ผู้ที่แพ้ยา amoxicillin จะไม่ใช้ยาอื่นที่มีโครงสร้างคล้ายกัน (เช่น ยาในกลุ่ม penicillins, cephalosporins, carbapenems) โดยทั่วไปการใช้ยา amoxicillin 500 mg นั้นมักจะใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียที่ระบบทางเดินหายใจ ในกรณีติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจสามารถใช้ยาตัวอื่นที่เป็นทางเลือกได้ ได้แก่ erythromicin, azithromycin แต่อย่างไรก็ตามการเลือกใช้ยาด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ ขอแนะนำว่าให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งที่เข้ารับการรักษาว่าท่านแพ้ยานี้ เพื่อที่จะได้ปรับเปลี่ยนชนิดยาและการรักษาให้เหมาะสมกับท่าน Keywords: amoxicillin, allergy, penicillins, cephalosporins, carbapenems, erythromicin, azithromycin Reference: 1. MICROMEDEX 2.0® [Database on the internet]: Truven Health Analytics; 2015. Micromedex®, Amoxicillin. Available from: http://www.micromedexsolutions.com 2. Medscape Pharmacists [Internet]. New York: WebMD; c1994-2015. Available from: http://emedicine.medscape.com/article/302460-medication. Keywords: - มีหลายชนิดเป็นสูตรผสมเพื่อให้ฆ่าเชื้อที่ดื้อยาได้ เช่น Amoxy – Clavulanic ใช้รักษาการติดเชื้อได้ตั้งแต่ ทางเดินหายใจ , หนองใน , ทางเดินปัสสาวะ , ผิวหนัง , ปอด จนถึง สมอง ฯลฯ เป็นยาที่ใช้กันทั่วไป และมีสถิติการแพ้ยาสูง 2. ยากลุ่ม Carbapenem ( คาบาพีเนม) ได้แก่ Imipenem , Meropenem ใช้รักษาการติดเชื้อในปอด , ช่องท้อง , กระดูกและข้อ ฯลฯ มีเฉพาะยาฉีด มักใช้ในโรงพยาบาลเท่านั้น 3. ยากลุ่ม Cephalosporin ( เซฟฟาโลสปอริน )ได้แก่ 3.1. Cephalosporin รุ่นที่ 1ได้แก่ Cephalexin , Cefazolin , Cefaclor 3.2. Cephalosporin รุ่นที่ 2ได้แก่ Cefuroxime , Cefprozil , Cefoxitin , Cefamandol 3.3. Cephalosporin รุ่นที่ 3ได้แก่ Cefotaxime , Ceftriaxone , Ceftazidime , Cefdinir , Cefoperazone , Ceftibuten , Cefixime , Cefditoren 3.4. Cephalosporin รุ่นที่ 4ได้แก่ Cefepime , Cefpirome ใช้รักษาการติดเชื้อได้กว้างขวางเช่นเดียวกับกลุ่ม Penicillin คนที่แพ้ยา Penicillin ควรระวังการแพ้ยาในกลุ่มนี้ 4. ยากลุ่ม Macrolide ( แมคโครไลด์ )ได้แก่ Roxithromycin , Clarithromycin , Azithromycin , Medicamycin ส่วนมากใช้รักษาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ใช้ในคนไข้ที่แพ้ยากลุ่ม Penicillin 5. ยากลุ่ม Fluoroquinolone ( ฟลูโอโรควิโนโลน ได้แก่ Norfloxacin , Ofloxacin , Ciprofloxacin , Levofloxacin , Moxifloxacin ใช้รักษาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หรือ ระบบทางเดินหายใจ 6. ยากลุ่ม Sulfonamide ( ซัลโฟนามายน์ – ซัลฟา )ได้แก่ Sulfadiazine , Sulfasalazin , Co-trimoxazole ใช้ฆ่าเชื้อได้ครอบคลุมเชื้อหลายชนิด 7. ยากลุ่ม Tetracycline ( เตตร้าซัยคลิน )ได้แก่ Tetracycline , Doxycycline , Minocycline , Oxytetracycline ส่วนมากใช้รักษาการอักเสบที่ผิวหนัง 8. ยากลุ่ม Chloramphenicol ( คลอแรมเฟนนิคอล ) ปัจจุบันมีเฉพาะยาหยอดตา , หยอดหู 9. ยากลุ่ม Aminoglycoside ( อะมิโนกลัยโคซายด์ )ได้แก่ Amikacin , Gentamycin , Streptomycin , Kanamycin มีใช้เฉพาะยาฉีด , ยาทาภายนอก ใช้ฆ่าเชื้อได้ครอบคลุมเชื้อหลายชนิด 10. ยากลุ่ม Lincosamide ( ลินโคซามายด์ )ได้แก่ Lincomycin , Clindamycin 11. ยากลุ่ม Polypeptide ( โพลีเปปไตด์ ) ได้แก่ Bacitracin , Colistin , Polymyxin B 12. ยากลุ่ม Glycopeptides ( ไกลโคเปปไทด์ ) ได้แก่ Vancomycin , Bleomycin 13. ยาอื่นๆ ได้แก่ Metronidazole ผู้ป่วยที่เป็นหวัดไม่จำเป็นจะต้องได้รับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเสมอไป โรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบนที่จำเป็นต้องได้รับยาต้านจุลชีพมี 3 ชนิด คือ 1. โรคคอหอยอักเสบจากเชื้อ group A streptococci (group A streptococcal pharyngitis)ในผู้ใหญ่ถ้ามีอาการ 3 ใน 4 ข้อดังนี้ ควรได้รับยาปฏิชีวนะ คือ
2. โรคไซนัสและเยื่อบุในจมูกอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (bacterial rhinosinusitis) 3. โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (acute otitis media) ในผู้ป่วยที่
สำหรับโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบนที่ไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านจุลชีพมี 4 ชนิด คือ 1. โรคคอหอยอักเสบจากเชื้อไวรัส (viral pharyngitis) 2. โรคไซนัสและเยื่อบุในจมูกอักเสบจากเชื้อไวรัส (viral rhinosinusitis) 3. โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (acute otitis media) ในผู้ป่วยที่มีไข้น้อยกว่า 39 องศาเซลเซียส และปวดหูน้อย แต่อายุมากกว่า 6 เดือน 4. โรคหวัด (common cold) ทำไมจึงไม่ควรกินยาพร่ำเพรื่อ ยาปฏิชีวนะแม้จะมีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน ตามแต่โรค , ชนิดของเชื้อ , สภาพร่างกายของคนไข้ แต่การกินยาพร่ำเพรื่อ การกินยาเกินความจำเป็น การกินยาไม่ตรงกับโรค และ การกินยาไม่ครบคอร์ส ทำให้เกิดการดื้อยาได้ ซึ่งหมายความว่า “ มีคนไข้จำนวนหนึ่งที่เสียชีวิตเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต “ เพราะไม่มียาตัวใดเลยที่สามารถฆ่าเชื้อนั้นได้ ดังนั้นจึงไม่ควรหาซื้อยาเหล่านี้กินเองโดยไม่หรือไม่ปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกร การแพ้ยาปฏิชีวนะเป็นอย่างไร ยาปฏิชีวนะเป็นยาที่มีอุบัติการณ์แพ้ยาสูงมาก โดยเฉพาะกลุ่มยาเพนนิซิลลิน และกลุ่มซัลฟา อาการแพ้มีตั้งแต่ ลมพิษ ผื่นคันตามตัว แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หอบ ใจสั่น หน้ามืด บางคนอาจเกิดอาการช็อคได้ เสียชีวิตได้ ถ้าท่านแพ้ยาตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่ม โอกาสที่ท่านจะแพ้ยาอื่นในกลุ่มเดียวกันมีสูงมาก บางครั้งยังมีโอกาสแพ้ข้ามกลุ่มอีกด้วย ดังนั้นถ้าท่านมีประวัติแพ้ยาตัวใดก็ตาม ท่านควรพกบัตรแพ้ยาติดตัวไว้เสมอ และ โปรดแจ้งประวัติแพ้ยาแก่เภสัชกร , แพทย์ , พยาบาล ทุกครั้งที่ท่านต้องรับยา ไม่ว่าจะเป็นยาฉีดหรือยากิน ข้อสำคัญ “ อย่าจดจำสีของเม็ดยา ” เนื่องจากยาชนิดเดียวกันอาจอยู่ในแคปซูลคนละสี หรือ ยาสีเดียวกันอาจเป็นยาคนละชนิดก็ได้ ขึ้นกับบริษัทผู้ผลิตยานั้นๆดังนั้นจึงไม่ควรจดจำยาจากสีแคปซูลอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักชื่อยาด้วย โดยเฉพาะยาตัวที่เคยแพ้ ยาปฏิชีวนะต่างจากยาแก้อักเสบอย่างไร ยาอักเสบที่เรียกขานกันโดยทั่วไป อาจหมายถึงยาปฏิชีวนะ แต่ยังมียาแก้อักเสบอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ ยาแก้อักเสบ – ลดบวม ” ใช้รักษา บรรเทาอาการ ปวด บวม แดง ร้อน เช่น ปวดตามกระดูก ข้อ หรือ กล้ามเนื้อ ได้แก่ยา Diclofenac , Piroxicam , Indomethacin , Ibuprofen , meloxicam , Celecoxib ฯลฯ ยากลุ่มนี้มีอุบัติการณ์แพ้ยาสูงเช่นเดียวกัน อาการข้างเคียงที่สำคัญของยาในกลุ่มนี้คือ การระคายเคืองกระเพาะอาหาร จึงควรรับประทานยากลุ่มนี้หลังอาหารทันที การเรียกสั้นๆว่ายาแก้อักเสบ อาจทำให้เข้าใจผิดระหว่างยา 2 กลุ่มนี้ได้ |