ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แผนก่อนหน้านี้ NUSA กำหนดจะซื้อหุ้น WEH จำนวนไม่เกิน 29 ล้านหุ้น หรือ 26.65% จากบริษัท ธนา พาวเวอร์ วัน จำกัด หรือ TONE ในราคาหุ้นละ 405 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมไม่เกิน 1.17 หมื่นลบ. โดยจะออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1.3 หมื่นล้านหุ้น ในราคา 0.90 บาท พาร์ 1 บาท เสนอขายแบบPP ให้กับ TONE เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการซื้อหุ้น WEH ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง Web : https://www.mitihoon.com/ Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770 Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon ย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แบบทางอ้อมด้วยวิธีการที่เรียกว่า ‘Backdoor Listing’ หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นการนำบริษัทเข้ามาสวมทับอีกบริษัทหนึ่งที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดก่อนแล้ว ในครั้งนั้น STARK ได้ทำ Backdoor Listing ผ่าน บมจ.สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย (SMM) โดยมีธุรกิจหลักคือการถือหุ้นในกิจการอื่น (Holding Company) ซึ่งกิจการอื่นที่ว่านี้เป็นธุรกิจหลักในด้านสายไฟฟ้า จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับแบรนด์ระดับโลกที่ชื่อว่า ‘เฟ้ลปส์ ดอด์จ’ รวมทั้งการถือหุ้นในบริษัท Thipha และ Dovina ผู้ผลิตสายไฟฟ้ารายใหญ่ในเวียดนาม รวมไปถึงบริษัท Thai Cable ทำให้ STARK กลายเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสายไฟฟ้าและสายเคเบิลอันดับ 1 ในอาเซียน และอันดับ 14 ของโลก อิงจากรายได้ 4 ปีผ่านไป จากบริษัทที่ดูเหมือนกำลังจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยกำไรในปี 2563 ทำได้ราว 1.60 พันล้านบาท ขยับขึ้นมาเป็น 2.78 พันล้านบาท ในปี 2564 ขณะที่ 9 เดือนของปี 2565 ก็ยังทำได้ถึง 2.21 พันล้านบาท แต่ล่าสุดบริษัทกลับติดปัญหาบางอย่างจนไม่สามารถที่จะนำส่งงบการเงินประจำปี 2565 ได้ตามกำหนด ปมปัญหาของ STARKหุ้น STARK ตกเป็นเป้าสนใจจากผู้คนในแวดวงการลงทุนอย่างมากตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทไม่สามารถนำส่งงบการเงินประจำปี 2565 ได้ตามกำหนด และก็ได้ผลัดออกไปอีกหลายครั้ง ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เกิดอะไรขึ้นกับบริษัทกันแน่? บริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ คูเปอร์ส เอบีเอเอส จำกัด ในฐานะผู้สอบบัญชีของบริษัทฯ และผู้จัดทำรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ (Special Audit) เห็นว่า STARK มีความจำเป็นที่ต้องใช้เวลาเพิ่มเติมในการจัดทำงบการเงินประจำปี 2565 รวมถึงบริษัทมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทีมผู้บริหารและแก้ไขระบบการทำงานในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดทำงบการเงินดังกล่าว ปมปัญหาที่สำคัญคือ การดำเนินธุรกิจภายในของ STARK อาจมีเรื่องของการทุจริตเกิดขึ้น ซึ่งในภายหลังบริษัทก็ได้ยอมรับว่าอาจจะเป็นเช่นนั้นจริง ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่าผลประกอบการอันสวยหรูในช่วงที่ผ่านมา แท้จริงแล้วอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ปมปัญหาดังกล่าวยังได้ลุกลามไปจนถึงเรื่องของหุ้นกู้ คิดเป็นมูลค่าราว 9.2 พันล้านบาท ซึ่ง STARK มีภาระที่จะต้องชำระคืน แต่การที่บริษัทไม่สามารถส่งงบการเงินได้ตามกำหนด และยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้จนถึงขณะนี้ ทำให้บริษัทอาจจะต้องเข้าข่ายผิดนัดชำระหนี้ตามมาด้วย ล่าสุด จากการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 2 ชุด มูลค่า 2.24 พันล้านบาท เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีมติเรียกให้ STARK จ่ายหนี้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยภายใน 30 วัน ซึ่งหากบริษัทไม่สามารถชำระเงินคืนได้ ก็จะทำให้เกิดการ Cross Default หรือผิดนัดชำระกับหุ้นกู้ทั้งหมด STARK เสี่ยงล้มละลายหลังจากนี้แหล่งข่าววงการตลาดทุนเปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่าขณะนี้ยังไม่รู้ว่ากรณีของ STARK จะจบอย่างไร สิ่งที่ต้องรอดูหลังจากนี้คืองบการเงินปี 2565 ที่บริษัทบอกว่าจะประกาศในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ “ส่วนตัวเชื่อว่าโอกาสที่งบปี 2565 จะออกมาในโทนบวกนั้นค่อนข้างจะยาก เมื่อดูจากการออกมาแถลงของผู้บริหารหลังจากที่เริ่มมีการตรวจนับ Inventory ในระหว่างการทำ Special Audit ไปบ้างแล้ว แต่ก็ไม่สามารถให้ตัวเลขได้ หรือแม้แต่เรื่องของเงินสดว่าเหลืออยู่เท่าใด ซึ่งหากไม่ได้เกิดความเสียหายหนักก็น่าจะพอบอกตัวเลขได้บ้าง” ในกรณีเลวร้ายสุด STARK น่าจะต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย หากท้ายที่สุดแล้วปรากฏว่าผลประกอบการของปี 2565 ออกมาย่ำแย่ โดยเฉพาะในส่วนของสินทรัพย์ที่ก่อนหน้านี้อยู่ในรูปของสินค้าคงเหลือและลูกหนี้การค้า คิดเป็นมูลค่าราว 3.4 หมื่นล้านบาท หากภายหลังการทำ Special Audit ทำให้สินทรัพย์ในส่วนนี้ลดลงไปมากกว่า 25% ก็มีความเสี่ยงที่ส่วนทุนของบริษัทจะติดลบ เพราะจากงบการเงินล่าสุด บริษัทมีส่วนทุนอยู่ 8.6 พันล้านบาท นอกจากนี้การที่ผู้ถือหุ้นกู้ลงมติไม่ให้ STARK เลื่อนชำระหนี้ และเรียกคืนหนี้ภายใน 30 วัน ทำให้บริษัทเสี่ยงที่จะเกิด Cross Default กับหุ้นกู้ทั้งหมด หากเกิดขึ้นจริงจะทำให้เจ้าหนี้หุ้นกู้ทั้งหมดมาเรียกชำระคืน และซ้ำเติมปัญหาสภาพคล่อง รวมถึงการที่ธนาคารต่างๆ อาจจะหยุดให้เงินหมุนเวียนในการทำธุรกิจ ในมุมของราคาหุ้น หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลดเครื่องหมาย SP ให้กลับมาซื้อขายชั่วคราวในวันนี้เป็นวันแรก ปรากฏว่าราคาหุ้นดิ่งลง 93.28% มาปิดที่ 0.16 บาท และทำให้มูลค่าบริษัทลดลงจาก 3.19 หมื่นล้านบาท มาเหลือเพียง 2.15 พันล้านบาท “หลังผ่านช่วงเปิดให้เทรดชั่วคราวไปแล้ว หุ้น STARK น่าจะถูกสั่งพักการซื้อขายไปอีกยาว และหากผลประกอบการปี 2565 ประกาศออกมาแย่ คนที่เข้ามาร่วมเก็งกำไรในวันนี้ก็คงจะต้องรีบเทขายออก” จับตา! ตลาดหุ้นกู้จะกระเทือนด้วยหรือไม่ด้าน ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์การลงทุนในหุ้นกู้โดยภาพรวมว่า หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น ย่อมทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นด้วย แต่โดยภาพรวมแล้วบริษัทของไทยอาจจะยังไม่ได้มีความเสี่ยงเท่ากับในสหรัฐฯ เพราะอัตราดอกเบี้ยของไทยยังปรับขึ้นไม่ได้มากนัก “ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยของไทยกลับมาเท่ากับช่วงก่อนโควิดที่ 2% ไม่เหมือนกับในสหรัฐฯ ที่อัตราดอกเบี้ยขึ้นจาก 1% มาเป็น 5%” อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มบริษัทที่ออกหุ้นกู้อัตราดอกเบี้ยสูง (High Yield Bond) อาจมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่ไม่ได้มีความสามารถในการทำกำไรสูงนัก ซึ่งนักลงทุนควรที่จะเข้าไปดูผลประกอบการของแต่ละบริษัทที่ออกหุ้นกู้ก่อนที่จะลงทุน “หากเป็นบริษัทที่มี EBIT มากกว่าดอกเบี้ยจ่าย 2-3 เท่า ก็ยังค่อนข้างปลอดภัย แต่ถ้าเริ่มปริ่มๆ ก็ต้องไปดูว่าธุรกิจนี้มีค่าเสื่อมเยอะหรือไม่ หากเยอะก็อาจจะใช้ EBITDA ในการพิจารณาแทนว่ามากกว่าดอกเบี้ยจ่ายมากแค่ไหน โดยรวมแล้วนักลงทุนต้องระมัดระวังในส่วนของ High Yield Bond มากขึ้น” |