[CME] เภสัชจลนศาสตร์และเภสัชพลศาสตร์ของยาปฏิชีวนะ Pharmacokinetics and Pharmacodynamics of Antibiotics เภสัชจลนศาสตร์และเภสัชพลศาสตร์ของยาปฏิชีวนะ Pharmacokinetics and Pharmacodynamics of Antibiotics อ.นพ.นพดล วัชระชัยสุรพล ภาควิชาเภสัชวิทยา และศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านวิจัยโรคติดเชื้อเด็กและวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยาปฏิชีวนะเป็นยาที่ใช้บ่อยที่สุดชนิดหนึ่งทางเวชปฏิบัติสำหรับการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็ก ปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยาที่พบมากขึ้นทำให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเป็นไปอย่างยากลำบาก ปัจจัยส่งเสริมที่สำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยาคือการสั่งยาปฏิชีวนะที่ไม่เหมาะสม เช่น ใช้ยาโดยไม่มีข้อบ่งชี้ของการติดเชื้อแบคทีเรีย สั่งยาด้วย regimen (dose, interval, duration) ที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น การมีความรู้ทางเภสัชจลนศาสตร์และเภสัชพลศาสตร์ของยาปฏิชีวนะเป็นอย่างดีจะทำให้สามารถสั่งยาด้วยregimen ที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น เภสัชจลนศาสตร์ ( pharmacokinetics, PK) และความสำคัญทางคลินิก1 เภสัชจลนศาสตร์เป็นกระบวนการที่ร่างกายกระทำต่อยาเมื่อยาเข้าสู่ร่างกาย ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1. การดูดซึมยา (absorption) การบริหารยาที่ไม่ผ่านเข้าทางหลอดเลือดโดยตรง เช่น รับประทาน ฉีดเข้ากล้าม ร่างกายต้องดูดซึมยาเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปออกฤทธิ์ที่ตำแหน่งที่ติดเชื้อ ปัจจัยที่กระทบต่อการดูดซึมยาอาจทำให้ผลการรักษาไม่ดี ตัวอย่างที่ 1 การรักษา methicillin-susceptible S. aureus (MSSA)lymphadenitis ในเด็กทารก แม้ว่ายาหลักในการรักษา MSSAคือยา dicloxacillin แต่ยาดังกล่าวดูดซึมได้ร้อยละ 35-76 เฉพาะเมื่อท้องว่าง ในขณะที่เด็กทารกต้องรับประทานนมทุก 2 – 3 ชั่วโมง ดังนั้นการเลือกยา cephalexin ที่ดูดซึมได้ถึงร้อยละ90 และอาหารไม่มีผลรบกวนการดูดซึมน่าจะให้ผลการรักษาที่ดีกว่า 2. การกระจายยา (distribution) เมื่อยาถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ยาจะกระจายไปสู่บริเวณที่มีการติดเชื้อเพื่อออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ หากยาใดกระจายไปสู่ตำแหน่งที่มีการติดเชื้อได้ไม่ดีจะไม่สามารถทำให้การรักษาสำเร็จได้ แม้ผลความไวในหลอดทดลองจะรายงานว่าไวก็ตาม และยาที่ออกฤทธิ์กว้างกว่าไม่จำเป็นต้องดีกว่าเสมอไป ตัวอย่างที่ 2 ระดับยาที่กระจายไปใน pleural fluid ของยา ceftriaxone สูงถึง 42 มคก./มล.2 ขณะที่ยา meropenem มีระดับยาเพียง 3.8 มคก./มล.3 ดังนั้นการรักษา empyema สาเหตุจากเชื้อที่ไวต่อยากลุ่ม third generation cephalosporins จึงไม่ควรใช้ยา meropenem 3. การเมแทบอลิซึมยา (metabolism) ยาปฏิชีวนะบางชนิดเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเกิดกระบวนการเมแทบอลิซึมเป็นสารที่ออกฤทธิ์หรือหมดฤทธิ์ก็ได้ ยาบางกลุ่มเช่น macrolides ยับยั้ง cytochrome P450 ในการทำลายยาอื่น จึงต้องระมัดระวังการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา (drug interaction) ตัวอย่างที่ 3 ยา daptomycin ที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อกรัมบวกดื้อยา ใช้รักษาโรคปอดอักเสบได้ไม่ดีเนื่องจากยาถูกสารลดแรงตึงผิวภายในปอดทำลาย
ตัวอย่างที่ 4 การรักษาปอดอักเสบชุมชนในผู้ป่วยไตวาย หากใช้ยา cefotaxime ต้องมีการปรับขนาดยาลงเนื่องจากยา cefotaxime ขับออกทางไตเป็นหลัก แต่หากใช้ยา ceftriaxone ไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยา เภสัชพลศาสตร์ (pharmacodynamics, PD) และความสำคัญทางคลินิก1 เภสัชพลศาสตร์โดยทั่วไปหมายถึงกระบวนการที่ยามีผลต่อสรีรวิทยาของร่างกาย แต่เภสัชพลศาสตร์ของยาปฏิชีวนะมีความหมายแตกต่างจากยากลุ่มอื่นๆ เนื่องจากหมายถึงกระบวนการที่หวังผลให้ยาออกฤทธิ์ต่อเชื้อแบคทีเรียเมื่อยาไปถึงบริเวณที่มีการติดเชื้อ เภสัชพลศาสตร์ของยาปฏิชีวนะอาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. Time-dependent antibiotics เช่น ยากลุ่ม beta-lactams, lincosamides, macrolides ความสามารถในการฆ่าเชื้อขึ้นกับระยะเวลาที่ระดับยาในรูปอิสระอยู่เหนือต่อminimum inhibitory concentration (MIC) ในรอบเวลา 24 ชั่วโมง (fT>MIC) อย่างน้อยร้อยละ 50 จากรูปที่ 1 A ต่อ B มากกว่าร้อยละ 50 เป็นค่า PK/PD พารามิเตอร์ที่ต้องการ รูปที่ 1 concentration-time curve และค่าพารามิเตอร์ที่สำคัญทางเภสัชพลศาสตร์ ตัวอย่างที่ 5 การรักษา Streptococcal pharyngotonsillitis สามารถให้ยา amoxicillin ขนาด 50 มก./กก./วัน (สูงสุด 1 กรัมต่อวัน) โดยให้ยาเพียงวันละครั้งเดียว4 แม้ว่ายาดังกล่าวจะเป็นยากลุ่มtime-dependent ทั้งนี้เนื่องจากค่า MICของเชื้อ S. pyogenes ต่อยา amoxicillin มีค่าต่ำมาก (≤ 0.25 มคก./มล.) ระดับยา amoxicillin ในพลาสมาที่ 12 ชั่วโมง (ร้อยละ 50 ของ intervalเมื่อให้ยาวันละครั้ง) หลังรับประทานยายังคงสูงกว่า MIC ของเชื้อ (รูปที่ 2) ตัวอย่างที่ 6 การรักษาเชื้อกรัมลบดื้อยา meropenem ที่มีค่า MIC ไม่เกิน 8 มคก./มล. สามารถทำได้โดยการเพิ่มขนาดยาและยืดระยะเวลาการหยดยาเข้าทางหลอดเลือดดำจาก 30 นาทีเป็น 2 – 4 ชั่วโมง จะทำให้ระดับยาอยู่เหนือต่อ MICของเชื้อได้นานขึ้น มีโอกาสสูงขึ้นที่ fT>MIC จะมากกว่าร้อยละ 50 (รูปที่ 3) รูปที่ 2 Concentration-time curve ของยา amoxicillin ในพลาสมาหลังจากให้ยาamoxicillin รับประทาน 1000 มก.5 รูปที่ 3 ความน่าจะเป็นของระยะเวลาที่ระดับยาmeropenemในรูปอิสระอยู่เหนือต่อ minimum inhibitory concentration (MIC) ในรอบเวลา 24 ชั่วโมง (fT>MIC) อย่างน้อยร้อยละ 506 ตัวอย่างเช่น เมื่อ MIC เท่ากับ 4 มคก./มล. การให้ยา meropenem ขนาด 40 มก./กก./ครั้ง หยดเข้าหลอดเลือดนาน 4 ชม. ให้ทุก 8 ชม. (วงกลมสีแดง) มีโอกาสที่ fT>MIC อย่างน้อยร้อยละ 50 สูงถึงร้อยละ 90 ของผู้ป่วยเด็กที่ได้รับยาด้วยวิธีนี้
ตัวอย่างที่ 7 การเปลี่ยนวิธีบริหารยา amikacin ทางหลอดเลือดดำจากเดิมแบ่งให้วันละ 2-3 ครั้งเป็นการให้ยาเพียงวันละครั้งเดียว ทำให้ Cmax เพิ่มสูงขึ้นและลดจำนวนครั้งในการบริหารยาต่อวันโดยให้ประสิทธิภาพในการรักษาและอาการข้างเคียงที่ไม่แตกต่างกัน7 สรุป ความรู้ทางเภสัชจลนศาสตร์และเภสัชพลศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กุมารแพทย์เข้าใจถึงวิธีการเลือกชนิดยาปฏิชีวนะที่เหมาะกับโรค เลือกขนาดยาและการบริหารยาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังสามารถใช้หลักการดังกล่าวเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการให้ยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย รวมไปถึงสามารถพลิกแพลงการให้ยาเพื่อนำยาที่เชื้อดื้อยากลับมาใช้ใหม่ในสถานการณ์ที่แทบไม่มียาปฏิชีวนะตัวใหม่ในปัจจุบัน เอกสารอ้างอิง
คำถามCME
|