การนำส ณญาณnot 5โทรศ พท ม อถ อออกจอท ว

2. เปิด TrueID App และเปิดหนังหรือรายการที่ต้องการชม จากนั้นให้แตะไปที่ สัญลักษณ์ของการ Chromecast ด้านมุมขวาบน (ตามภาพ)

3. จะพบกล่องข้อความ และให้เลือกชื่อของกล่อง TrueID TV ที่เราตั้งชื่อเอาไว้ ตอนที่ติดตั้งครั้งแรก ให้รอการเชื่อมต่อสักครู่

4. ที่ทีวีจะพบหน้า Logo TrueID และ ที่ App ด้านล่างจะแสดงชื่อรายการที่เราต้องการ Cast

5. จากนั้นที่หน้าจอจะค่อยๆ แสดงรายการที่เลือกไว้ขึ้นมา ระหว่างการรับชม สามารถเลื่อนเวลา / ปรับเสียง ได้ผ่านการกดแถบด้านล่าง

6. หลังจากที่รายการเริ่มเล่นบนทีวีแล้ว ก็สามารถใช้งานอื่นๆบนมือถือได้ โดยไม่ต้องเปิด App นั้นค้างเอาไว้

7. และสามารถยกเลิกการ Chromecast โดยกดที่สัญลักษณ์ Chromecast และเลือก หยุดแคสต์ / Stop Casting

Note:

  • ปัจจุบัน TrueID App ยังไม่รองรับการ cast ผ่าน Airplay ขึ้น TV เนื่องจากลิขสิทธิช่องทีมี DRM (การจัดการสิทธิดิจิทัล Digital Right Management) เช่น ช่อง True Premier Football 1-5 แนะนำให้ใช้งานผ่าน Google Chromecast หรือ ผ่านกล่อง TrueID TV Box ค่ะ
  • กรณี TrueID APP Chromecast ช่อง EPL ขึ้น SmartTV หรือ Android box ยี่ห้ออื่นๆ ไม่ได้พบปัญหาจอดำ หรือ มีเสียงแต่ไม่มีภาพเนื่องจากช่อง EPL ใช้ DRM Key ( Digital Right Management) คือเพื่อควบคุมการเข้าถึงและการใช้งานข้อมูลดิจิทัลป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ SmartTV หรือ AndroidTV ต้องมี Chromecast built-in จึงจะสามารถ Cast กลุ่มช่อง EPL ได้ หรือ แนะนำลูกค้าให้ใช้งาน Cast ไปที่ Google Chromecast ที่เชื่อมต่อ TV หรือ Cast ผ่านกล่อง True ID นะคะ หากใช้งาน cast ไปที่ TV โดยตรง TV บางรุ่นอาจไม่รองรับค่ะ

หากบทความนี้เป็นประโยชน์ คลิก “ใช่” หรือ หากควรปรับปรุงบทความนี้ คลิก “ไม่” ระบบจะนำท่านสู่การช่วยเหลือเพิ่มเติมโดยเจ้าหน้าที่ทรูไอดีค่ะ

ทั้งนี้ ถ้าหากลองวิธีที่เราได้แนะนำไปทั้งหมดแล้วก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาสัญญาณโทรศัพท์ไม่ดีได้ ก็อาจจะเกิดจากทางผู้ให้บริการเครือข่าย เช่น สัญญาณจากเครือข่ายมีปัญหา หรืออยู่ในพื้นที่ที่สัญญาณไม่แรง รวมทั้งปัญหาอื่น ๆ ซึ่งผู้ใช้จะต้องติดต่อสอบถามกับทางผู้ให้บริการเครือข่ายเพื่อหาทางแก้ปัญหาต่อไป

การเชื่อมต่อสายระหว่างคอมพิวเตอร์โน๊คบุ๊ค กับ โปรเจคเตอร์ ถ้าโปรเจคเตอร์ รองรับการเชื่อมต่อทั้ง แบบ VGA และ HDMI แนะนำว่าให้เชื่อมต่อด้วยสาย HDMI จะดีกว่า เพราะจะให้ภาพความคมชัดที่มากกว่า และจะได้สัญญาณเสียงจากคอมพิวเตอร์อีกด้วย

อุปกรณ์ที่จำเป็นในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับโปรเจคเตอร์

-คอมพิวเตอร์ แนะนำให้เป็นโน๊ตบุ๊ค

-สายไฟของโน๊คบุ๊ค

-โปรเจคเตอร์

-สายไฟของโปรเจคเตอร์

-สาย HDMI หรือ VGA ที่ใช้ในการเชื่อมต่อ

-จอSreen หรืออาจใช้กำแพงในการแสดงผลแทนก็ได้

การนำส ณญาณnot 5โทรศ พท ม อถ อออกจอท ว

ขั้นตอนการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับโปรเจคเตอร์

1.เริ่มต้นนำสาย HDMI หรือ VGA มาต่อเข้ากับโน๊ตบุ๊ค และสายอีกด้านหนึ่งมาต่อกับโปรเจคเตอร์

2.ต่อสายไฟของโน๊ตบุ๊ค

3.ต่อสายไฟของโปรเจคเตอร์

4.เปิดเครื่องโปรเจคเตอร์ก่อน

5.เปิดคอมพิวเตอร์

6.รอสักครู่ เราจะพบหน้าจอของคอมพิวเตอร์แสดงจอที่ถูกฉายโดยโปรเจคเตอร์

กรณีที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่สามารถแสดงผ่านโปรเจคเตอร์ เราอาจจำเป็นจะต้องกด Function บนคีย์บอร์ด เพื่อสั่งให้การแสดงผลออกทางโปรเจคเตอร์ ตามยี่ห้อของโน๊ตบุ๊คที่แสดงบนคีย์บอร์ด เพื่อสั่งให้แสดงผลทั้งหน้าจอคอมฯ และออกทางโปรเจคเตอร์ เป็นต้น

สำหรับผู้ใช้งาน Windows ให้กดปุ่ม Windows logo + P จะพบหน้าต่างให้เลือกการเชื่อมต่อ

คราวนี้เราก็กดเลยครับ กดปุ่ม Windows logo ค้างไว้ และกดปุ่ม P แบบกดแล้วปล่อย กดแล้วปล่อย ก็จะเป็นการควบคุมสัญญาณของโน๊ตบุ๊คดังนี้ครับ

แตะ โทรบนอุปกรณ์เครื่องอื่น จากนั้นเปิดใช้ อนุญาตสายโทรบนอุปกรณ์อื่น แล้วเลือก iPad ของคุณพร้อมกับอุปกรณ์เครื่องอื่นๆ ที่คุณต้องการโทรออกและรับสาย

การดำเนินการนี้จะช่วยให้ iPad และอุปกรณ์เครื่องอื่นๆ ที่คุณลงชื่อเข้าด้วย Apple ID เดียวกันสามารถโทรออกและรับสายได้เมื่ออุปกรณ์เหล่านั้นอยู่ใกล้กับ iPhone ของคุณและเชื่อมต่อกับ Wi-Fi อยู่

  • แตะ การโทรผ่าน Wi-Fi แล้วเปิดใช้ เพิ่มการโทรผ่าน Wi-Fi สำหรับอุปกรณ์อื่น การดำเนินการนี้จะช่วยให้ iPad และอุปกรณ์เครื่องอื่นๆ ที่คุณลงชื่อเข้าด้วย Apple ID เดียวกันสามารถโทรออกและรับสายได้แม้ว่า iPhone ของคุณไม่ได้อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
  • บน iPad ของคุณ ให้ไปที่ การตั้งค่า > FaceTime แล้วเปิดใช้ FaceTime และ โทรจาก iPhone ถ้าระบบขอ ให้เปิดใช้การโทรผ่าน Wi-Fi
  • โทรออก: แตะที่เบอร์โทรศัพท์ในแอปรายชื่อ, ปฏิทิน, FaceTime, ข้อความ, ค้นหา หรือ Safari หรือเปิด FaceTime แล้วป้อนผู้ติดต่อหรือเบอร์โทรศัพท์ จากนั้นแตะ
    การนำส ณญาณnot 5โทรศ พท ม อถ อออกจอท ว
  • รับสาย: ปัดหรือแตะการแจ้งเตือนเพื่อตอบรับหรือไม่สนใจสายโทร

หมายเหตุ: ถ้าคุณเปิดใช้งานการโทรผ่าน Wi-Fi ไว้ คุณสามารถโทรฉุกเฉินผ่าน Wi-Fi ได้ และข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งของอุปกรณ์ของคุณอาจถูกใช้ในการโทรฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือความพยายามในการตอบกลับ ไม่ว่าคุณจะเปิดใช้งานบริการหาตำแหน่งที่ตั้งหรือไม่ก็ตาม ผู้ให้บริการบางรายอาจใช้ที่อยู่ที่คุณลงทะเบียนไว้กับผู้ให้บริการเมื่อลงทะเบียนเข้าใช้การโทรผ่าน Wi-Fi เป็นตำแหน่งที่ตั้งของคุณ