่าง ๆ ปิดทองประดับกระจก ภายในผนังเสมอกรอบหน้าต่าง ประกบแผ่นหินอ่อนสีขาว เสาเขียนลายรดน้ำเทพนม ตั้งธรรมาสน์กลางห้อง ด้านใต้กั้นพระฉากดีบุกฉลุลายไทยเทพนมและกุมภัณฑ์ เพื่อเป็นที่ประทับของฝ่ายใน พระที่นั่งทรงธรรมนี้ "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี" ทรงสร้างอุทิศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อ พ.ศ. 2445 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ใช้เป็นที่ประทับแรมเวลาทรงธรรมรักษาอุโบสถศีล ต่อมาได้เคยใช้เป็นที่ประชุมสังฆมนตรี, ที่ศึกษาพระปริยัติธรรม จัดงานประจำปีของวัด ตั้งพระศพและศพบุคคลสำคัญของชาติ ในเวลาตั้งพระศพศาลาแห่งนี้มีศักดิ์เป็นรองจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เช่น พระศพของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี, พระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเหมวดี,พระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอดิศัยสุริยาภา พระศพพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต, พระศพสมเด็จพระสังฆราช กิตติโสภณมหาเถระ,ศพจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี เป็นต้น ปัจจุบันคงใช้ในกิจกรรมของวัด และตั้งพระศพหรือศพบุคคลสำคัญ 

    หอระฆังบวรวงศ์

    หอระฆังบวรวงศ์ เป็นหอระฆังทรงไทยประกอบหินอ่อน สร้างขึ้นโดยพระบรมวงศานุวงศ์ ฝ่ายพระราชวังบวร (กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า) และข้าราชการ ระฆังภายในหอนั้นนำมาจากวัดบวรสถานสุทธาวาส ซึ่งเป็นวัดประจำพระราชวังบวรสถานมงคล หน้าบันของหอระฆังจำหลักลายไทยประกอบภาพตราประจำตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล โดยหน้าบันทิศตะวันตกเป็นภาพ "พระลักษณ์ทรงหนุมาน" ซึ่งเป็นตราประจำตำแหน่งองค์เดิม ส่วนหน้าบันทิศตะวันออก เป็นภาพ "พระนารายณ์ทรงปืน" ซึ่งเป็นตราประจำตำแหน่งองค์ที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการเปิดและฉลองหอระฆังเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2445 พร้อมทั้งพระราชทานามว่า หอระฆังบวรวงศ์ 

    สถานที่อื่น ๆ

    • พระอุโบสถ เป็นแบบจตุรมุข มุขด้านตะวันออกขยายยาว ด้านเหนือและใต้มีมุขกระสันต่อกับพระระเบียง หลังคา ๔ ชั้น ด้านมุขกระสันทิศเหนือและทิศใต้ ๕ ชั้น มีพระระเบียงโอบรอบด้านหลังด้านหน้าพระอุโบสถ มีกำแพงแก้ว บนมุมกำแพงแก้วซ้าย-ขวา มีเสาคอนกรีตหัวเสาเป็นศิลาสลักรูปดอกบัวตูม คือเครื่องหมาย "สีมา" สำหรับด้านหน้า ส่วนสีมาด้านหลังพระอุโบสถ สลักรูปเสมาธรรมจักรที่แผ่นหินแกรนิตปูพื้นภายในกำแพงแก้ว ปูหินแกรนิตสีชมพูอ่อนและสีเทา
    • พระที่นั่งผนวช เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้รื้อมาจากพระพุทธรัตนสถาน เป็นหมู่กุฏิประกอบด้วย "พระที่นั่งทรงผนวช" อยู่ด้านทิศเหนือ "พระกุฏิ" อยู่ด้านทิศใต้ กับกุฏิ ๒ ห้อง ๒ หลัง อยู่ด้านตะวันออกและตะวันตก มีหอเสวยกลาง มีลานหินอ่อนโดยรอบมีช่อฟ้า ใบระกา ลำยอง ลงรักปิดทองทึบหลังด้านทิศใต้คือ "พระกุฏิ" หน้าบันจำหลักลายประกอบ "พัดยศ" ลงรักปิดทองประดับกระจก มีความหมายว่าเป็นที่ประทับของสมเด็จพระอุปัชฌาย์ เมื่อพระองค์ทรงผนวชส่วนหลังทิศเหนือคือ '"พระที่นั่งทรงผนวช"' เป็นตรีมุข ประตูหน้าต่างด้านนอกเขียนลายรดน้ำตรา "เครื่องราชอิสริยาภรณ์" ที่ทรงปรับปรุงขึ้นใหม่เป็น ๕ สาย ๕ ชั้น ด้านในเขียนภาพเทวดาถือดอกไม้เหนือคนแคระหน้าบันทั้ง ๓ ด้านจำหลักลายไทยประกอบตรา "พระเกี้ยว" ซึ่งเป็นตราประจำของพระองค์ ลงรักปิดทองประดับกระจก หมายถึงพระที่นั่งองค์นี้ เป็นที่ประทับเมื่อคราวพระองค์ทรงผนวชภายในพระที่นั่งทรงผนวช มีพระแท่นบรรทม พระบรมรูปเมื่อทรงผนวช พระบรมรูปสลักหินอ่อน พระพุทธรูป พระเสลี่ยงน้อย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเพื่อเป็นธรรมาสน์แสดงธรรมและแสดงพระปาติโมกข์ครั้งแรกในวัดเบญจมบพิตร เครื่องลายครามต่าง ๆ
    • ศาลาบัณณรศภาค เป็นศาลาจตุรมุข สร้างด้วยทุนทรัพย์ของพระมเหสี เจ้าจอม พระราชโอรส พระราชธิดาและพระญาติในรัชกาลที่ 5 รวม 15 พระองค์ ปัจจุบัน ใช้เป็นที่ตั้งศพบุคคลสำคัญ อาทิ ม.ร.ว.กัลยาณกิติ์ กิติยากร,พันโทหญิง หม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา,ม.ร.ว.อดุลกิติ์ กิติยากร,ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค,นายสมัคร สุนทรเวชอดีตนายกรัฐมนตรี ฯลฯ
    • โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นด้วยทุนทรัพย์ซึ่งเป็นสมบัติของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอิศริยาภรณ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรสิริประสาธน์ และเจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เกสรในรัชกาลที่ 5 เมื่อรัตนโกสินทรศก 121 โดยมีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นเพื่อ "สอนศิษย์ซึ่งเป็นคฤหัสถ์" ปัจจุบัน ทางการได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น "โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร" เปิดสอนเฉพาะนักเรียนชาย
    • พระวิหารสมเด็จ เป็นตึกจตุรมุข ๒ ชั้น แต่มุขด้านใต้เชื่อมต่อกับมุขกุฏิสมเด็จ มุขด้านตะวันออกและตะวันตกขยายยาวเป็นชั้นเดียว บันไดพื้นชั้นล่างปูหินอ่อน ชั้นบนปูไม้ความงามของพระวิหารนี้อยู่ที่ประตูหน้าต่างที่เขียนลายไทยรดน้ำทั้งชั้นล่างและชั้นบน หน้าบันและซุ้มประตูหน้าต่าง ปั้นลายก้านขดประกอบตราพระนามาภิไธยย่อ'"ส.ผ."'(เสาวภาผ่องศรี)ลงรักปิดทองประดับกระจกข้างบันไดขึ้นด้านหน้าหล่อราชสีห์ประดับ ๒ ตัว
    • ศาลาอุรุพงศ์ เป็นศาลาทรงไทย จตุรมุข หลังเล็ก ๆ ก่ออิฐถือปูน พื้นคอนกรีต หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ ตั้งอยู่สนามหญ้าหลังพระอุโบสถ ด้านทิศเหนือต้นพระศรีมหาโพธิ์ สันนิษฐานว่าหลังเดิมสร้างแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๓ เป็นศาลาเครื่องไม้ทั้งหมด ต่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ถูกพายุพัดหักลง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯให้ซ่อมขึ้นใหม่ แต่คงเป็นศาลาเครื่องไม้เช่นเดิมต่อมาเจ้าจอมมารดาเลื่อน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้บริจาคทรัพย์เปลี่ยนศาลาจากเดิมให้เป็นจตุรมุข ผูกเหล็กหล่อคอนกรีตทั้งหลังศาลาหลังนี้เป็นที่บรรจุพระอังคารของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภชพระราชโอรสในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาเลื่อน
    • ศาลาธรรมชินราชปัญจบพิธ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ๔ ชั้น มีดาดฟ้าเป็นชั้นที่๕สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเจริญพระชนมมายุครบ ๒๕ ชันษา เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๘ สร้างเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๒๔ศาลาธรรมชินราชปัญจบพิธ เป็นศาลาอเนกประสงค์ ที่รวมหน่วยงานสำคัญต่าง ๆ ของวัด
    • พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อจัดแสดงพระพุทธรูปทั้งในและนอกประเทศ

    ลำดับเจ้าอาวาส

    1. สมเด็จพระวันรัต (จ่าย ปุณฺณทตฺโต) ครองวัดตั้งแต่ พ.ศ. 2443 - พ.ศ. 2471
    2. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) ครองวัดตั้งแต่ พ.ศ. 2471 - พ.ศ. 2505
    3. สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สุวรรณ สุวณฺณโชโต) ครองวัดตั้งแต่ พ.ศ. 2505 - พ.ศ. 2537
    4. พระพรหมจริยาจารย์ (สมุท รชตวณฺโณ) ครองวัดตั้งแต่ พ.ศ. 2537 - พ.ศ. 2549
    5. พระพุทธวรญาณ (ทอง สุวณฺณสาโร) ครองวัดตั้งแต่ พ.ศ. 2550 - พ.ศ. 2557
    6. พระเทพกิตติเวที (ฉ่ำ ปุญฺญชโย) ครองวัดตั้งแต่ วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557


    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลจาก : เว็บไซต์ https://th.wikipedia.org/wiki/วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร