ย้อนกลับไปในปี 2018 จำได้หรือไม่ ว่ามาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Facebook ต้องขึ้นให้การกับสภาครองเกรสของสหรัฐฯ เรื่องข่าวลือ ว่าทำข้อมูลของผู้ใช้ 87 ล้านคนรั่วไหล จนส่งผลให้หุ้นของเฟซบุ๊กร่วงระนาว ข่าวลือดังกล่าวเป็นจริง ข้อมูลผู้ใช้ 87 ล้านคนรั่วไหลไป เข้าสู่มือของ บริษัทเอกชนรายหนึ่งที่ชื่อเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า (Cambridge Analytica) ซึ่งเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ได้นำข้อมูลนั้นเอามาใช้ประโยชน์ ด้วยการช่วยในแคมเปญหาเสียงของ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับบลิกัน ในปี 2016 จนพาทรัมป์พลิกสถานการณ์ แซงเอาชนะฮิลลารี่ คลินตัน ตัวเต็งจากเดโมแครต ไปได้แบบสุดเซอร์ไพรส์ เรื่องราวความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ของเฟซบุ๊ก, เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า และ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นอย่างไร Workpoint News จะสรุปข่าวสำคัญของโลกให้ทุกคนเข้าใจใน 17 ข้อ
บริษัทนี้ ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อประโยชน์ในเชิงการค้า เช่นถ้ามีสินค้าอะไรอยากจะโฆษณาให้ตรงเป้าหมาย ก็จะมาจ้าง SCL เพื่อทำ Target Group จะได้รู้ว่าสินค้าของตัวเอง ควรโฆษณาช่องทางไหน จะตรงกับกลุ่มลูกค้ามากที่สุด ในเวลาต่อมา SCL เริ่มจับตลาดการเลือกตั้ง มีการไปช่วยพรรคการเมืองทำแคมเปญหาเสียงออนไลน์ และมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ พรรคการเมืองในหลายประเทศ เช่น อิตาลี, โรมาเนีย, แอฟริกาใต้, ไนจีเรีย, โคลอมเบีย และ ฟิลิปปินส์ ชนะการเลือกตั้งด้วย
ผลงานของเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า นั้น ไปเข้าตาทีมหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ และดึงมาร่วมงานกัน ในศึกแย่งชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับฮิลลารี่ คลินตัน
ไม่เพียงแค่นั้น แอพ This Is Your Digital Life จะดูดข้อมูลของ Friends “ทุกคน” ที่ผู้ใช้คนนั้นมี หมายถึง ถ้าเรามีเพื่อน 1,000 คน เจ้าของแอพ ก็จะได้ข้อมูลทั้งรูป แมสเซจ ทุกๆอย่าง ของเพื่อนทั้ง 1,000 คนของเราไปด้วย
ข้อมูลส่วนตัวนั้น มีทั้งอีเมล์ที่ใช้สมัครเฟซบุ๊ก บางคนก็ทิ้งเบอร์เอาไว้ในโพรไฟล์ รวมถึงสเตตัสที่อัพเดทเรื่อยๆ ซึ่ง แอพของดร.โคแกน สามารถทะลุทะลวงข้อมูลได้ทั้งหมด
ดร.โคแกน ติดต่อมาหา เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไป “ขาย” ให้กับบริษัท ซึ่งเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ตัดสินใจซื้อทันที เพราะมีข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้จำนวนมาก โดยคาดว่า 50 ล้านยูสเซอร์ในนี้ เป็นผู้มีสิทธิโหวตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 ด้วย
ทีมหาเสียงของทรัมป์จ่ายเงินให้ เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า อย่างน้อย 90 ล้านดอลลาร์ (2700 ล้านบาท) เพื่อยิง Ads ลงโฆษณาออนไลน์ในเฟซบุ๊ก ซึ่งเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ก็จะทำการวิเคราะห์จากสเตตัสของกลุ่มผู้ใช้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ช่วงนี้สนใจเรื่องอะไรอยู่ ก็จะอัดข้อมูลตรงนั้นให้หนักๆ
ด้วยข้อมูลจาก เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ทำให้ทีมหาเสียงของทรัมป์ยิง Ads ได้อย่างแม่นยำ ตรง target Groups และตัวทรัมป์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่มีการสำรวจ 8.) สุดท้ายการเลือกตั้งสหรัฐฯก็สิ้นสุด และเป็นชัยชนะอย่างพลิกความคาดหมายของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งในวันที่ทรัมป์ชนะ ซีอีโอของ เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า อเล็กซานเดอร์ นิกซ์ ก็ร่วมประกาศชัยชนะด้วย
แต่ การเลือกตั้งกรณี Brexit ของสหราชอาณาจักรก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจเช่นกัน เพราะตอนแรก เสียงของฝั่งอยู่ต่อ (Remain) ดูจะมาแรงกว่า แต่สุดท้าย ผลลัพธ์ออกมาเป็นฝั่งออกจาก EU (Leave) ที่แซงโค้ง เอาชนะไปได้สำเร็จ
ไวลีย์ คือพนักงานของเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า และรู้ข้อมูลทุกอย่าง ซึ่งคาโรลต้องพยายามเกลี้ยกล่อมขอข้อมูลจากไวลีย์อยู่นานเป็นปี โดยชี้ให้เห็นว่า ถ้าปล่อยให้ เคมบริดจ์ อะนาไลติก้าทำแบบนี้ต่อไป ก็อาจไม่เห็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมอีกเลย เพราะจะมีคนใช้ข้อมูลส่วนตัว เอามาชี้นำทางการเมืองตลอดเวลา มีนาคม 2018 ไวลีย์ตัดสินใจส่งมอบข้อมูลทั้งหมดที่เขามีให้กับ คาโรล ไม่เพียงแค่นั้น ยังกล้าเปิดหน้า เพื่อยืนยันว่าเขามีตัวตนจริงๆอีกด้วย
โดยไวลีย์บรรยายแบบละเอียดยิบ ในขั้นกระบวนการ ว่าเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ทำอย่างไร และอธิบายถึงแอพอัจฉริยะของดร.โคแกนด้วย นอกจากนั้นในวันเดียวกัน คาโรล คัดวัลลาเดอร์ เขียนอีกหนึ่งบทความให้นิวยอร์ก ไทม์ส เพื่อเปิดเผยความจริงไปพร้อมๆกัน จึงกลายเป็นอิมแพ็กต์อย่างรุนแรงทั้งฝั่งอังกฤษ และฝั่งอเมริกา
ถือเป็น Crisis ขององค์กร และ ถ้าหากเดินเกมผิด เฟซบุ๊กอาจร่วงหล่นได้ง่ายๆ ซึ่งนั่นทำให้ซัคเคอร์เบิร์ก ที่ปกติแทบไม่เคยโพสต์อะไรเลย จำเป็นต้องแถลงการณ์ผ่านหน้าวอลล์ของตัวเอง โดยยืนยันว่า “ผมเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด กับสิ่งที่เกิดขึ้นในเฟซบุ๊ก ผมซีเรียสมากกับเรื่องการปกป้อง และรักษาความปลอดภัยให้กับชุมชนของเรา”
“เราไม่ได้ดูแลอย่างดีพอ ซึ่งนั่นเป็นความผิดพลาดของผมเอง ผมขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมเริ่มต้นเฟซบุ๊กด้วยตัวเอง และเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้” “ตอนที่เรารู้เรื่องของเคมบริดจ์ อะนาไลติก้า เราเข้าใจว่าลบข้อมูลทั้งหมดแล้ว ซึ่งมันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ ซึ่งจากเรื่องนี้ เรามีการปรับปรุงกฎในเฟซบุ๊ก เพื่อให้แน่ใจว่า จะไม่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นอีก” มีวุฒิสมาชิกถามว่า ซัคเคอร์เบิร์กรู้หรือไม่ ว่าเฟซบุ๊กมีส่วนกับชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ “ผมรู้ว่าเฟซบุ๊กมีส่วนช่วยในแคมเปญของทรัมป์จริงๆ เราได้ยอดซื้อโฆษณา แต่ก็เหมือนกับแคมเปญของนักการเมืองคนอื่น” การแถลงข่าวอย่างตรงไปตรงมา และยอมรับความผิดโดยตรงทำให้ หุ้นของเฟซบุ๊กกระโดดขึ้น 4.5% ในวันเดียว ในมุมของเฟซบุ๊ก พวกเขาก็เป็นเหยื่อของเคมบริดจ์ อะนาไลติก้าเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งปรับเงิน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (150,000 ล้านบาท) โทษฐานทำข้อมูลส่วนตัวของประชาชนรั่วไหล ซึ่งเป็นโทษปรับที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย
นั่นทำให้ วันที่ 2 พฤษภาคม 2018 บริษัท เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ประกาศปิดกิจการอย่างกะทันหัน เช่นเดียวกับบริษัทแม่ SCL ก็ต้องปิดกิจการไปพร้อมกัน
นอกจากนั้น เธอยังได้โอกาสไปพูดที่ Ted Talk ที่แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ในวันที่ 15 เมษายน 2019 โดยเล่าเหตุการณ์การสืบคดี เคมบริดจ์ อะนาไลติก้า ก่อน สรุปใจความสำคัญตอนท้ายว่า “มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณเป็นฝั่งซ้าย หรือฝั่งขวา , เป็นพวก Leave หรือ Remain ,เป็นคนรักโดนัลด์ ทรัมป์ หรือคนเกลียดโดนัลด์ ทรัมป์” “มันเกี่ยวกับว่าท้ายที่สุดแล้ว คุณจะมีสิทธิเลือกตั้งแบบแฟร์ๆ อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมได้อีกครั้ง โดยไม่ถูกชี้นำหรือเปล่าต่างหาก” |