เผยแพร่ 1 พ.ย. 2564 ,16:39น. Show
“10 แนวทาง” ทำธุรกรรมออนไลน์อย่างปลอดภัย ป้องกันมิจาชีพสวมรอยทำธุรกรรมผ่านร้านค้าออนไลน์ ก่อนหน้าใครที่มีบัตรเครดิต หรือบัตรเครดิต คงเกิดความกังวล หลังมีกลุ่มมิจฉาชีพสุ่มข้อมูลบัตรและนำไปสวมรอยทำธุรกรรมผ่านร้านค้าออนไลน์ต่างประเทศที่ไม่มีระบบยืนยันตัวตน จนเกิดความเสียหายกว่า 130 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามยกระดับระบบความปลอดภัย และวางมาตรการป้องกันปัญหาเชิงรุก อย่างการแก้ไขกฎระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่สมาคมธนาคารไทยกำหนด ระงับบัตรแล้ว แบงก์ให้คืนถูกดูดเงิน ให้รีบติดต่อ "แบงก์ชาติ - ส.ธนาคารไทย" แถลงชี้แจงสาเหตุ ธปท. แถลงคืนเงิน "บัตรเดบิต" ที่ตัดเงินผิดครบแล้ว "บัตรเครดิต" เร่งแก้ไข ยันไม่ต้องชำระตามที่เรียกเก... เช่น การใช้ 3D Secure กำหนดให้ใช้ข้อมูลตัวเลข 3 ตัวหลังบัตร (CVV) หรือ ตัวเลข 3 ตัวหลังบัตร ร่วมกับการใช้ OTP (CVV+OTP) เพื่อยกระดับความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บัตรในการชำระเงินค่าสินค้าบริการผ่านทางออนไลน์ อย่างไรก็ตาม กลุ่มมิจฉาชีพยังพยายามหาวิธิการใหม่ ๆ เพื่อหลอกเอาเงินของเรา ดังนั้น มาดูกันว่า มีแนวทางใดบ้าง ที่จะทำให้เราธุรกรรมการเงินได้อย่างมั่นใจ 1. ทำธุรกรรมการเงินออนไลน์กับร้านค้าที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม แต่ละธนาคาร “ไม่มีนโยบาย” สอบถามข้อมูลลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์ SMS และโซเชียลมีเดีย หากเจอพฤติกรรมเข้าข่ายให้สงสัยไว้ก่อนว่าคือมิจฉาชีพ และรีบติดต่อผ่านช่องทางบริการต่าง ๆ ของธนาคารทันที ไม่พลาดทุกเหตุการณ์ติดตามข่าวจาก PPTV ได้ที่ Subscribe เรียนรู้การเงินแนวทางการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ที่จะช่วยให้ทำธุรกรรมอย่างปลอดภัย เพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมการเงินได้อย่างมั่นใจ ดังนี้
บทความที่คุณอาจสนใจธุรกรรมทางการเงินออนไลน์การทำ ธุรกิจทางการเงินออนไลน์ ดูเหมือนจะเป็นเทรนด์ใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการในยุคปัจจุบันได้ดีที่สุด และผู้ให้บริการทางการเงินเองก็ตื่นตัวและตอบสนองความต้องการในการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์กันมากขึ้นเช่นกัน เรียกได้ว่า สังคมไร้เงินสด ได้กลายมาเป็น New Normal ในยุคปัจจุบันไปแล้ว ธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ มีอะไรบ้าง?ตามที่ได้เกริ่นไปในบทความที่แล้ว ธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ คือ การทำธุรกรรมเกี่ยวกับการเงิน-การธนาคารผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งก็มีข้อดีหลายอย่าง เพราะช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการทำ ธุรกรรมทางการเงิน ให้แก่ผู้ใช้บริการได้เป็นอย่างมาก ตัวอย่าง การทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ที่ขาดไม่ได้ตอนนี้ มีอะไรบ้าง? … ไกดูกัน 1.Online-Bankingธนาคารเริ่มต้นการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ด้วยบริการ Online-banking ผ่านเว็บไซต์ของธนาคาร จนปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นการใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือหรือ Mobile-Banking กันมากขึ้น เพราะสะดวกและพกพานำไปใช้งานได้ทุกหนทุกแห่ง ซึ่งการทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านระบบ Online-Banking ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถอัพเดทสถานะความเคลื่อนไหวของบัญชี, ถอนเงิน, โอนเงิน, จ่ายบิล เป็นต้น 2.Debit & Credit cardแน่นอนว่าใครที่ต้องทำธุรกกรมทางการเงินออนไลน์ หรือใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ก็คงจะไม่มีบัตรสองใบนี้ไม่ได้ ทั้งบัตรเดบิต และบัตรเครดิต โดยมากบนบัตรทั้งสองใบ จะมีข้อมูลของผู้ใช้บัตร เช่น ลายเซ็น ชื่อเจ้าของบัตร เป็นต้น โดยผู้ถือบัตรจะมีอำนาจในใช้บัตรในการซื้อสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ซึ่งระบบจะดึงเอาข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครื่องรูดบัตร หรือผ่านการกรอกข้อมูลในการซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้ถือบัตร เพื่อทำการสั่งจ่ายเงิน หรือดำเนินการทำธุรกรรมทางการเงินอื่น ๆ โดยบัตรเดบิตจะตัดเงินออกจากบัญชีผู้ถือบัตร ในขณะที่บัตรเดบิตจะเป็นวงเงินที่ธนาคารอนุมัติให้ผู้ถือบัตรใช้จ่ายได้ เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลที่เมื่อครบกำหนด ผู้ถือบัตรต้องนำเงินไปจ่ายคืนธนาคารตามยอดค้างชำระที่ใช้ไปนั่นเอง 3.E-walletE-wallet หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะมาในรูปแบบของ Application โดยที่เราสามารถเติมเงินด้วยการโอนเงินเข้าไปใน กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีความปลอดภัยสูงเพื่อใช้ในการทำธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นใช้ช้อปปิ้งสินค้าออนไลน์ จ่ายแทนเงินสดตามห้างร้านโดยการสแกน QR code หรือ Barcode เป็นต้น จะได้อารมณ์เหมือนพกกระเป๋าตังค์ไว้ในแอพบนมือถือก็ว่าได้ ยกตัวอย่าง E-wallet เช่น Rabbit LINE Pay หรือ Samsung Pay ธุรกรรมทางการเงินออนไลน์มีการรักษาความปลอดภัยแบบไหนบ้างจากตัวอย่างการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ด้านบน เพื่อน ๆ คงเห็นแล้วว่า จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้อยู่ไม่ไกลตัวเราเลย หลายคนทำธุรกรรมการเงินออนไลน์อยู่เป็นประจำทุกวัน แล้วเพื่อน ๆ รู้มั้ยว่า ธุรกรรมทางการเงินออนไลน์มีการรักษาความปลอดภัยแบบไหนบ้าง? การทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบออนไลน์ มีมาตรการรักษาความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน ไปหาคำตอบกันเลย 1.ยืนยันตัวตนด้วยรหัสผ่านส่วนตัวเมื่อทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์การใช้รหัสผ่าน ถือเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันอยู่แล้วในมาตรการรักษาความปลอดภัย ปัจจุบันการเข้ารหัสเพื่อทำ ธุรกรรมการเงินออนไลน์ ถูกออกแบบให้มีความรัดกุมและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เช่น อดีต ธนาคารให้กรอกรหัสตัวเลขเพียง 4 ตัว แต่เดี๊ยวนี้ต้องตั้งรหัสผ่านเป็น 6 ตัว หรือการใช้เทคโนโลยี Touch ID ของสมาร์ทโฟนในการสแกนลายนิ้วมือ เป็นการยืนยันตัวตนเข้าใช้แอปพลิเคชั่น Internet Banking เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบางธนาคารที่ให้สามารถตั้งรหัสเป็น รหัสส่วนบุคคล หมายถึงรหัสผ่านที่ไม่จำเป็นต้องใช้เพียงตัวเลขเท่านั้นได้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ทำให้ยากต่อการเข้าใช้ข้อมูลจากบุคคลอื่นนั่นเอง 2.ยืนยันรหัสผ่าน OTP เมื่อทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ชุดรหัสผ่านใช้ครั้งเดียวภายในระยะเวลาจำกัด OTP หรือ One Time Password ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็น เพื่อใช้ยืนยันตัวตนเมื่อสมัครหรือลงทะเบียนออนไลน์ หรือเพื่อยืนยันการชำระเงินผ่านบัตรเมื่อซื้อสินค้าออนไลน์ เป็นต้น โดยเราจะได้รหัส OTP ส่งเป็น SMS เข้าไปยังเบอร์มือถือ หรือส่งผ่าน E-mail ที่ได้ลงทะเบียนหรือผูกกับบัตรไว้ เมื่อเราต้องการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ รหัส OTP มักมีกำหนดระยะเวลาที่สามารถใช้งานรหัสผ่านนี้ได้อย่างจำกัด เช่น 30 วินาที เป็นต้น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการใช้งาน รหัส OTP เดิมก็จะหมดอายุ และต้องขอรหัส OTP ใหม่ซึ่งจะไม่ซ้ำกันในแต่ละครั้งที่ทำการขอใหม่ 4.บริการ SMS หรือ Email แจ้งเตือนเมื่อทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์อีกหนึ่งระบบความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ คือ การแจ้งเตือนผ่าน SMS หรือ Email เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของบัญชีธนาคารหรือ Internet Banking ของเรานั่นเอง ซึ่งเพื่อน ๆ ก็จะสามารถเช็คสถานะเงินเข้า เงินออกได้อย่างใกล้ชิด หากมีรายการโอนเงินที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง ก็สามารถสอบถาม และติดตามได้ทันท่วงที นอกจากข้างต้นที่ทางผู้ให้บริการออกแบบระบบให้มีความรัดกุม ปลอดภัยในการให้บริการธุรกรรมการเงินออนไลน์แล้ว การดูแลความปลอดภัยจากผู้ใช้งานเองก็เป็นสิ่งที่จำเป็น และควรปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงจากการใช้บริการทางการเงินผ่านระบบออนไลน์ ดังนี้ -ใช้เว็บไซต์ และแอพพลิเคชั่นที่เป็นทางการของผู้ให้บริการเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าเว็บไซต์ปลอมเพื่อโจรกรรมข้อมูลผู้ใช้งาน -ตั้งวงเงินในการโอนและถอนให้เหมาะสม เพื่อจำกัดความเสี่ยง -ไม่ควรเขียนรหัสผ่านหรือบอกรหัสผ่านกับใครก็ตาม -เปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ -ซื้อสินค้าหรือบริการออนไลน์จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ จะว่าไปการทำ ธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ ก็มีข้อดีอยู่มาก แต่หากใช้ไม่ระวัง และไม่ถูกวิธี ก็อาจเพิ่มความเสี่ยง ถูกโจรกรรมข้อมูลไปได้ง่าย ๆ แบบที่ไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นอย่าลืมรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ของตัวเองให้รัดกุมกันด้วยนะ ! ความปลอดภัยเรื่องระบบธุรกรรมออนไลน์คืออะไรต่อไปนี้ คือ สิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ ต้องทำ เพื่อที่จะให้การทำธุรกรรมการเงินผ่านโลกดิจิทัลของคุณปลอดภัย ไม่ตั้งรหัสที่เดาง่าย เป็นเลขเรียง หรือมาจากข้อมูลส่วนตัว เช่น 123456 วัน/เดือน/ปี เกิด และเปลี่ยนรหัสนานๆ ที เพื่อความปลอดภัย หมั่นตรวจสอบประวัติการทำธุรกรรมอยู่เสมอ ดูว่าตรงกับที่ทำธุรกรรมจริงหรือไม่
ธุรกรรมออนไลน์อย่างปลอดภัยมีอะไรบ้างทำธุรกรรมการเงินออนไลน์กับร้านค้าออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ พยายามหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมการเงิน หรือไม่ผูกข้อมูลบัตรเครดิตกับร้านค้าออนไลน์ หรือ แพลตฟอร์มที่ไม่มีระบบการยืนยันตัวตนด้วย OTP หรือที่ไม่ใช้เทคโนโลยี 3D Secure. ไม่ส่งต่อ OTP ให้กับบุคคลอื่น ไม่ว่ากรณีใดๆ
การทําธุรกรรมออนไลน์อย่างปลอดภัย มีทั้งหมด กี่ข้อทำอย่างไรให้ธุรกรรมออนไลน์ปลอดภัย?. 1. ใช้อุปกรณ์ที่เชื่อถือได้ ... . 2. รู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังใช้อินเตอร์เน็ตที่ไหนอยู่ ... . 3. อัพเดทอุปกรณ์ของคุณให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ... . 4. ใช้โปรแกรมรักษาความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ ... . 5. ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อน และอย่าใช้ซ้ำ ... . 6. ใช้การยืนยันตนสองขั้นตอน ... . 7. อย่าตกหลุมพราง ... . 8. ใช้ปุ่ม Logout.. ข้อใดเป็นธุรกรรมออนไลน์ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transaction) หมายถึง กิจกรรมใด ๆ ที่กระทำขึ้นระหว่างหน่วยธุรกิจ บุคคล รัฐ ตลอดจนองค์กรเอกชนหรือองค์กรของรัฐใด ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ การค้า และการติดต่องานราชการ โดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ยกตัวอย่าง เช่น การซื้อ-ขายสินค้าผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต, การ ...
|