Creatinine ม ค าส งกว าปกต แปลว า

หลังจากดูค่าความสมบูรณ์ของเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด และไขมันในเลือดกันไปแล้ว ก็ต้องมาต่อกันที่การทำงานของตับ ของไต และมาดูปริมาณกรดยูริกที่เป็นสัญญาณของโรคเก๊าต์ รวมไปถึงปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญมากชนิดหนึ่งของร่างกาย ถ้าพร้อมแล้ว…ไปต่อกันเลย

4. เช็กการทำงานของตับ

การตรวจตับ เป็นการตรวจหาค่าเอนไซม์ชนิดหนึ่งในเลือดที่มักจะเพิ่มสูงขึ้น เมื่อตับหรือตับอ่อนเกิดความเสียหาย โดยแบ่งออกเป็น

  • ค่า SGOT หรือ AST ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่พบได้มากที่ตับและกล้ามเนื้อหัวใจ โดยจะแสดงค่าที่เพิ่มสูงขึ้นหลังได้รับความเสียหายภายใน 24-36 ชั่วโมง และหากได้รับการฟื้นฟูที่ตรงจุดค่า AST ก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ภายใน 3-7 วัน ยกเว้นเกิดการบาดเจ็บเรื้อรัง

ค่าปกติของ SGOT (AST)

ผู้ชาย8 - 46 U/Lผู้หญิง 7 - 34 U/L

  • ค่า SGPT หรือ ALT เรียกได้ว่าเป็นตัวบ่งชี้ความเป็นพิษต่อตับ ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากยาบางชนิด แอลกอฮอล์ อาหาร หรือการติดเชื้อไวรัส ดังนั้นจึงนิยมตรวจค่า SGOT ควบคู่กับค่า SGPT เสมอ

ค่าปกติของ SGPT (ALT)

ผู้ชาย 30 U/Lผู้หญิง19 U/L

  • ค่า Alk phosphatase หรือ ALP เอนไซม์ชนิดนี้ถูกผลิตขึ้นมาด้วยโปรตีนจากตับและกระดูกที่เกิดความผิดปกติ โดยค่า ALP มาตรฐานควรอยู่ระหว่าง 30-126 U/L

5. ดูการทำงานของไต

  • ค่า BUN หรือ Blood Urea Nitrogen จะบ่งบอกถึงปริมาณไนโตรเจนในกระแสเลือด ซึ่งเป็นของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญโปรตีนในร่างกาย ซึ่งจะสะท้อนการทำงานของไตได้ โดยค่า BUN ที่เหมาะสมจะอยู่ระหว่าง 10-20 mg/dl ค่า BUN ที่สูงเกินไปอาจเป็นการบ่งบอกว่าไตเริ่มทำหน้าที่บกพร่อง
  • ค่า Creatinine (ครีอะตินีน) ค่านี้จะสะท้อนถึงสมรรถภาพการทำงานของไต หากไตยังทำงานได้ดี ก็จะสามารถขับครีอะตินีนทิ้งออกทางปัสสาวะได้เป็นจำนวนมาก และเหลือคงค้างไว้ในกระแสเลือดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ค่าปกติของ Creatinine

ผู้ชาย0.6 - 1.2 mg/dLผู้หญิง 0.6 - 1.2 mg/dL

ค่าครีอะตินีนที่สูงกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สูงเกิน 4 mg/dL จtบ่งบอกถึงความผิดปกติของไตในขั้นวิกฤตร้ายแรง

6. ระดับกรดยูริกในเลือด

  • เป็นการตรวจหาปริมาณกรดยูริกในเลือด หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นการตรวจหาโรคเก๊าต์นั่นเอง โดยปกติผู้ชายควรมีค่าไม่เกิน 5 mg/dL และผู้หญิงจะต้องมีค่าไม่เกิน 8 mg/dL

7. ตรวจฮอร์โมนไทรอยด์ และดูการทำงานของต่อมไทรอยด์

  • ก่อนอื่นมาทำความรู้จัก TSH กันก่อน TSH เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมใต้สมอง ทำหน้าที่กระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมน T3 (triiodothyronine) และ T4 (thyroxine) เพื่อใช้ในการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ค่า TSH นี้จะขึ้นกับระดับไทรอยด์ฮอร์โมนโดยตรง หากต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนได้ตามปกติ ค่า TSH จะต่ำ หากต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ค่า TSH ก็จะเพิ่มสูงขึ้น

ค่าปกติของฮอร์โมนไทรอยด์

TSH0.5-5.0 mU/LT380-200 ng/dLT44.5-12.5 µg/dL

โดยมักพบว่าคนที่มีค่า TSH สูงมักจะมีค่า T3 และ T4 ต่ำ ซึ่งบ่งบอกให้รู้ถึงความเสี่ยงต่อภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ หรือ Hypothyroid แต่ในผู้ที่มีปริมาณ TSH ต่ำ ก็มักพบว่าค่า T3 และ T4 จะเพิ่มสูงกว่าปกติ ซึ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงภาวะ “ไทรอยด์เป็นพิษ” นั่นเอง

8. วัดระดับแคลเซียม

ปกติแล้วปริมาณแคลเซียมในเลือดของผู้ใหญ่ จะมีค่ามาตรฐานอยู่ที่ 8.8-10 mg/dL แต่หากตรวจพบว่ามีค่าแตกต่างไปจากนี้ อาจเข้าข่ายภาวะแคลเซียมในเลือดผิดปกติ ซึ่งมักพบในผู้ป่วยโรคไต วัณโรค โรคมะเร็งที่แพร่กระจายไปที่กระดูก และผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายได้น้อย แต่ทั้งนี้การตรวจปริมาณแคลเซียมในเลือดไม่สามารถบ่งบอกถึงภาวะกระดูกพรุนได้ เพราะต้องอาศัยการตรวจเฉพาะทางเพิ่มเติม

9. ตรวจปัสสาวะ

หลักๆ แล้วเราตรวจปัสสาวะเพื่อดูพฤติกรรมการดื่มน้ำนั่นเอง โดยในผู้ที่ร่างกายปกติจะมี ค่าความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะจะอยู่ที่ 1.005-1.030 หากมีค่าเกินกว่าที่กำหนด แสดงว่าร่างกายขาดน้ำ หรือเราดื่มน้ำน้อยเกินไป

เลยเรียกได้ว่าการเข้าใจ ผลเลือด จึงเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวผู้ป่วยโรคไตมาก ๆ แถมยังเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการรักษาของคุณหมออีกด้วย เพราะการรักษาจะราบรื่นได้ ไม่ใช่แค่คุณหมอแค่ฝ่ายเดียว แต่มันขึ้นกับตัวผู้ป่วยอย่างเราด้วยเช่นกัน

บทความนี้อายเลยมาสรุป 7 ค่าผลเลือดสำคัญที่ผู้ป่วยโรคไตต้องดูเป็น ให้เข้าใจง่าย ๆ เอาไปใช้ได้จริงมาฝากกันค่ะ

Creatinine ม ค าส งกว าปกต แปลว า

1.ค่า BUN บอกอะไรเรา ?

BUN หรือชื่อเต็ม ๆ คือ Blood Urea Nitrogen เป็นการวัดค่าไนโตรเจนจากยูเรีย ที่อยู่ในกระแสเลือดเพื่อตรวจดูการทำงานของไตและตับ แต่เป็นการดูแบบหยาบ ๆ เท่านั้น ถ้าจะให้แม่นยำขึ้นต้องดูร่วมกับค่าอื่น

อย่างเช่น ค่า Creatinine โดยไนโตรเจนที่ว่านี้ จะได้จากการย่อยโปรตีนที่เรากินเข้าไป แล้วเปลี่ยนไปเป็นสารแอมโมเนีย

จากนั้น จะผ่านกระบวนการในร่างกาย จนสุดท้ายจะได้ของเสียที่ชื่อว่า “ยูเรีย” ซึ่งยูเรียที่ได้ จะถูกขับออกมาทางไตพร้อมกับน้ำปัสสาวะ ปัสสาวะของเราก็เลย มีกลิ่นแอมโมเนียอยู่ด้วยนั่นเอง

แล้วยิ่งใครกินเนื้อสัตว์เยอะ ๆ กลิ่นปัสสาวะก็จะยิ่งแรงขึ้น ยิ่งแรงเท่าไหร่ ก็เป็นตัวบอกว่า ไตกำลังทำงานหนักเท่านั้น โดยปกติแล้ว ผู้ป่วยโรคไต จะมีค่า BUN สูงกว่าคนปกติ เพราะ ไตเสื่อมเลยกรองออกไม่หมด ซึ่งโดยเกณฑ์ปกติในผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 10-20 mg/dL

แต่ BUN จะมีค่าไม่คงที่ ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ดื่มน้ำน้อยไป (ร่างกายขาดน้ำ), กินโปรตีนมากเกินไป, ผลข้างเคียงจากยา

วิธีลดค่า BUN สำหรับผู้ป่วยโรคไต (เพื่อชะลอไตเสื่อม)

1. ลดกินเนื้อสัตว์ ที่ย่อยยาก 2. ดื่มน้ำให้มากขึ้น 3. เน้นกินโปรตีนคุณภาพดีย่อยง่าย

Creatinine ม ค าส งกว าปกต แปลว า

2.ค่าไตรกลีเซอไรด์ บอกอะไรเรา ?

ค่านี้ ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ เลย ก็คือ “ปริมาณไขมันที่แท้จริง” ซึ่งจะให้พลังงาน 9 แคลอรี่ต่อกรัม และเป็นแหล่งพลังงานสำรองของร่างกาย ซึ่งค่านี้เป็นผลรวมของสิ่งที่เรากินเข้าไป เช่น กินไขมัน โปรตีน แป้ง และน้ำตาล ที่มากเกินไป ทำให้ค่านี้สูงขึ้น

ที่สำคัญ พอไตเสื่อมร่างกายจะผลิตไขมันออกมา มากกว่าคนปกติทั่วไป และต่อให้กินไขมันน้อย ร่างกายก็ยังผลิตออกมาเรื่อย ๆ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคไตจึงมักได้รับ ยาลดไขมัน มาทานกัน

โดยเกณฑ์ปกติในผู้ชาย จะอยู่ที่ 40-160 mg/dL , ในผู้หญิง จะอยู่ที่ 35-135 mg/dL คนที่ไตเสื่อม ค่านี้จึงจะสูงกว่าเกณฑ์ปกติ **การตรวจวัดค่าไตกลีเซอไรด์ที่แม่นยำ จำเป็นต้องงดอาหารอย่างน้อย 12-14 ชั่วโมงด้วยนะคะ**

วิธีลดค่าไตรกลีเซอไรด์

1. ลดกินเนื้อสัตว์ ที่ย่อยยาก 2. ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม 3. อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ 4. เน้นกินโปรตีนคุณภาพดีและย่อยง่าย อย่างเช่น ไข่ขาว เน้ือปลาที่มีสีขาว เพื่อชะลอไตเสื่อม

Creatinine ม ค าส งกว าปกต แปลว า

3.ค่า Creatinine บอกอะไรเรา ?

Creatinine ในผลเลือด เป็นค่าที่ใช้ดูการทำงานของไตที่แม่นยำที่สุดในตอนนี้ มีชื่อเต็มว่า “ครีเอตินิน ฟอสเฟต” สาเหตุที่ค่านี้แม่นยำในการดูการทำงานของไต ก็เพราะครีเอตินิน เป็นของเสียที่มาจากการใช้กล้ามเนื้อในร่างกายเราเท่านั้น (รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจ) จึงไม่ถูกรบกวนจากอาหารที่กิน และ การทำงานของตับและที่สำคัญก็คือ ครีเอตินินถูกกำจัดออกทางไต เท่านั้น

แล้วทำไม เป็นโรคไตแล้วค่านี้ถึงสูง ?

เปรียบเทียบง่าย ๆ นะคะถ้าเป็นคนปกติ ไตไม่เสื่อม พอครีเอตินินถูกผลิตออกมา 100% ก็จะถูกไตกำจัดออกไป 100% เลย ส่วนคนที่ไตเสื่อม ถึงร่างกายจะผลิตออกมาเท่ากัน 100% แต่จะถูกกำจัดออกได้ไม่หมด พอออกไม่หมด ส่วนที่เหลือ ก็เลยไปสะสมอยู่ในเลือดมากขึ้น พอคุณหมอสั่งเจาะเลือดตรวจ คนที่ไตเสื่อมจึงมี “ค่านี้สูงผิดปกติ”

เกณฑ์ปกติ

ผู้ชาย : 0.6-1.2 mg/dL ผู้หญิง : 0.5-1.1 mg/dL

*ค่านี้ต้องเอาไปเข้าสูตรเพื่อคำนวณต่อ ให้กลายเป็นค่า GFR หรือ eGFR เพื่อดูว่าเป็นโรคไตระยะไหน นั่นเองค่ะ*

ถ้าค่า ครีเอตินิน สูง GFR ก็จะลดลงตามไปด้วย (พูดง่าย ๆ คือ ไตเสื่อมลง นั่นเอง) แปลว่า ผู้ป่วยโรคไตที่มีค่านี้ เกินจากเกณฑ์ปกติไปมากก็จะต้องฟอกไต

ถ้าอยากลดค่า ครีเอตินิน เพื่อชะลอไดเสื่อม วิธีนึง ก็คือ…ให้เลี่ยงการทานโปรตีนที่มาจากเนื้อแดง เช่น เนื้อวัว หรือ หมูเนื้อแดง ควรทานเนื้อสีขาว ๆ อย่าง เนื้อปลา ไก่ กุ้ง และ ไข่แทน เพราะ เนื้อที่มีสีแดงเหล่านี้ ก็เป็นแหล่งของครีเอตินินเช่นกัน

Creatinine ม ค าส งกว าปกต แปลว า

4.ค่า โคเลสเตอรอล บอกอะไรเรา ?

โคเลสเตอรอล เป็นสารคล้ายกับไขมัน ที่ปกติ 70% ร่างกายเราสร้างขึ้นมาได้เอง และ 30% ได้รับมาจากอาหารที่เรากินเข้าไป ถึงแม้เวลาเจาะเลือด โคเลสเตอรอลจะจัดอยู่ในหมวดไขมัน (Lipid Profile) แต่เพราะโคเลสเตอรอล ไม่ได้ให้พลังงานก็เลยไม่นับว่าเป็นไขมัน ประโยชน์ของโคเลสเตอรอล เช่น..

\> ช่วยในการดูดซึมวิตามิน A, D, E, K \> ใช้เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์วิตามิน D ขึ้นมาใช้ \> ใช้ผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ หลายตัว โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศ \> เป็นสารสำคัญในระบบประสาทและสมอง

โดยค่าที่อยู่ในเกณฑ์ สำหรับผู้ใหญ่ คือน้อยกว่า 200 mg./dL.

โคเลสเตอรอลที่ต่ำเกินไป อาจแปลได้ว่า…มีการขาดวิตามิน A D E K , ขาดสารอาหาร, ฮอร์โมนผิดปกติ , ความจำไม่ดี หรือเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน ส่วนถ้าสูงเกินไป ก็อาจทำให้เส้นเลือดอุดตันได้ ซึ่งสำหรับผู้ป่วยโรคไต ที่ฟอกไตต้องระวังอย่างยิ่ง เพราะเราต้องดูแลเส้นเลือดให้ดี รวมถึงอาจเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย

โดยปกติแล้ว ใครที่เป็นโรคไต ค่านี้จะมีแนวโน้มค่อนไปทางสูง เพราะ…พอไตเสื่อม จึงทำให้เกิดความผิดปกติ ของ “Lipoprotein” และต่อมอะดรีนัล ทำให้ร่างกายผลิตโคเลสเตอรอลออกมาใช้มากเกินไป

ดังนั้น ต่อให้เรากินอาหารที่ไม่มีโคเลสเตอรอลเลยสักนิด ร่างกายก็ยังผลิตออกมาใช้ อีกประมาณ 70% อยู่ดี คุณหมอถึงต้องจ่ายยาลดไขมันมาให้เรากินนั่นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้ค่านี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แนะนำให้ทานยาลดไขมันอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ

เทคนิคลดโคเลสเตอรอล จากการกิน

1. เน้นกินอาหารที่มาจากพืช เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว ผัก ผลไม้ 2. ลดกินเครื่องใน และเนื้อสัตว์ติดมัน เช่น มันหมู หมูสามชั้น ขาหมูติดมัน หนังเป็ดพะโล้ 3. เลี่ยงการกินไขมันทรานส์ ที่มักเป็นส่วนผสม ในขนมคุณภาพต่ำ และพวกน้ำมันทอดซ้ำ

Creatinine ม ค าส งกว าปกต แปลว า

5.ค่า Hct บอกอะไรเรา ?

Hct เป็นตัวย่อของ Hematocrit (อ่านว่า ฮีมาโตคริต) เป็นค่าที่บ่งบอกว่าตอนนี้เรามีภาวะซีดอยู่หรือเปล่า หรือเรียกว่า เป็นค่าความหนาแน่นของเม็ดเลือดแดง ที่อยู่ในน้ำเลือดเรา ซึ่งค่านี้ จะได้มาจากการแยกเม็ดเลือดแดง ออกจากน้ำเลือด ด้วยการปั่น แล้วดูปริมาณเม็ดเลือดแดงที่อยู่ในน้ำเลือด โดยค่าที่ได้จะออกมาเป็น % ค่ะ

ค่าที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ผู้ชาย : 42-52% ผู้หญิง : 37-47%

ถ้าต่ำกว่าเกณฑ์ ก็แปลว่า ซีด นั่นเอง …แล้วทำไม เป็นโรคไตถึงซีดบ่อย ?

เพราะ ไตของเรา ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน erythropoietin (อ่านว่า อีรีโทรโพอิติน) มีชื่อเล่นว่า EPO (อีโป้) ให้ไปกระตุ้นไขกระดูก เพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงออกมา พอไตเสื่อม ฮอร์โมนนี้จึงมีน้อยลงไขกระดูกก็เลย สร้างเม็ดเลือดแดงน้อยตาม ทำให้ Hct ต่ำลง

แล้วถ้าซีดต้องทำยังไง ?

ปกติคุณหมอ มักจะให้เรากินยาหรือวิตามินบำรุงมาทาน เช่น โฟลิค หรือ ธาตุเหล็ก เพื่อช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง แต่ใครที่ไตเสื่อมมาก คุณหมอก็จะสั่งฉีด ฮอร์โมน EPO แทน ใครที่ซีดหนัก ๆ อาจจะเป็นการให้เลือดแทน

ส่วนจะเป็นวิธีไหน ก็ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคน ซึ่งคุณหมอจะเป็นคนบอกเราเอง เพราะ ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ จะเป็นอันตรายได้ อย่างเช่น เหนื่อยง่าย ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ติดเชื้อง่าย แผลหายช้า หมดสติ เป็นต้น เราก็ควรทำตามที่คุณหมอบอก เพื่อจะได้ไม่มีอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายร้ายแรงนะคะ ❤

Creatinine ม ค าส งกว าปกต แปลว า

6.ค่าพาราไทรอยด์ (PTH) บอกอะไรเรา ?

พาราไทรอยด์ เป็นฮอร์โมนที่ควบคุม และดูแลกระดูกทุกชิ้นในร่างกายเรา (หรือเรียกว่าเป็นตัวบงการแคลเซียม) โดยต่อมที่ปล่อยเจ้าฮอร์โมนนี้ออกมา มีชื่อว่า ต่อมพาราไทรอยด์ ซึ่งอยู่บริเวณกลางลำคอ และมีทั้งหมด 4 ต่อมด้วยกัน หากต่อมใดต่อหนึ่งถูกตัดออก ก็จะยังสามารถทำงานได้อย่างปกติแต่ต่อมที่เหลือก็จะทำงานหนักขึ้นหน่อย

ค่านี้มักจะสูงกันในผู้ป่วยฟอกไต (ทั้งที่ฟอกทางหน้าท้องและฟอกด้วยเครื่อง) ที่มีฟอสฟอรัสในเลือดสูงนาน ๆ

แล้วทำไมเป็นผู้ป่วยฟอกไต ถึงมีค่า PTH สูงกว่าคนปกติ ?

พอไตเสื่อม เลยทำให้ร่างกาย ไม่สามารถดูดแคลเซียมกลับเข้ามาใช้ได้ เพราะแคลเซียมที่เรากินเข้าไป จะถูกขับทิ้งทางปัสสาวะไปหมด จึงทำให้แคลเซียมในเลือดต่ำลง ฮอร์โมน PTH เลยถูกปล่อยออกมา เพื่อสลายกระดูก แล้วเอาแคลเซียมจากกระดูกมาใช้งานแทน และนี่ล่ะค่ะ ที่เป็นเหตุให้เรากระดูกพรุนได้ (กระดูกจะบางและหักง่าย)

Creatinine ม ค าส งกว าปกต แปลว า

หรืออีกสาเหตุนึง คือ ภาวะขาดวิตามินดี เนื่องจากไตเป็นตัวผลิตวิตามินดี พอไตเสื่อม ร่างกายจึงผลิตวิตามินดีออกมาใช้เองได้น้อยวิตามินดีในเลือดจึงต่ำ ซึ่งในบางคนที่ค่าต่ำมาก คุณหมอก็จะสั่งวิตามินดีมาให้ทานด้วยนั่นเอง

โดยเกณฑ์ปกติค่านี้ จะอยู่ที่ 10 – 65 pg/dL

สำหรับคนที่ไตเสื่อม ระยะ 3 ค่าจะอยู่ที่ 35-70 ระยะ 4 ค่าจะอยู่ที่ 70-110 ระยะ 5 ค่าจะอยู่ที่ 150-300

แต่ถ้าค่า PTH ของใครน้อย ก็อาจแปลได้ว่า เคยผ่าต่อมพาราไทรอยด์มาก่อน , มีการทานวิตามินดีที่มากเกินไปหรืออาจมีปัญหาเกี่ยวกับไขกระดูก

วิธีลดค่าพาราไทรอยด์

\> ควบคุมระดับฟอสฟอรัสในเลือด เพราะถ้าฟอสฟอรัสสูง ค่า PTH ก็จะสูงตามโดยถ้าค่า PTH ขึ้นถึงหลักพัน ก็อาจจะต้องผ่าตัดเอาต่อมนี้ออกไปเพื่อลด PTH ให้ต่ำลง ลดการสลายกระดูกออกมาใช้งานมากเกินไป **สังเกตได้จากผิวที่คล้ำลงเรื่อย ๆ และมีอาการคันยิบ ๆ

\> ทานวิตามินดี ตามที่คุณหมอบอกอย่างสม่ำเสมอ

** สรุปความสัมพันธ์อีกครั้ง ให้จำกันง่าย ๆนะคะ ถ้า PTH สูง => ฟอสฟอรัสสูง , แคลเซียมต่ำ , วิตามินดีต่ำ ถ้า PTH ต่ำ => ฟอสฟอรัสต่ำ , แคลเซียมสูง , วิตามินดีสูง

Creatinine ม ค าส งกว าปกต แปลว า

7.ค่า HbA1c บอกอะไรเรา ?

HbA1c (อ่านว่า ฮีโมโกลบิน เอวันซี) เป็นค่าที่ใช้ตรวจการเป็นเบาหวานที่แม่นยำตัวนึง โดย Hb ก็หมายถึง เม็ดเลือดแดง ซึ่งมีอยู่ในตัวเราอยู่หลายชนิด แต่ชนิด A1c จะเป็นตัวที่เกี่ยวข้องกับการเป็นโรคเบาหวาน เราเลยสนใจตัวนี้กัน ยิ่งค่านี้ มีค่ามากเท่าไหร่ ก็แปลได้ว่า มีน้ำตาลไปเกาะเม็ดเลือดแดงมากเท่านั้น

โดยการตรวจที่แม่นยำที่สุด คือตรวจย้อนหลังไปประมาณ 3 เดือน แล้วจะได้เป็นค่าเฉลี่ยของน้ำตาลสะสมออกมา ว่ามีความผิดปกติหรือไม่

ที่สำคัญ ค่านี้ ช่วยการวินิจฉัยได้ว่า ผู้ป่วยเป็นเบาหวานหรือไม่ ได้แม่นยำกว่าการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด แบบงดอาหาร 8 ชั่วโมงขึ้นไป ที่เรียกว่า Fasting blood sugar(FBS) อีกด้วย เพราะเจาะแบบ FBS จะดูได้เพียงระยะสั้น ๆ ส่วนใหญ่ เรามักจะมาคุมเข้มกันตอนใกล้หาคุณหมอ ไม่ได้ดูแบบสะสมในระยะยาว 3 เดือนแบบ HbA1c จึงเชื่อถือได้มากกว่า

สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่มีโรคเบาหวานร่วมด้วยควรดูค่านี้กับค่าน้ำตาลในเลือดมากเป็นพิเศษ เพราะ หากค่าเหล่านี้สูง ไตจะยิ่งเสื่อมเร็วขึ้นนั่นเองค่ะ **

สำหรับคนปกติ ไม่เป็นเบาหวาน ค่านี้จะอยู่ที่..

ผู้ใหญ่ : ค่าจะอยู่ที่ 2.2 – 4.8% เด็ก : ค่าจะอยู่ที่ 1.8 – 4%

คนที่เป็นเบาหวานแล้ว ถ้าค่า 2.5 – 5.9% ถือว่าควบคุมได้ดี, 6 – 8% ถือว่าพอใช้, มากกว่า 8% ขึ้นไป ถือว่ายังควบคุมได้ไม่ดี

**ส่วนคนที่เป็นโรคไตจากเบาหวานค่านี้มักจะ “ต่ำกว่า” เกณฑ์ปกติ เพราะเมื่อไตเสื่อม ทำให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดแดงออกมาได้น้อยลง ก็เลยต้องมีการฉีดยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด ทำให้ HbA1c มีปริมาณน้อยลงไปด้วย ส่วนในทางกายภาพ ถ้าผู้ป่วยคุมน้ำตาลได้ดี

พฤติกรรมการตื่นมาปัสสาวะกลางดึกก็จะน้อยลง หรือแทบไม่มีเลย อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการน้ำตาลในเลือดต่ำ จะทำให้หน้ามืด หมดสติ

**ซึ่งสำหรับผู้ป่วยฟอกไต หลังฟอกมักมีอาการนี้ เพราะเครื่องฟอกดึงน้ำตาลในเลือดออกไปด้วย

แต่ถ้าอาการน้ำตาลในเลือดสูง ก็จะทำให้เหนื่อยหอบ เลือดเป็นกรดจากคีโตน หรือทำให้หมดสติได้เช่นกันวิธีดูแลตัวเอง สำหรับคนเป็นโรคไตที่เกิดจากเบาหวาน คลิ๊กเข้าไปอ่านต่อได้ ค่ะ

Creatinine ม ค าส งกว าปกต แปลว า

สรุป

เป็นยังไงบ้างคะ อายคิดว่า ตอนนี้เพื่อน ๆ คงเข้าใจที่มาที่ไปของค่าผลเลือดต่าง ๆ ที่แสดงในใบผลเลือดกันแล้วใช่ไหมคะ ทีนี้เวลาจะคุยกับคุณหมอ หรือสงสัยว่า เอ.. ทำไมเราต้องคุมอาหารบางอย่างเพิ่มขึ้น-ลดลง หรือ ทำไมต้องกินยาตัวนั้นตัวนี้ มันเพื่ออะไรกัน ตอนนี้คงหายสงสัยกันแล้วใช่ไหมคะ

ถ้าเราเข้าใจได้แบบนี้ อายเชื่อว่ายังไงเราก็ใช้ชีวิตประจำวันได้ราบรื่นขึ้นแน่นอน แถมเราจะดูแลตัวเอง ควบคุมตัวเองได้โดยที่ไม่รู้สึกอึดอัดและรู้สึกว่าถูกบังคับให้ทำบางอย่างโดยที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ลองเอาข้อมูลในบทความนี้ ไปเปรียบเทียบค่าต่าง ๆ ในผล

ค่าไตปกติควรอยู่ที่เท่าไร

โดยกลุ่มนี้จะแบ่งออกเป็น 5 ระยะ โดยวัดจากอัตราการกรองของไต (eGFR หน่วย mL/min/1.73m2) ดังนี้ ระยะที่ 1 ค่า eGFR > 90 (ปกติ) ระยะที่ 2 ค่า eGFR 60-89 (ถือว่าลดลงเล็กน้อย) ระยะที่ 3 ค่า eGFR 30-59 ( ถือว่าลดลงปานกลาง)

ค่า creatinine บ่งบอกอะไร

การตรวจ Creatinine เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีในการคัดกรอง วินิจฉัย ประเมินการรักษา และติดตามการรักษาภาวะโรคไตได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเสื่อมต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือผู้ที่ได้รับยาบางชนิด เป็นต้น

ค่า creatinine สูงควรทำอย่างไร

ถ้าผลตรวจค่า Creatinine ในเลือดสูง แต่ในปัสสาวะกลับต่ำ นั้นคือมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคไตสูงมาก โดยก่อนการตรวจแนะนำให้งดอาหารประเภทเนื้อแดง 2-3 วัน

ทำยังไงให้ค่าไตลดลง

1. เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ผักและผลไม้สด ... .

2. ดื่มน้ำให้มากขึ้น ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วต่อวัน การดื่มน้ำช่วยสนับสนุนให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างราบรื่น กรองสารพิษออกจากเลือดและขับสารพิษทางปัสสาวะ ... .

3. ไม่สูบบุหรี่ ... .

4. หลีกเลี่ยงการกินยาแก้ปวดต้านการอักเสบ ... .

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ.