วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต ไม่ไกลจาก พระบรมรูปทรงม้า เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้น โดยมีสมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้างด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมไทยโบราณมีความวิจิตรงดงามและเป็นระเบียบ ได้รับการยกย่องว่าเป็นวัดที่มีการวางแปลนแผนผังที่ดีที่สุดวัดหนึ่ง ทั้งยังประดับด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดจากประเทศอิตาลี เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในชื่อ “Marble temple” สำหรับการเดินทางมายัง วัดเบญจมบพิตร ฯ สำหรับผู้ที่มาด้วยรถส่วนตัว สามารถนำรถมาจอดบริเวณหน้าวัด โดยไม่มีการเสียค่าใช้จ่าย แต่จะมีคนดูแลคอยโบกรถให้บริเวณหน้าวัดก็สามารถให้เงินเป็นสินน้ำใจได้ตามความเหมาะสม สำหรับค่าเข้าชมคนไทยเข้าชมฟรี ชาวต่างชาติ 50 บาท เป็นวัดที่นักท่องเที่ยวค่อนข้างน้อยกว่าวัดอื่นในฝั่งพระนคร โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิดที่ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยี่ยมชม เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูวด ก็จะพับกับพระอุโบสถตั้งโดดเด่นอยู่ตรงกลาง ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธาน คือ พระพุทธชินราช ที่จำลองมาจากพิษณุโลก เดินเข้าไปบริเวณชั้นในรอบพระอุโบสถเป็นแบบจตุรมุข เสาและผนังกรุด้วยหินอ่อนสีขาวจากเมืองคาราร่าห์ อิตาลี ซึ่งถือว่าเป็นหินอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดในยุคนั้น ด้านหลังพระอุโบสถมีพระพุทธรูปยืนทรงเครื่องศิลปะลพบุรี ปางห้ามญาติ ประดับด้วยสิงห์ทวารบาล 2 ตัว ที่สลักจากหินอ่อน นับได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความวิจิตรงดงามเป็นอย่างมาก พื้นภายในพระอุโบสถปูด้วยหินแกรนิตสีชมพูอ่อนและสีเทา ล้อมรอบด้วยระเบียงคด ทั้ง 4 ด้าน พระระเบียงคด พื้นระเบียงปูหินอ่อน เสากลมหินอ่อนทั้งแท่ง 64 ต้น เสาเหลี่ยมประกบแผ่นหินอ่อน 28 ต้น ปลายเสา เรียงรายด้วยพระพุทธรูปโบราณปางต่าง ๆ 52 องค์ ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงรวบรวมมาจากหัวเมืองต่าง ๆ และต่างประเทศ ภายในวัด ยังมีกลุ่มอาคารที่สวยงาม ให้เดินชม เดินข้ามสะพานผ่านคลองขุดยาว ๆ มีน้ำพุอยู่กลางคลอง มองข้ามั่งไปเห็นพระอุโบสถที่สงบสวยงาม ข้ามสพานมาจะเจอกับ พระที่นั่งทรงธรรม ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น ก่ออิฐถือปูนบันไดปูด้วยหินอ่อน หน้าบันจำหลักภาพปิดทองประดับกระจก ถัดไปคือ พระที่นั่งทรงผนวช ซึ่งเป็นพระที่นั่งองค์เดิมที่รัชกาลที่ 5 ประทับเมื่อครั้งทรงผนวชในพุทธรัตนสถาน ที่สวนศิวาลัย ในพระบรมมหาราชวัง และเมื่อสร้างวัดเบญจมบพิตรฯ เสร็จทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อมาปลูกที่นี่ เพื่อเป็นกุฏิเจ้าอาวาสโดยรักษารูปแบบเดิมไว้ เดินชมกลุ่มอาคารได้ฟีลแบบคลาสสิคมาก วัดเบญจมบพิตร วัดสำคัญและเป็นแหล่งรวมงานศิลปกรรมที่น่าสนใจ ทั้งการก่อสร้างแบบไทยที่ผสมผสานจกวัสดุจากต่างประเทศ นับได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความวิจิตรงดงามเป็นอย่างมาก หากมีโอกาสเราคนไทยน่าไปเยือนให้ได้สักครั้ง แนะนำสำหรับคนชอบถ่ายภาพ ถ้าไม่ได้มาช่วงเช้าก่อน 9 โมง ก็ให้มาช่วงสี่โมงนะคะ จะได้แสงอ่อนๆ ส่องกระทบลงมายังตัวอุโบสถ และเสาที่เรียงรายกัน แสงสวยมาก Tags : วัดฝั่งพระนคร, วัดสวยกรุงเทพ, วัดเบญจมบพิตร, เที่ยววัดกรุงเทพ บทความที่เกี่ยวข้องประวัติ
มีพระประสงค์ที่จะร่วมกันปฏิสังขรณ์วัดแหลม พร้อมทั้งทรงสร้างพระเจดีย์เรียงรายไว้หน้าวัด 5 องค์ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า วัดเบญจบพิตร หมายความว่า วัดของเจ้านาย 5 พระองค์
ศาลาสี่สมเด็จ ศาลาสี่สมเด็จ เป็นศาลาจตุรมุขพื้นศิลา หลังคาประดับด้วยช่อฟ้าใบระกา สร้างขึ้นจากพระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวร่วมกับสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอและสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอร่วมพระราชชนนีอีก 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช โดยพระองค์พระราชทานนามศาลาแห่งนี้ว่า ศาลาสี่สมเด็จ ไว้เป็นที่พักผ่อนสำหรับพระสงฆ์และสามเณร ปัจจุบัน ศาลาสี่สมเด็จใช้เป็นหอกลอง บริเวณหน้าบันทั้ง 4 ด้านของศาลาสี่สมเด็จได้จำหลักลายไทยเป็นตราประจำพระองค์ของแต่ละพระองค์ไว้ ได้แก่ ตราพระเกี้ยว พระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตราจันทรมณฑล ตราประจำพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ ตราจักร ตราประจำพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และ ตราสุริโยทัย ตราประจำพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระที่นั่งทรงธรรม เป็นตึก 2 ชั้น ก่ออิฐถือปูนตลอด พื้นชั้นล่างและบันไดปูหินอ่อน ชั้นบนปูไม้ หลังคา 2 ชั้น มุงกระเบื้องเคลือบสี ช่อฟ้าใบระกาลงรักปิดทองทึบ หน้าบันทั้ง 4 ด้าน จำหลักภาพต่าง ๆ ปิดทองประดับกระจก ภายในผนังเสมอกรอบหน้าต่าง ประกบแผ่นหินอ่อนสีขาว เสาเขียนลายรดน้ำเทพนม ตั้งธรรมาสน์กลางห้อง ด้านใต้กั้นพระฉากดีบุกฉลุลายไทยเทพนมและกุมภัณฑ์ เพื่อเป็นที่ประทับของฝ่ายใน พระที่นั่งทรงธรรมนี้ "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี" ทรงสร้างอุทิศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อ พ.ศ. 2445 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ใช้เป็นที่ประทับแรมเวลาทรงธรรมรักษาอุโบสถศีล ต่อมาได้เคยใช้เป็นที่ประชุมสังฆมนตรี, ที่ศึกษาพระปริยัติธรรม จัดงานประจำปีของวัด ตั้งพระศพและศพบุคคลสำคัญของชาติ ในเวลาตั้งพระศพศาลาแห่งนี้มีศักดิ์เป็นรองจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เช่น พระศพของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี, พระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเหมวดี,พระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอดิศัยสุริยาภา พระศพพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต, พระศพสมเด็จพระสังฆราช กิตติโสภณมหาเถระ,ศพจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี เป็นต้น ปัจจุบันคงใช้ในกิจกรรมของวัด และตั้งพระศพหรือศพบุคคลสำคัญ หอระฆังบวรวงศ์ หอระฆังบวรวงศ์ เป็นหอระฆังทรงไทยประกอบหินอ่อน สร้างขึ้นโดยพระบรมวงศานุวงศ์ ฝ่ายพระราชวังบวร (กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า) และข้าราชการ ระฆังภายในหอนั้นนำมาจากวัดบวรสถานสุทธาวาส ซึ่งเป็นวัดประจำพระราชวังบวรสถานมงคล หน้าบันของหอระฆังจำหลักลายไทยประกอบภาพตราประจำตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล โดยหน้าบันทิศตะวันตกเป็นภาพ "พระลักษณ์ทรงหนุมาน" ซึ่งเป็นตราประจำตำแหน่งองค์เดิม ส่วนหน้าบันทิศตะวันออก เป็นภาพ "พระนารายณ์ทรงปืน" ซึ่งเป็นตราประจำตำแหน่งองค์ที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการเปิดและฉลองหอระฆังเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2445 พร้อมทั้งพระราชทานามว่า หอระฆังบวรวงศ์ สถานที่อื่น ๆ
ลำดับเจ้าอาวาส
|