ต วอย างจดหมายราชการ ภาษาอ งกฤษ เช ญประช ม

3. นาํ คําหรือวลที ี่จดบนั ทึกทีเ่ กยี่ วเนือ่ งสมั พันธกนั มาจัดกลุม แลวต้ังชอื่ กลุมคําเปนหวั ขอยอย

และเรียงลําดบั กลุมคาํ

4. ออกแบบแผนภาพความคิด โดยเขียนชอ่ื เร่อื งไวกลางหนากระดาษ แลววางชื่อกลุมคํา หัวขอยอย รอบชอ่ื เรือ่ ง

นําคาํ ที่สนบั สนุนวางรอบช่ือกลุมคาํ แลวใชเสนโยงกลุมคาํ ใหเห็นความสมั พันธ เสนโยงอาจเขียนคําอธบิ ายได

กลมุ คําอาจแสดงด

ตัวอยางเรือ่ งส่ิงมีชีวิตในบึง

56 | ห น้ า

สรุป แผนภาพความคิด เปนการแสดงความรู ความคิดโดยใชแผนภาพเปนวธิ กี ารนาํ ความรู หรอื

ห น้ า | 57

ขอเท็จจริงมาจดเั ปนระบบสรางเปนภาพ หรอื จดั ความคิดรวบยอดนาํ หวั ขอเรื่องใด

เร่ืองหนง่ึ มาแยกเปน ขอยอย และนาํ มาจดั ลาํ ดบั เป พ รปู แบบแผนภาพความคดิ มี 4

รูปแบบ คือ (1) รปู แบบการจัดกลุม (2) รปู แบบความคิด

รวบยอด (3) รูปแบบการจดั ลําดบั (4) รูปแบบวงกลม

เร่อื งที่ 3 การเขยี นเรยี งความและย

การเขยี นเรียงความ คือ การนาํ เอาคํามาประกอบแตงเปนเร่อื งราวอาจใชวิธกี ารเขยี นหรือ การพูดกไ็ ด การเขยี นจดหมาย รายงาน ตอบคาํ ถาม ขาว บทความ ฯลฯ อาศยั เรยี งความเปนพื้นฐาน ไดดี นอกจากน้ี ทัง้ นน้ั ดังนนั้ การเรยี งความจึงมีความสําคญั ชวยใหพูดหรอื เขยี นในรปู แบบตาง ๆ จงึ เทากับเปนการฝก กอนเรยี งความเราตองคนควารวบรวมความรู ความคิดและนาํ มาจดั เปนระเบยี บ ส่ิงเหลานีใ้ หกบั ตนเองไดอยางดอี ีกด

องคประกอบของเรยี งความ

การเรยี งความเร่ืองหนงึ่ ประกอบดวยสวนสาํ คญั 3 สวนคือ สวนนาํ สวนเนือ้ เรอ่ื งและ หรือสรุป

สวนนาํ เปนสวนที่แสดงประเดน็ หลักหรอื จุดประสงคของเรื่อง สวนเน้อื เร่อื ง เปนสวนขยาย

โครงเรื่องทว่ี างเอาไว สวนนจี้ ะประกอบด เปนการเนนิย้าประเดน็ หลกั หรือ จดุ ประสงค

1. การเขยี นสวนนํา ดังได ววาสวนนาํ เปนสวนทีแ่ สดงประเดน็ หลกั หรือจดุ ประสงค ของเร่ือง ดงั นนั้ สวนนําจงึ เปนการบอกผูอานถึงเนื้อหาท่นี ําเสนอและยงั เปนการเราความสนใจให อยากอานเร่ืองจนจบ การเขยี นสวนนาํ เพือ่ เราความสนใจน้ันมหี ลายวธิ ี ข้นึ อยูกบั ผูเขยี นจะเลือกตาม ความเหมาะสม อาจนําดวยปญหาเรงดวน หรือหัวขอท่ีกําหนดเปนเรือ่ งท่นี าสนใจ การเลาเรือ่ งทจี่ ะ เขยี น

การยกคําพดู ขอความ หรือสุภาษิตที่นาสนใจ บทรอยกรอง การอธบิ ายความเปนมาของเรื่อง

การบอกจดุ ประสงคของการเขียน การใหคําจํากดั ความของคาํ สําคัญของเร่ืองทีจ่ ะเขียน แรงบันดาลใจ ฯลฯ ดงั ตัวอย

1.1 นาํ ดวยปญหาเรงดวน หรือหัวขอท่ีกําลังเปนเร่ืองทีน่ เดย๋ี วน้ไี มวาจะเดินไปทางไหน จะพบกลุมสนทนากลุมยอย ๆ วิสชั ณากันดวยเรื่อง “วิสามัญ ฆาตกรรม” ในคดียาเสพติด บางก็วาเปนความชอบธรรม บางก็วารนุ แรงเกินเหตุ หลายคน จึงตัง้ คําถามวา ถาไมทาํ วสิ ามัญฆาตกรรมกรณียาเสพติด แลวจะใชวิธกี ารชอบธรรมอนั ใดท่ีจะลางบางผูคา

หรอื บอนทําลายเหลานิลง้ ไดในเวลารวดเร็ว

1.2 นาํ ดวยคาํ ถาม

58 | ห น้ า

ถาถามหนมุ สาวท้งั หลายวา “อยากสวย” “อยากหลอหรอื ไม คาํ ตอบที่ไดคงจะเปน คาํ ตอบเดยี วกนั วา

“อยาก” จากนั้นกค็ งมีคําถามตอไปวา แลวทําอยางไรจงึ จะสวยจะหลอไดสมใจ

ในเมื่อธรรมชาตขิ องหลาย ๆ คนกม็ ิไดหลอมาต้ังแตเกิด จะตองพง่ึ พาเครื่องสําอาง หรอื การ

ทําศลั ยกรรมหรอไื รแลวจึงจะสวยหลอแบบธรรมชาติไดหรือไม ถาได จะทาํ อย

1.3 นําดวยการเลาเรอ่ื งทจ่ี ะเขียน

งานมหกรรมหนงั สือนานาชาติจัดข้นึ เปนประจําในวนั พธุ แรกของเดือนตลุ าคมของ

ทุกปที่เมืองแฟรงเฟรต ประเทศเยอรมณี สําหรบั ป พ.ศ. 2545 นบั เปนคร้ังที่ 53

1.4 นําดวยการยกคําพูด ขอความ สุภาษิตที่น ในอดตี เม่ือกลาวถึงครหู รือคนหาคุณคาของครู

หลายคนมักนึกถงึ ความเปรยี บ

ทั้งหลายท่มี ักไดยนิ จนชินหู ไมวาจะเปนความเปรียบทว่ี า “ครูคือเรอื จาง” “ครคู ือปชู นยี บคุ คล” หรือ

“ครคู ือผู งปญญา” ฯลฯ ความเปรียบเหลานแ้ี สดงใหเห็นถึงคุณคา ความเสียสละและการ

เปนนักพัฒนาของครู ในขณะที่ปจจบุ นั ทัศนคติในการมองครูเปลีย่ นไป หลายคนมองวาครูเปนแคผูทีม่ ี

อาชพี รบั จางสอนหนงั สือเทาน้นั เพราะครูสมยั น้ีไมไดอบรมความประพฤติใหแกผูเรยี นควบคูไปกบั การ

ใหความรู ไมไดเปนตวั อยางท่ีดจี ะเรียกวา “แมพิมพของชาติ” อาชีพครเู ปนอาชีพตกิต่า และดตู อยิตา่

ในสายตาของคนทวั่ ไป ทง้ั ๆ ทอี่ าชีพน้ันเปนอาชพี ท่ตี องทําหนาทใี่ นการพฒั นาคนทจี่ ะไปเปนกําลงั

สําคัญของการพัฒนาประเทศชาตติ อไป จึงถงึ เวลาแลวทจี่ ะตองมีการทบทวนหนาที่ คณุ ธรรมและ

อดุ มการณของความเปนครูกันเสยี ที

1.5 นาํ ด

“ความรกั เปนเหมอื นโรคา บนั ดาลตาใหมดื มน

ไมยนิ และไม อปุ สรรคใดใด

ความรักเหมือนโคถึก กาํ ลงั คกึ ผิขังไว

กจ็ ะโลดจากคอกไป บยอมอยู ณ ทขี่ ัง

กด็ งึ ไปดวยคําสัง่

ย่งิ หามกย็ ่งิ คลงั่ บหวนคดิ ถงึ เจ็บกาย”

จากบทละครเรื่อง “มทั นพาธา” ของพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลาเจาอยหู ัว อธบิ ายความหมายของบทร

ความรักเปนอารมณธรรมชาตอิ ยางหนงึ่ ของมนุษย มที งั้ ประโยชนและเปนโทษในเวลาเดียวกนั ความรกั ท่ีอยูบนพื้นฐานของความบรสิ ุทธ์ิ จริงใจและความมีเหตุผล ยอมนําพาเปนเจาของความรักไป ในทางที่ถกู ท่ีควร แตถาความรกั นัน้ เปนเพียงอารมณอนั เกดิ จากความหลงใหลในรปู กายภายนอก ความ ชน่ื ชมตามกระแสและความหลงผิด ความรกั กจ็ ะกอใหเกิดโทษ จงึ เปนผูเปรียบเปรยวา "ความรักทาํ ให คนตาบอด" ดวยพระราชนิพนธของพระบาทของสมเดจ็ พระมงกฏุ เกลาเจาอยูหวั ในเร่อื งมัทนพาธา ซึ่งได แสดงใหเห็นภาพของความลุมหลง อันเกิดจากความรักและทกุ ขสาหัสอันเกดิ จากความรักไดเปนอยางดี สมกับช่ือเร่ือง มัทนพาธา ทแ่ี ปลวา ความบาดเจ็บแหงความรกั

ห น้ า | 59

1.6 นาํ ดวยการอธิบายความเปนมาของเรอ่ื ง

เมื่อสปั ดาหทแี่ ลวขาพเจาไดไปรวมงานพระราชทานเพลงิ ศพของผูใหญทานหนึ่ง ทานเปน

อดีตรองผูวาราชการจังหวัด จงั หวดั หนึง่ ทางภาคเหนือ ศพของทานไดรบั การบรรจไุ วในโกศ ขาพเจาจงึ

ไดคนควาเรื่องน้มี าเปนความรูแกผูสนใจท่ัวไป

1.7 นําดวยการบอกจดุ ประสงคของการเขยี น สามกก

ทผี่ ูอานทั้งในประเทศจนี และในประเทศไทยรูจักกนั ดีนนั้ เปนนวนิยาย

สวนสามกกทเ่ี ปนประวตั ิศาสตรมคี นรูนอยมาก แมแตคนจนี แผนดินใหญทไ่ี ดเรียนจบขน้ั อดุ มศึกษาแลว

กม็ ีนอยคนมากทร่ี ูบทความเร่ืองนจ้ี งึ ขอเร่ิมตนจากสามกกที่เปนประวัติศาสตร

2. การเขยี นสวนเน้ือเรอ่ื ง

เนอ้ื เร่อื งเปนสวนสําคญั ท่ีสุดของเรียงความ เพราะเปนสวนทต่ี องแสดงความร ูความคดิ เหน็

ใหผอู านทราบตามโครงเรื่องที่วางไว เนือ้ เรื่องที่ตองแสดงออกถึงความรูความคดิ เหน็ อยางชดั เจน

มีรายละเอียดทเ่ี ป เทจ็ จริงและมีการอธิบายอยางเปนลําดบั ขั้น มกี ารหยิบยกอุทาหรณ ตัวอยาง ทฤษฎี สถิต คิ าํ กลาวหลกั ปรัชญา หรือสุภาษิต คาํ พังเพย ฯลฯ สนับสนุนความรูความคดิ เหน็ น้นั

เน้อื เิรอ่ งประกอบดวยยอหนาตาง ๆ หลายยอหนาตามสาระสาํ คัญท่ีตองการกลาวคือ

เปรียบกนั วาเน้อื เร่ืองเหมือนสวนลาํ ตวั ของคนทปี่ ระกอบดวยอวยั วะตาง ๆ แตรวมกันแลวเปนตัวบุคคล

ดังนน้ั การเขยี นเน้ือเรื่องถงึ จะแตก แยกยอยออกไปอยางไร จะตองรักษาสาระสําคัญใหญของเรื่องไว

การแตกแยกยอยเปนเร่ือง ๆ ไปเพื่อประกอบสาระสําคญั ใหญของเรื่องซึ่งเปรียบเหมือนตัวคนสมบรู ณ ในแตละยอหนาประกอบดวยสวนทเี่ ปนเนอื้ หา คือ ความรูหรอื ความคดิ เห็นที่ตองการแสดงออก การอธิบายและอุทาหรณคือ การอางตัวอยาง ฯลฯ ทส่ี นับสนนุ ใหเหน็ จรงิ เหน็ จงั สวนสํานวนโวหารจะใช แบบใดบาง

โปรดศกึ ษาเร่ืองสํานวนโวหารในหัวขอตอไปนี้ ตัวอยางการเขียนเนอ้ื เรื่องแต

“อาํ ” เปนเดก็ ชายตวั เล็ก ๆ อายแุ ค ป ครัง้ ท่ลี ืมตาดูโลกไดแค เดือน แมก็ทอดทิ้งไป

สวนพอนน้ั ไมเคยรักและหวงใยอาํ เลย สิ่งเดยี วท่มี คี าทีส่ ดุ ในชวี ิตของพอคือ เฮโรอนี ยา ลุง ป

ตอกิยา้ ใหอําฟงเสมอวา “อยาทาํ ตวั เลว ๆ เหมือนพอแกท่ตี ดิ เฮโรอีนจนตาย” หรือ “กลวั แกจะเจรญิ

รอยตามพอเพราะเช้ือมันไมทิ้งแถว ตดิ คุกหัวโตเหมือนพอแก” คําพูดสารพัดที่อํารับฟงมาตงั้ แตจาํ

ความไดซ่ึงอําพยายามคดิ ตามประสาเด็กวา “เปนคําส่ังสอน”...หรือ “ประชดประชนั ” กนั แน

ชื่อเสียงวงศตระกลู ของอําถาเอยไปหลายคนคงรูจกั เพราะเปนพวกเศรษฐที ีค่ าขายเปนหลัก

อยูในเขตอาํ เภอเมือง จงั หวัดชลบรุ ี มาหลายช่วั อายุคนแลว ปูกับยามีลกู ทง้ั หมด 9 คน ทกุ คนิร่าเรยี น กันสูง

ๆ และออกมาประกอบธุรกิจิรา่ รวยเปนิลา่ เปนสนั ยกเวนพอของอาํ ซ่ึงไมยอมเรยี น..ประพฤติตน

เสยี หาย....คบเพ่อื นชัว่ ...จนติดเฮโรอีน และฉดี เขาเสนจนตายคาเขม็ ผลาญเงินปูกับยาไปมากมาย

ยงั ทาํ ใหช่อื เสยี งวงศตระกลู ปนป ปิูชา้ ใจจนตาย สวนยาอกตรมจมทุกขอยูจนทกุ วันนี้ พวกลงุ ...ปาและ

อาตางพากนั เกลียดพอมากและกล็ ามมาถึง “อาํ ” ซง่ึ เปรยี บเสมอื น “ลกู ตุม” ถวงวงศตระกลู คัดจากจันทิมา

60 | ห น้ า

“ไอเลือดชั่ว” คอลัมน อนาคตไทย ฐานสปั ดาหวิจารณ ฉบับที่ 61 (71) วนั ที่ 9-15 ม.ิ ย. 37 หนา 88 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน หลกั สูตรการศึกษานอกโรงเรยี น พ.ศ.2530 จากเนือ้ หาในยอหนาตางๆ ขางตน จะแบงเปนสวนตาง ๆ ไดดงั นี้

1. สวนทเ่ี ปนเนือ้ หา

2. สวนทเี่ ปนการอธบิ าย

3. สวนท่ีเปนอุทาหรณ หรือการอางอิง

4. สวนท่ีเปนตัวอย

3. การเขยี นสวนทายหรอื สรุป

สวนทายหรอื สวนสรปุ หรือสวนปดเรื่อง เปนสวนท่มี ีความสัมพนั ธเก่ยี วเนือ่ งกับเนื้อหา สวนอืน่ ๆ โดยตลอด

และเปนสวนทบ่ี อกผูอานวาเร่ืองราวทเ่ี สนอมาน้นั ไดสน้ิ สุดลงแลว วธิ ีการเขียน สวนทายมดี วยกนั หลายวิธี เชน

เนนิย้าประเดน็ หลัก เสนอคําถามหรือขอผิด สรุปเร่ือง เสนอความคิด ของผูเขียน ขยายจดุ ประสงคของผูเขียน

หรอื สรปุ ดวยสภุ าษติ คาํ คม สํานวนโวหาร คําพังเพย อางคาํ พดู ของบคุ คล อางทฤษฎหี ลกั ภาษา

หรือคําสอนและบทร

3.1 เนนืยา้ ประเดน็ หลัก

หนวยงานของเราจะทําหนาทเี่ ปนผูใหบรกิ ารที่รวดเร็ว ที่ซอ่ื ตรง โปรงใส ตรวจสอบได เชนนีต้ อไป

แมการปฎิรูประบบราชการจะสงผลใหหนวยงานของเรา ตองเปลีย่ นสงั กัดไปอยางไรกต็ าม

นน่ั เพราะเราตระหนักในบทบาทของเราในฐานะ “ขาราชการ” แมวาปจจบุ ันเราจะถูกเรียกวา

“เจาหนาทขี่ องรัฐ” ก็ตาม

3.2 เสนอคาํ ถามหรอื ขอคิดใหผูอานใชวจิ ารณญาณ เคราะหกรรมทง้หั ลายอนั เกิดกับญาติพนี่ องและลกหู ลานของผูคนในบานเมืองของเรา อันเกิดจากความอํามหิตมกั ไดของผูคายาเสพติดเหลาน้ี เปนสิง่ สมควรหรือไมกับคําวา “วิสามัญ ฆาตกรรม” ทานที่อานบทความน้ีจบลง คงมีคําตอบใหกับตวั

3.3 สรปุ เรื่อง

การกนิ อาหารจืด รางกายไดรับเกลือเล็กนอย จะทาํ ใหชีวติ จิตใจ ราเรงิ แจมใส ิน้าหนักตัวมาก ๆ จะลดลง หัวใจไมตองทาํ หนาท่ีหนกั ไตทาํ หนาที่ไดดี ไมมบี วมตามอวยั วะตาง ๆ และ เปนการปองกนั โรคหวั ใจ โรคไต หลอดเลือดแขง็ ความดันโลหติ สงู ขออกั เสบ แผลกระเพาะอาหารและ จะมอี ายยุ นื ด

3.4 เสนอความเหน็ ของผูเขียน การปฏริ ปูกระบวนการเรียนการสอนประสบผลสาํ เรจห็ รอื ไม คงไมใชแคการเขารับ

การอบรมเทคนิค วิธกี ารสอนเพียงอยางเดยี ว ยังข้ึนอยูกบั องคประกอบอันสําคัญยิงก่ วาสงิ่ใดคือ

ตัวผูสอนมใี จและพรอมจะรับความเปลี่ยนแปลงทิเกิดข้นึ พรอม ๆ กับความกระตือรอืรนทจีะ่ พฒันา

ตนเองเพอ่ื กลุมเปาหมายคือผิเรยี น การปฏิรปกู ระบวนการเรียนการสอนกจ็ะประสบความสําเรจ็ ได

ห น้ า | 61

3.5 ขยายจุดประสงคของผูเรียน ควบคูกบั บทรอยกรอง

แมอาหารการกนิ และการออกกาํ ลังกายจะทําใหคนเราสวยงามตามธรรมชาติอยู

นานแตวันหนง่ึ เรากค็ งหนีไมพนวัฏจกั รธรรมชาติ คือ การเกิด แก เจ็บและตาย รางกายและความงาม

ก็คงตองเส่ือมสน้ิ ไปตามกาลเวลา ฉะนัน้ กอ็ ยาไปยดึ ตดิ กับความสวยงามมากนัก แตควรยึดถือความงาม

ของจติ ใจเปนเรื่องสาํ คญั เพราะส่ิงทจี่ ะเหลืออยูในโลกนี้เมื่อความตายมาถึงคือ ความดี ความชัว่ ของเรา

เทานัน้ ดงั พระราชนิพนธของพระมหาสมณเจากรมพระปรมานชุ ติ ชิโนรส ในเร่ืองกฤษณาสอนนอง

คาํ ฉันท

พฤษภกาษร อกี กุญชรอันปลดปลง โททนตเสนงคง

สําคัญหมายในกายมี นรชาตวิ างวาย มลายส้ินท้ังอนิ ทรีย

สถิตทวั่ แตชว่ั ดี ประดบั ไว

แนวทางการเขียนเรียงความ

เมื่อไดศึกษาองคประกอบอนั จะนําไปใชในการเขยี นเรยี งความแลว กอนท่จี ะลงมือเขียน

เรยี งความผูเขยี นตองเลือกเรื่องและประเภทของเรื่องท่จี ะเขียน หลงั จากนัน้ จึงวางโครงเรื่องใหชดั เจน เพื่อเรยี บเรียงเน้อื หา ซงึ่ การเรยี บเรียงเน้ือหาน้ีตองอาศัยความสามารถในการเขยี นยอหนาและการ เช่อื มโยงยอหนาใหเปนเนื้อหาเดียวกัน

1. การเลอื กเรื่อง

ปญหาสาํ คัญประการหน่ึงของผูเขียนท่ีไมสามารถเริ่มตนเขยี นได คือไมทราบจะเขยี นเร่ือง

อะไรวิธีการแกปญหาดงั กลาวคือ หดั เขยี นเรื่องใกลตวั ของผูเขียน หรอื เร่ืองทผ่ี ูเขียนมปี ระสบการณดี

รวมท้งั เรือ่ งที่ผิเขียนมีความริเปนอยางดี หรือเขียนเร่ืองทสี่ นใจ เปนเรอ่ื งราวหรอื เหตุการณทก่ี ําลงัอยูใน

ความสนใจของบคุ คลทั่วไป นอกจากน้ผี ูเขียนอาจพจิ ารณาองคประกอบ 4 ประการ เพ่ือเปนแนวทางใน

การตดั สนิ ใจเลอื กเรอ่ื งทจ่ี ะเขียนดังตอไปน้ี

1.1 กลมุ ผูอาน ผูเขยี นควรเลือกเขียนเร่ืองสําหรับกลุมผูอานเฉพาะและควรเปนกลุม ผูอานท่ผี ูเขยี นรูจักด

ทงั้ ในดานการศึกษา ประสบการณ วัย ฐานะ ความสนใจและความเชื่อ

1.2 ลกั ษณะเฉพาะของเร่ือง เร่ืองทม่ี ีลักษณะพเิ ศษจึงดงึ ดูดใจใหผูอานสนใจ ลกั ษณะ พเิ ศษดังกลาว ไดแก

ความแปลกใหม ความถูกตองแมนยาํ แสดงความมรี สชาติ

1.3 เวลา เรือ่ งทจ่ี ะเขียนหากเปนเรอื่ งที่อยูในกาลสมัยหรือเปนปจจบุ ัน จะมีผูสนใจ

อานมากสวนเรอ่ื งท่ีพนสมัยจะมผี ูอานนอย นอกจากนี้การใหเวลาในการเขียนของผูเขียนกเ็ ปนส่ิงสาํ คัญ

ถาผูเขยี นมีเวลามาก ก็จะมีเวลาคนควาหาขอมลู เพ่ือการเขยี นและการอางอิงไดมาก ถาผูเขยี นม

เวลานอย การเขียนดวยเวลาเรงรัดก็อาจทําใหเน้ือหาขาดความสมบูรณ อางอิง

1.4 โอกาส การเขียนเรื่องประเภทใดขน้ึ อยูกับโอกาสดวย เชน ในโอกาสเทศกาลและวนั

สาํ คัญทางราชการและทางศาสนา กเ็ ลือกเขียนเรือ่ งทีเ่ กย่ี วกับโอกาสหรือเทศกาลนัน้ ๆ เป

2. ประเภทของเร่ืองท่จี ะเขียน การแบงประเภทของเรื่องทีจ่ ะเขียนนั้นพจิ ารณาจากจดุ มุ ในการเขยี น

ซง่ึ แบงไดเปน 3 ประเภทคือ

62 | ห น้ า

2.1 เรอื่ งทเี่ ขียนเพ่ือความรู เปนการถายทอดความรูและประสบการณรวมทั้งหลักการ ตลอดจนขอเทจ็ จริงตาง ๆ

ใชวิธีเขียนบอกเลาหรอื บรรยายรายละเอยี ด

2.2 เรื่องท่ีเขียนเพื่อความเขาใจ เปนการอธบิ ายใหผูอื่นเขาใจความรู หลกั การ หรือ ประสบการณตาง ๆ

การเขียนเพ่อื ความเขาใจมกั ควบคูไปกับการเขียนเพื่อใหเกิดความรู

2.3 การเขียนเพื่อโนมนาวใจ เปนการเขยี นเพือ่ ใหผูอานเชือ่ ถือและยอมรบั เพ่ือใหผูอาน ไดรับอรรถรสทางใจ

ใหสนุกสนาน เพลิดเพลนิ ไปกับขอเขยี นนน้ั ๆ

3. การวางโครงเรอ่ื งก นเขยี น การเขียนเรียงความเปนการเสนอความคิดตอผูอาน

ผูเขยี นจึงตองรวบรวมเลือกสรรและจัด ระเบียบความคดิ แลวนาํ มาเรยี บเรยี งเปนโครงเร่อื ง

การรวบรวมความคดิ อาจจะรวบรวมขอมลู จาก ประสบการณของผูเขียนเอง นาํ สวนทเี่ ปนประสบการณตรงและประสบการณทางออม ซ่ึงเกิดจาก การฟง การอาน การพูดคยุ ซกั ถาม เปนตน เมื่อไดขอมูลแลวก็นาํ ขอมลู น้ันมาจัดระเบียบความคิด โดยจดั เรยี งลําดับตามเวลา

เหตกุ ารณ ความสาํ คญั และเหตผุ ล แลวจึงเขยี นเปนโครงเร่อื ง เพือ่ เปน แนวทางใหงานเขยี นอยูในกรอบ

ไมออกนอกเร่ือง และสามารถนํามาเขียนขยายความเปนเน้อื เร่อื งท่ี สมบูรณ และเลือกหัวขอ เขยี นชื่อเร่อื งไวกลางหนากระดาษ เลือกหวั ขอที่นาสนใจท่สี ดุ เปนคาํ นํา

ที่นาประทับใจทีส่ ุดเปนสรปุ นอกนัน้ เปนเน้ือเร่ือง

3.1 ชนิดของโครงเรอื่ ง

การเขยี นโครงเร่ืองนิยมเขยี น 2 แบบ คือ โครงเรื่องแบบหวั ขอและโครงเรอื่ งแบบประโยค

3.1.1 โครงเรือ่ งแบบหวั ขอ เขียนโดยใชคาํ หรือวลีสั้นๆ เพื่อเสนอประเดน็ ความคิด 3.1.2

โครงเรือ่ งแบบประโยค เขียนเปนประโยคทส่ี มบูรณ โครงเรือ่ งแบบน้ี

มีรายละเอยี ดทชี่ ดั เจนกวาโครงเรือ่ งแบบหวั ข

3.2 ระบบในการเขียนโครงเร่อื ง การแบงหัวขอในการวางโครงเรอ่ื งอาจแบงเปน 2 ระบบคือ

3.2.1 ระบบตัวเลขและตัวอกั ษร เปนระบบทน่ี ิยมใชกนั ทวั่ ไป โดยกําหนดตวั เลข

หรือประเดน็ หลกั และตัวอักษรสาํ หรบั ประเด็นรอง ดงั น้ี

  1. ................................................................................................

(1) ........................................................................................

(2) ........................................................................................ 2)

................................................................................................

(1) ........................................................................................

(2) ........................................................................................

3.2.2 ระบบตัวเลข เปนการกาํ หนดตัวเลขหลักเดียวใหกับประเด็นหลกั และตัวเลขสอง

หลักและสามหลัก ใหกับประเด็นรองๆ ลงไป ดังน้ี

  1. ................................................................................................ (1.1) .....................................................................................

(1.2) .....................................................................................

ห น้ า | 63

  1. ................................................................................................ (2.1) .....................................................................................

(2.2) .....................................................................................

3.3 หลักในการวางโครงเร่อื ง หลกั ในการวางโครงเร่ืองนั้นควรแยกประเดน็ หลักและประเดน็ ยอจากกนั ใหชัดเจน

โดยประเดน็ หลกั ทุกขอควรมีความสําคัญเทากัน สวนประเด็นยอยจะเปนหวั ขอที่สนบั สนุนประเดน็ หลัก ทงั้ นท้ี กุ ประเด็นตองตอเน่ืองและสอดคลองกนั จึงจะเปนโครงเร่ืองที่ดี

ตัวอยางโครงเรอ่ื งแบบหัวข เรื่อง

ปญหาการติดยาเสพติดของวยั รุ 1.

สาเหตุของการติดยาเสพตดิ

ก. ตามเพื่อน

ข. การหยารางของบดิ า มารดา

ค. พอแมไมมเี วลาใหลูก

ง. การบงั คบั ขูเข็ญ

2. สภาพปญหาของการตดิ ยาเสพตดิ ของวัยรุ

ก. จาํ นวนผตู ิดยา

ค. การคาประเวณี 3.

ก. การสรางภูมิตานทานในครอบครวั ข. การสรางชมุ ชนใหเขมแขง็ ค. กระบวนการบําบัดรักษาแบบผสมผสาน

ตวั อยางโครงเรอ่ื งแบบประโยค เรือ่ ง

ปญหาการตดิ ยาเสพตดิ ของวยั รุ 1. สาเหตขุ องการติดยาเสพตดิ มหี ลายสาเหตุท้ังสาเหตทุ ่ีเกดิ จากตวั เองและจากสง่ิ แวดล

ก. เสพตามเพ่ือน เพราะความอยากลอง คดิ วาลองคร้งั เดียวคงไมตดิ

ข. บดิ า มารดา หยารางกนั ลกู ตองอยูกบัฝายใดฝายหนง่ึทาํ ใหรูสึกวาเหว เหงา และเศรา ลกึ ๆ

ค. พอแมใหเวลากบั การทํางานหาเงินและการเขาสงั คม ไมมเี วลาใหครอบครวั

64 | ห น้ า

ง. ในโรงเรียนมกี ลุมนักเรยี นที่ท้ังเสพและคายาเสพตดิ เอง ใชกําลงั ขมขบู ีบบงั คับ

ใหซื้อยา

2. สภาพปญหาของการติดยาเสพติดของวยั รุ

ก. จํานวนวัยรุนทีต่ ดิ ยาเสพติดในปจจบุ นั มจี ํานวนเพิ่มข้นึ อยางรวดเรว็

ข. ปญหาทตี่ ามมาของการติดยาเสพตดิ คือการก มทกุ ประเภท

ค. ในหมูวัยรุนหญงิ ท่ีติดยาเสพตดิ มกั ตกเปนเหยื่อของการคาประเวณีในที่สุด

3.

ก. การใหความรกั ความอบอุน และความเอือ้ อาทร รวมทงัก้ ารมีเวลาใหกับคนใน ครอบครัวเปนภมู ิตานทานปญหายาเสพตดิ ไดอยางด ี

ข. การทาํ ใหคนในชมุ ชนรกั ชมุ ชน ชวยเหลือแกปญหาในชุมชนจะเปนเกราะปองกนั ปญหา ยาเสพตดิ ไดอยางดี เพราะเขารวมกันสอดสองดูแลปองกันชุมชนของตนเองจาก ยาเสพตดิ

ค. สงั คมใดทิมผี่ ูคนสนใจใฝร ูใฝแสวงหาขอมลู ขาวสาร ผูคนจะมคี วามรูเพียงพอทจีะ่ พาตัว ใหพนจากภยั คุกคามทุกรปแู บบดวยปญญาความรูที่ม ี

ง. กระบวนการบาํ บดั ผูตดิ ยามใิ หกลบั มาติดใหม ทาํ ไดดวยการใหการรกั ษาทางยาควบคู กับการบําบัดทางจติ ใจ ดวยการใชการปฏบิ ตั ทิ างธรรม ซึง่ จะเปนภมู ติ านทานทางใจ ที่ถาวร

4. การเขยี นย

การยอหนาเปนสงิ่ จาํ เปนอกี อยางหน่งึ เพราะจะชวยใหผูอาน อานเขาใจงายและอานได

เรว็ มีชองวางใหไดพักสายตา ผูเขียนเรียงความไดดตี องรูหลักในการเขยี นยอหนาและนาํ ยอหนาแตละ

หนามาเชอ่ื มโยงใหสัมพนั ธกนั ในยอหนาหน่ึงๆ ตองมสี าระเพยี งประการเดยี ว ถาจะข้ึนสาระสําคญั

ใหมตองข้ึนยอหนาใหม ดงั นัน้ การยอหนาจะมากหรือนอยข้นึ อยูกับสาระสําคญั ที่ตองการเขียนถึง

ในเนอื้ เร่ือง แตอยางนอยการเขียนเรยี งความตองมี 3 ยอหนา คอื ยอหนาท่ีเปนคาํ นํา เนื้อเร่อื งและสรุป

4.1

1 ยอหนา ประกอบดวย ประโยคใจความสาํ คัญและประโยคขยายใจความสําคัญ หลายๆ ประโยค มาเรียบเรียงตอเน่ืองกนั

4.2 ลกั ษณะของยอหนาทด่ี ี ยอหนาที่ดีควรมิลกี ษณะ 3 ประการคือ

เอกภาพ สมั พันธภาพ และสารัตถภาพ 1. เอกภาพ

คือความเปนอันหนงึ่ อนั เดยี วกนั มีประโยคใจความสําคัญในยอหนาเพยี ง

หนง่ึ สวนขยายหรือสนบั สนุนตองกลาวถึงใจความสาํ คญั นั้น ไมกลาวนอกเรอ่ื ง

2 สัมพนั ธภาพ คือการเรียบเรยี งขอความในยอหนาใหเกย่ี วเนอ่ื งสัมพันธกัน

มกี ารลาํ ดับความอยางมรี ะเบียบ นอกจากน ย้ี ังควรมีความสมัพันธกับยอหนาที่มมาี กอนหรอื ยอหนาที่ ตามมาด

ห น้ า | 65

3 สารัตถภาพ คือการเนนความสําคญั ของยอหนาแตละยอหนาและของเิร่อง

ทัง้ หมดโดยใชประโยคสัน้ ๆ สรุปกนิ ความท้งั หมด

อาจทิาไดโดยการนาํ ประโยคใจความสําคัญมาไว ตอนตนหรอื ตอนทาย ยอหนา

หรอื ใชสรุปประโยคหรอืวลที ิมล่ี ักษณะิซา้ ๆ กัน

5. การเชอื่ มโยงย

การเช่ือมโยงยอหนา ทําใหเกดิ สมั พันธภาพระหวางยอหนา การเรยี งความเร่ืองหนึง่ ยอม

ประกอบดวยหลายยอหนา การเรียงลําดบั ยอหนาตามความเหมาะสมจะทําให มเกี่ยวเน่ืองเปน

เรอ่ื งเดยี วกันวิธกี ารเชื่อมโยงยอหนาแตละยอหนาก็เชนเดียวกบั การจัดระเบียบความคิดในการวางโครง

เรื่อง ซึง่ มีดวยกัน 3 วธิ คี อื

5.1 การลําดับยอหนาตามเวลา อาจลาํ ดับตามเวลาในปฏิทินหรือตามเหตุการณท่เี กิดข้นึ

กอนไปยังเหตุการณที่เกิดขึ้นภายหลงั

5.2 การลาํ ดบั ยอหนาตามสถานที่ เรยี งลําดับขอมูลตามสถานทห่ี รือตามความเปนจรงิ ทีเ่ กิดขน้ึ

5.3 การลาํ ดบั ยอหนาตามเหตผุ ล อาจเรยี งลาํ ดบั จากเหตุไปหาผล หรือผลไปหาเหตุ

6. สํานวนภาษา

6.1 ใชภาษาใหถกู หลักภาษา เชน การใชลักษณะนาม ปากกาใชวา “ดาม” รถใชวา “คัน”

พระภกิ ษุใชวา “รปู ” เปนตน นอกจากนี้ไมควรใชสํานวนภาษาตางประเทศ เชน ขณะทข่ี าพเจาจับรถไฟไปเชยี งใหม ควรใชวา ขณะท่ขี โดยสารรถไฟไปเชียงใหม บิดาของข ถูกเชญิ ไปเปนวิทยากร ควรใช บดิ าของข ไดรบั เชญิ ไปเปนวิทยากร

6.2 ชภาษาพดู เชน ดีจงั เมื่อไหร ทาน ฯลฯ ควรใชภาษาเขยี น ไดแก ดมี าก เมือ่ ไร

รบั ประทาน

6.3 ไมควรใชภาษาแสลง เชน พน ฝอย แจวอาว สุดเหว่ยี ง ฯลฯ

6.4 ควรหลกี เล่ยี งการใชคําศพั ทยากทไี่ มจาํ เปน เชน ปรเิ วทนากร ฯลฯ ซงึ่ มีคําท่ีงายกวา ทีค่ วรใชคอื คาํ วา วิตก หรอื ใชคําทีต่ นเองไมทราบความหมายที่แทจริง เชน

บางคนใชคําวาใหญโต รโหฐาน คําวา รโหฐาน แปลวา ทล่ี ับ ท่ีถกู ต มโหฬาร

6.5 ใชคาํ ใหถูกตองตามกาลเทศะและบุคคล เชน คาํ สุภาพ คาํ ราชาศพั ท

6.6 ผกู ประโยคใหกระชับ รัดกุม เชน “ถาเจาเดนิ ช นนี้ เมอื่ ไรจะไปถึงทีท่ จ่ี ะไปสกั ที” ควรใชใหกระชับวา “ถาเจาเดนิ ชาเชนนีเ้ มือ่ ไรจะไปถึงท่ีหมายสกัที” หรอื ประโยควา “อันธรรมดาคนเรา เกดิ มาในโลกนี้ บางกเ็ ปนคนดี บางกเ็ ปนคนชว่ั ” ควรใชวา “คนเรายอมมที ั้งดแี ละชว่ั

7. การใชหมายเลขกาํ กับ หัวขอในเรยี งความจะไมใชหมายเลขกาํ กับ ถาจะกลาวแยกเปนขอๆ จะใชวา ประการท่ี

1........ประการท่ี 2.............หรอื ประเภทท่ี 1..............ประเภทที่

66 | ห น้ า

1............2............เรยี งลาํ ดบั แบบการเขยี นทัว่ ไป

8. และเครือ่ งหมายวรรคตอน

เคร่ืองหมายวรรคตอน เชน มหัพภาค (.) อฒั ภาค (;) จุลภาค (,) นัน้ ไทยเลียนแบบฝรงั่ มา

จะใชหรือไมใชก็ได ถาใชตองใชใหถกู ตอง ถาไมใชก็ใชแบบไทยเดิม คือ การเวนวรรคตอนโดยเวนเปน

วรรคใหญ วรรคนอย ตามลกั ษณะประโยคที่ใช

9. สํานวนกับโวหาร

สํานวนกับโวหารเปนคาํ ท่ีมีความหมายอยางเดยี วกันนาํ มาซอนกัน หมายถงึ ช้ันเชงิ ใน การเรียบเรยี งถอยคํา

ในการเขียนเรียงความสํานวนโวหารท่ใี ชมี 5 แบบคือ

9.1 แบบบรรยาย หรอื ทเี่ รียกกันวาบรรยายโวหาร เปนโวหารเชงิ อธิบายหรือเลาเร่ือง

อยางถ่ีถวนโวหารแบบน้เี หมาะสําหรบั เขยี นเร่ืองประเภทใหความรู เชน ประวัติ ตาํ นาน บันทึก

เหตุการณ ฯลฯ ตัวอย

“ขณะทเ่ี ราขบั รถข้นึ เหนือไปนครวดั เราผานบานเรือนซ่ึงประดบั ดวยธงสิีน้าเงินและสีแดง ไวนอกบาน

เราไปหยดุ ท่ีหนาวดั ซึง่ ประตทู างเขาตกแตงดวยดอกไมและเครือเถาไม ในเขตวดั พระสงฆ

หมจีวรสีสมสนทนาปราศรยั กับผูคนทไ่ี ปนมัสการอยูในปะรําไมปลกู ขึน้ เปนพเิ ศษ ความประสงคทเ่ี ราไป

หยดุ ที่วดั ก็เพ่ือกอพระทรายอันเปนเรอ่ื งที่สําคัญที่สุดในวันขึ้นปใหมตามศรัทธาของพทุ ธศาสนกิ ชน

รายเปนพิธีบุญ อธิษฐานขอพรอยางหน่ึง งานเทศกาลนี้เปนเวลาท่วี ัดทกุ ๆ วัด จะตอง

เก็บกวาดใหสะอาดที่สุด มีการสรงิน้าพระพุทธรูปเปนประจาํ ปเพอ่ื ขอใหฝนตกโดยเรว็ ” จาก สมโรจน สวสั ดกิ ุล

ณ อยธุ ยา “วันปใหมที่นครวัด” งานเทศกาลในเอเชยี เล โครงการความรวมมอื ทางดาน การพิมพ ชดุ ท่ี 2

ศนู ยวฒั นธรรมแหงเอเชียของยูเนสโก

9.2 แบบพรรณนา หรือทีเ่ รียกวา พรรณนาโวหาร คอื โวหารที่กลาวเปนเรอื่ งราว

อยางละเอียดใหผูอานนกึ เห็นเปนภาพ โดยใชถอยคาํ ท่ที ําใหผูอานเกดิ ภาพในใจ มโนภาพขน้ึ

โวหาร แบบนี้สาํ หรบชั มความงามของบานเมือง สถานท ่ีบคุ คล เกยรี ติคุณ คุณความดีตาง ๆ

ตลอดจนพรรณนา อานุภาพของกษัตรยิ และพรรณนาความรูสกึ ตางๆ เชน รัก โกรธ แคน รษิ ยา

โศกเศรา เปนตน ตวั อย

“เม่ือถึงตอนิน้าตื้นพวกฝพายตางชวยกันถอ ทางินา้ ค ปเปนหนองิน้าใหญ แติน้าสงบนิง่

นาประหลาด ปารนแนวไปจากรมิ หนอง ปลอยใหตนหญาสีเขียวจาํ พวกออคอยรบั แสง

สะทอนสินี า้ เงนิ แกจากทองฟา ปยุ เมฆสมี วงลอยไปมาเหนือศีรษะ ทอดเงาลงมาใตใบบวั และดอกบวั สีเงนิ

เรือนเลก็ หลงั หนงึ่ สรางไวบนเสาสงู แลดูดาํ เมื่อมมาแตไกล ตัวเรือนมีตนชะโอนสองตนซ่ึงดู

เหมอื นจะข้นึ อยูในราวปาเบื้องหลัง เอนตนลงเหนือหลังคา ท้ังตนและใบคลายจะเปนสญั ญาณวามี

ความเศราโศกสดุ ประมาณ”

จากทองสกุ เกตุโรจน “ทะเลใน” แปลและเรียบเรยี งจากเร่ือง “The Lagoon” ของ Joseph Conrad การเขียนแบบสรางสรรค มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง 2519

9.3 แบบอปุ มา หรอื ทเ่ี รียกวาอุปมาโวหาร คือโวหารทีย่ กเอาขอความมาเปรยี บเทียบเพื่อ

ประกอบความใหเดนชัดข้ึน ในกรณีที่หาถอยคํามาอธบิ ายใหเขาใจไดยาก เชน

ห น้ า | 67

เรอื่ งทเ่ี ปนนามธรรม ทง้ั หลายการจะทําใหผูอานเขาใจเดนชัด

ควรนาํ สิ่งทม่ี ีตวั ตนหรือสงิ่ ทค่ี ิดวาผูอานเคยพบมาเปรยี บเทียบ

หรืออาจนาํ กิรยิ าอาการของสิ่งตาง ๆ มาเปรยี บเทียบก็ได เชน เยน็ เหมือนิน้าแขง็

ขาวเหมือนด่งั สําลี ไวเหมอื นลิง

บางทอี าจนําความรูสกึ ทส่ี ัมผัสไดทางกายมาเปรยี บเทยี บเปนความรูสึกทางใจ เช

รอนใจดงั ไฟเผา รกั เหมือนแกวตา เปนตน โวหารแบบนมี้ ักใชแทรกอยูในโวหารแบบอืน่

ตัวอยาง อปุ มาโวหาร เชน ความสวยเหมือนดอกไม เมอื่ ถึงเวลาจะรวงโรยตามอายุขัย

แตความดีเหมือนแผนดิน ตราบใดที่โลกดํารงอยู ผนื ดนิ จะไมมวี นั สูญหายไดเลย

ความดีจึงเปนของคโู ลก และถาวรกวา ความสวย

ควรหรือไมถาเราจะหนั มาเทิดทนู ความดีมากกวาความสวย เราจะไดทาํ แตสิง่ ที่ถูกเสียที

9.4 แบบสาธก หรอื สาธกโวหาร สาธก หมายถึง ยกตัวอยางมาอางใหเหน็ สาธกโวหารจงึ

หมายถึงโวหารท่ียกตัวอยางมาประกอบอาง เพอ่ื ใหผูอานเขาใจเรื่องไดชัดเจนข้นึ

ตวั อยางที่ยกมา อาจจะเปนตัวอยางบุคคล เหตุการณหรือนิทาน

โวหารแบบนีม้ ักแทรกอยูโวหารแบบอ่ืน เชนเดียวกับ อปุ มาโวหาร ตวั อย

“....พึงสงั เกตการบูชาในทางท่ีผดิ ใหเกดิ โทษ ดังตอไปนี้

ในสํานักอาจารยทิศาปาโมกข เมอื งตักศิลา มีเด็กวยั รุนเปนลกู ศิษยอยูหลายคน เรียนวิชา ตางกันตามแตเขาถนดั มเี ด็กวัยรุนคนหน่งึ ชือ่ สัญชวี ะ อยูในหมนู ้ันเรยี นเวทยมนตเสกสตั วตาย ใหฟนคืนชพี ไดตามธรรมเนียมการเรยี นเวทยมนตตองเรยี นผกู และเรยี นแกไปดวยกนั แตเขาไมไดเรียน มนต

มาวนั หนึ่ง สัญชวี ะกบั เพื่อนหลายคนพากันเขาปาหาฟนตามเคย ไดพบเสือโครง

ตวั หนึ่งนอนตายอยู “นแ่ี นะเพื่อน เสอื ตาย” สญั ชวี ะเอยข้ึน “ขาจะเสกมนตใหเสือตวั นี้ฟนคนื ชพี ขึ้น

คอยดูนะเพื่อน” “แนเทียวหรือ” เพ่ือนคนหน่ึงพดู “ลองปลกุ มันใหคืนชีพลุกขึน้ ดูซิ ถาเธอสามารถ” แลวเพ่ือน ๆ

คน อื่น ๆ ปนข้นึ ตนไมคอยดู “แนซนี า” สัญชีวะยนื ยนั แลวเริม่ ร มนตเสกลงทร่ี างเสอื

พอเจาเสือฟนคนื ชีพขึ้นยนื รูสกึ หิว มองเหน็ สัญชวี ะพอเปนอาหารแกหิวได จงึ สะบัดแยกเขยี้ วอวด

สัญชีวะและคาํ รามวิ่งปราดเขากัดกานคอสญั ชวี ะล

เมอื่ อาจารยไดทราบขาวกส็ ลดใจและอาลัยรักในลูกศิษยมาก จึงเปลงอทุ านข้นึ วา

“นแ่ี หละผลของการยกยองในทางท่ีผิด ผูยกยองคนเลวราย ยอมรับนับถอื เขาในทางมิบงั ควรตองไดรับ

ทุกขถงึ ตายเชนนีเ้ อง”

จาก ฐะปะนีย นาครทรรพ การประพันธ ท 041 อกั ษรเจรญิ ทศั น

9.5 แบบเทศน หรือเทศนาโวหาร คอื โวหารท่อี ธิบายชแ้ี จงใหผูอานเชอื่ ถือตาม โดยยก เหตุผลขอเท็จจรงิ อธิบายคุณ โทษ แนะนาํ สง่ั สอน ตวั อย

“คนคงแกเรียนยอมมปี รชี าญาณ ฉลาดคดิ ฉลาดทาํ ฉลาดพูดและมคี วามรูสึกสูง

สาํ นกึ ในผดิ ชอบชั่วดี ไมกลาทําในสิ่งท่ผี ดิ ทีช่ ่วั เพราะรูสกึ ละอายขวยเขนิ แกใจและรูสกึ สะดุงหวาดกลัว ตอผลรายอันพึงจะไดรบั รูสกึ อิม่ ใจในความถกู ตอง รูสึกเสยี ใจในความผิดพลาด และรูเทาความถูกตอง นั้นวา มิไดอยูทด่ี วงดาวประจําตัว แตอยูท่กี ารกระทําของตัวเอง พึงทราบวา ความฉลาดคิด ฉลาดทาํ

68 | ห น้ า

ฉลาดพูดและความรูสึกสงู ทาํ ใหคิดดี ท่ีจริงและคดิ จรงิ ทีด่ ี ทําดที ีจ่ ริง ทาํ จริงที่ดี และพูดดีทีจ่ ริง พูดจริง ที่ดี นค่ี ือวธิ จี รรยาของคนแกเรยี น

จากฐะปะนยี นาครทรรพ การประพันธ ท 041 อักษรเจริญทัศน โวหารตาง ๆ ดงั กลาว

เมื่อใชเขียนเรียงความเร่ืองหนง่ึ ๆ ไมไดหมายความวาจะใชเพยี งโวหาร ใดโวหารหน่งึ เพียงโวหารเดยี ว

การเขยี นจะใชหลาย ๆ แบบประกอบกนั ไป แลวแตความเหมาะสมตาม ลกั ษณะเน้ือเร่ืองท่เี ขยี น

การเขียนเรียงความเปนศลิ ปะ หลกั การตาง ๆ ท่ีวางไมไดเปนหลกั ตายตัว ตวั อยางคณิตศาสตร วทิ ยาศาสตร ดงั นนั้

จงึ เปนเพยี งแนวปฏิบตั แิ ละขอเสนอแนะ ในการเขียนอาจพลิกแพลงไดตาม ความเหมาะสมที่เหน็ สมควร

ตัวอยาง เรยี งความเร่อื ง สามเส

ครวั ไทยแตกอนคร้งั หุงขาวดวยฟนนั้น มีสิง่ สาํ คญั อยางหน่ึงคือ กอนเสา เรายงั หาครวั อยางนี้ ดไู ดในชนบท

กอนเสานัน้ อาจเปนดนิ หรือกอนหิน มีสามกอนต้งั ชนกันมชี องวางสาํ หรบั ใสฟน กอนเสา

สามกอนน้ีเองเปนทีส่ ําหรบั ตั้งหมอขาวหมอแกงอันเปนอาหารประจําชีวติ ของคนไทย ดู ๆ ไปกอนเสา

สามกอนนั้นกเ็ ปนสญั ลกั ษณของชาตไิ ทย เพราะชาติไทยแต แตไรกต็ ง้ั อยูบนกอนเสาสามกอนน้ัน มชี าติ

ศาสนา พระมหากษัตรยิ พระพุทธศาสนาก็ประกอบดวยกอนเสาสามกอน คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ

กอนเสาสามกอนหรอื สามเสานี้ เมื่อคิดไปอีกทีกเ็ ปนคตอิ ันดที ่เี รานาจะยดึ เปนเครือ่ งเตือนใจ ภาษติ จีนมีวา

คนเราจะมีชีวติ มั่นคง จะตองน่ังบนมาสามขา มาสามขาตามภาษิตจีนนนั้ หมายถึง

สง่ิ สําคญั สามอยางที่พยุงชีวิตเรา สงิ่ สําคัญน้ันจะเปนอะไรกไ็ ดแตตองมสี ามขา ถามีเพยี งสองชวี ิตก็ยัง

ขาดความม่นั คง ภาษิตจีนน้ีฟงคลายๆ “สามเสา” คือวาชีวิตของเราต้ังอยูบนกอนสามกอน จงึ มี

ความมน่ั คง ก็กอนเสาทงัส้ ามสําหรับชวี ิตนี้คอื อะไร ตางคนอาจหากอนเสาทัง้ สามสําหรับชีวิตของตัวเองได

บางทานอาจยดึ พระไตรลกั ษณ คอื ความทกุ ข ความไมเทิย่ ง 1 และความไมใชตัวของเรา 1

เปนการยึดเพื่อทิาใจมใิ หชอกิชา้ ขุนมัวในยามิทต่ กทุกขไดยาก หรือจะใชเปนเคร่อื งเตือนมิใหเกิด

ความทะเยอทะยานตน ทาํ ลายสนั ติสขิ ของชวี ิตก็ได บางคนยดึ ไตรสกิ ขาเปนกอนเสาท้งั สามแหง การยัง

มีชวี ิตคอื ศีล สมาธ ปิ ญญา เปนหลกั การเขยี นยอความ คือ

การเก็บใจความสําคญั ของเรื่องท่ีอานหรือฟงมาเรียบเรียงใหม อยางยอ ๆ

โดยไมทาํ ใหสาระสําคญั ของเรื่องน้นั คลาดเคลอ่ื น หรือขาดหายไป

การยอความเปนวิธีการหนงึ่ ท่ีชวยใหเราบนั ทกึ เรอื่ งราวตางๆ ทไี่ ดอานหรือฟงมานัน้ ไวโดยยอ ๆ

โดยเกบ็ รวบรวมไวเพือ่ มิใหหลงลมื หรอื เพ่ือนําเรื่องที่บนั ทกึ ไวนน้ั ไปใชในโอกาสตาง ๆ นอกจากน้นั

การยอความยังชวยใหถายทอดเรื่องราวตอไปยังผูอืน่ ไดถกู ตองรวดเรว็ อีกดวย หลักการยอความ

การยอความมหี ลักการท่วั ไปดงั ตอไปนี้

1. ยอความตามรูปแบบการยอความแบบตาง ๆ กาํ หนดไวในหวั ข

2. อานเร่ืองราวท่จี ะยออยางนอย 2 เท่ยี ว เที่ยวแรกจับใจความใหไดวา เร่ืองอะไร หรือใครทาํ

อะไรท่ีไหน อยางไร เทยี่ วท่ีสองจบั ใจความใหละเอียดขึ้น และพิจารณาวาอะไรเปนใจความสาํ คญั

อะไร เปนใจความประกอบหรือพลความ หรือขอความท่ีเสริมแตงใจความสาํ คัญให ชัด ชดั เจน

อะไรเปน กลวิธีการแตงถาจับใจความไมไดใหอานอีกจนกวาจะสามารถจับใจความสาํ คัญได

3. พจิ ารณาเก็บเฉพาะใจความสําคญั หรือเกบ็ ใจความประกอบท่จี ําเป

ห น้ า | 69

4. นําเฉพาะใจความที่เก็บไวมาเรยี บเรยี งใหมดวยภาษาของตนเองตามรูปแบบท่ีกาํ หนด 5.

ความส้นั ยาวของการย วามไมสามารถกาํ หนดเปนอัตราสวนได ขนึ้ อยูกับจุดประสงคของ

การยอและลักษณะของเรอ่ื งท่ยี อ ลักษณะของเรื่องก็คือเรอ่ื งใดทมี่ ีใจความประกอบมากถาเราเก็บ

เฉพาะใจความสาํ คัญกย็ อไดส้นั ถาเก็บใจความประกอบท่ีจําเปนดวย อัตราสวนความยาวจะเพิม่ ข้ึน ดงั นั้นจึงไมมีเกณฑกําหนดเร่ืองอัตราส

6. เปลี่ยนคาํ สรรพนามจากบุรษุ ที่ 1 บุรุษท่ี 2 เปนบรุ ุษที่ 3 เพราะผูยอทําหนาทเี่ ลาตอและ เครื่องหมายใด ๆ

ทม่ี อี ยูในขอความเดิม จะไมใชในยอความ เชน มาลพี ูดวา “พอมาแลว” เปล่ียนเปน เธอพดู วาพอมาแลว

คอื ให อรวมกันไป ไมแยกกลาวหรือขนึ้ บรรทัดใหม

7. ใชถอยคําภาษางาย ๆ ไดใจความชดั เจน เชน อนั มวลบุปผามาลอียู

เปล่ยี นเปนดอกไมอยูในปา แตถามีคําราชาศพั ทยังคงใชอย ู

8. เลอื กใชคาํ ไดความหมายครอบคลมุ เชน เพื่อกลาวถึงหนังสอื พิมพ วิทยุ โทรทัศน รใช คําวา “สื่อสารมวลชน” แทน หรอื เมื่อกลาวถึงสมดุ ดินสอ ปากกา ยางลบ ไมบรรทดั ควรใชคําว

“เครื่องเขียน

9. ไมใชอักษรยอ หรือคาํ ยอ เวนแตอักษรยอ หรือคาํ ยอนนั้ เปนทีเ่ ขาใจและยอมรบั ใชกันทว่ั ไป แล

ร.ส.พ. ส.ป.อ. ฯลฯ

10. ขอความทย่ี อแลวใหเขียนตอเนื่องกนั โดยใชคําเชื่อม เพื่อใหความกระชบั ไมเยิน่ เยอ

แตขอความที่ไมสัมพนั ธกันให

11. การยอความเปนรอยกรอง ก็ใชวธิ ีเดยี วกบั รอยแกว แตเปลยี่ นข

รูปแบบการเขี

เร่ืองทีจ่ ะยอมหี ลายรูปแบบ เชน บทความ จดหมาย โอวาท ฯลฯ แตละรูปแบบมีแบบ การขึน้ ตนเฉพาะดงั ตอไปน้ี

1. แบบของบทความ สารคดี ตํานาน นิทาน นยิ าย เรื่องสัน้ ฯลฯ

ยอ (บทความ สารคดี ตํานาน นิทาน นยิ าย เรื่องส้นั ) เรอ่ื ง ........................................................ ของ ..................(ผิแตง) ..............................จาก........................(แหลงทม่ี า).................................ความว

( ......................................................................

............................................................................................................................. .......................................

2. แบบของจดหมาย สาสน หนังสอื ราชการ

ยอ (จดหมาย สาสน หนังสือราชการ) ฉบบั ท่ี.............................ของ............................................

..........................................................ลงวนั ที่ ความว .....................................................

70 | ห น้ า

( ................. .................................................................................................................................................................... 3. แบบของประกาศ แจงความ แถลงการณ ระเบยี บคาํ สั่ง ฯลฯ

ยอ (ประกาศ แจงความ แถลงการณ ระเบยี บคาํ สงั่ ) เรอ่ืง ......................................................... ของ.........................................ลงวนั ท ี่.....................................................ความว

( ...................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................... 4.

ยอขาวเรื่อง...................................................จาก............................................................... .........

ลงวันท..ี่ ................................................ความว ......................................

( ................

...................................................................................................................................................................

5. แบบของโอวาท คาํ ปราศรยั สนุ ทรพจน

ยอ (โอวาท คาํ ปราศรัย สุนทรพจน .......................เน่ืองใน......................(โอกาส)...................................................ท.่ี ....................................... ณ วันท.ี่ .................................................................................ความว

( ................ ............................................................................................................... .....................................................

6. แบบปาฐกถา คาํ สอน คําบรรยาย ถ

ยอ (ปาฐกถา คําสอน คําบรรยาย ถอยแถลง ) ของ.....................................................................

เร่อื ง.....................................................................แก ทิ..่ ...................................

...........................ณ วันท.่ี .........................................เวลา..................................ความว

( ................

................................................................................................................ ....................................................

7. แบบพระบรมราโชวาท เทศนา

ห น้ า | 71

...................................................................ใน..........................................ที.่ ............................................. ณ วันท.่ี ....................................ความว

( ........................................ ............................................................................................................................. .......................................

8. แบบที่เปนรอยกรอง ใหถอดเปนรอยแกวกอนแลวยอตามรปู แบบ คือ ยอกลอนสภุ าพ (หรอื รอยกรองแบบอนื่ ทีย่ อ) เรื่อง...................................................................... า ( ................

............................................................................................................................. .......................................

9. ความเรยี งท่ีตัดตอนมา

ยอเรื่อง...............................ของ..............................คดั จากเรอ่ื ง ................................................. ................................จากหนงั สอื ........................................................................ความว ( ................ ................................................................................................................ ................................................... ขอความทีย่ อถาเร่ืองเดมิ ไมมีชือ่ เรอื่ งใหตั้งชื่อเร่ืองใหตรงกับความสําคัญของเร่ืองน้ัน ๆ

72 | ห น้ า

ตวั อย

เรื่อง เปรยี บเทียบนามสกุลกับช่ือแซ

คนเรายังมอี ยูเปนอนั มาก ซงึ่ ยังมไิ ดสังเกตวา นามสกุลกับชอื่ แซของจีนนนั้ ผดิ กนั อยางไร ผูทีแ่ ลดแู ตเผนิ ๆ หรือซ่งึ มิไดเอาใจใสสอบสวนในขอนี้ มักจะสําคัญวาเหมอื นกันและมีพวกจีนพวก นิยมจนี พอใจจะกลาววา การทพ่ี ระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวทรงพระราชปรารภออกพระราชบัญญตั ิ นามสกลุ ข้นึ นนั้ โดยทรงพระราชนยิ มตามประเพณีชื่อแซของจีน ซึง่ ถาจะตรองดูกจ็ ะเห็นวาคงจะไม เปนเชนนน้ั โดยเหตทุ ี่จะอธบิ ายตอไปน้ี

แซของจนี นนั้ ตรงกบั “แคลน” ของพวกสกอตคอื เปนคณะหรือพวก หรอื ถาจะเทยี บทาง วดั กค็ ลายสํานัก เชนท่เี ราไดยนิ เขากลาวๆ กนั อยูบอยๆ วาคนนนั้ เปนสํานักวัดบวรนิเวศ คนนเี้ ปน สํานักวดั โสมนสั ดงั น้ีเปนตวั อยาง สวนสกุลนน้ั ตรงกบั คาํ อังกฤษวา “แฟมลิ ่ี” ขอผดิ กนั อนั สาํ คญั ในระหวางแซกับนามสกุลน้นั ก็คือผูรวมแซไมไดเปนญาติสายโลหิตกันก็

ถาไมไดเปนญาติสายโลหิตตอกนั โดยแทแลวก็รวมสกลุ กนั ไมได นอกจากที่จะรบั เปนบตุ รบญุ ธรรมเปน พิเศษเทานั้น

ตัดตอนจากเร่อื งเปรยี บเทียบนามสกุลกับแ

ซ จากหนังสือปกิณกคดี พระราชนพิ นธ

พระบาทสมเดจ็พระรามาธบิ ดีศรสี ินทรมหาวชริ าวุธ

พระมงกุฎเ

กลาเจาอยูหั

ศลิ ปบรรณา

คาร 2515

-

76

แตสวนที่รวมสกลุ นน้ั การยอความจะเกบ็ เฉพาะใจความสาํ คญั และใจความประกอบท่จี ําเปนบางสวนเพ่อื ใหใจความ

ยอความสมบรู ณ

ยอหนาท่ี 1 ใจความสําคญั วา “คนเรายังมีอยูเปนอนั มาก ซง่ึ ยงั มไิ ดสังเกตวานามสกลุ กับ

ชื่อแซของจีนน้นั ผิดกันอยางไร” นอกนัน้ เป บ

ห น้ า | 73

ใจความประกอบยอหนาน้ีไมเก็บเพราะเห็นวาไมจาํ เปน เนื่องจากใจความสําคัญสมบรู ณทจี่ ะ นาํ ไปยอไดอยู ยอหนาท่ี 2 ใจความสาํ คญั “ขอผิดกนั อันสําคัญในระหวางแซกับนามสกลุ นั้นก็คอื ผูรวมแซ ไมไดเปนญาติสายโลหิตกันก็ได แตผูรวมสกลุ น้ันถาไมไดเปนญาตสิ ายโลหิตตอกันโดยแทแลวก็รวมสกลุ กนั ไม ใจความประกอบท่จี าํ เปนท่ีควรเก็บเพอ่ื เสรมิ ใจความสาํ คัญใหยอความไดใจความสมบูรณ ครบถวนคือ “แซของจนี เปนคณะหรอื พวก หรอื ถาจะเทยี บทางวัดก็คลายสํานกั ” “..............นอกจากทีจ่ ะรบั เปนบตุ รบญุ ธรรมเปนพิเศษเทานั้น”

เม่ือไดศึกษาหลักการยออื่น ๆ ครบถวนกับดรู ูปแบบการยอที่ใชแลว นาํ ใจความท่ีเก็บไวมา เรียบเรยี งใหมดวยถอยคาํ ของตนเอง รปู แบบการยอเปนความเรยี งที่ตัดตอนมา ดังนั้น จึงเขียน ยอความไดดงั นี้

ยอเรอ่ื ง เปรยี บเทยี บนามสกลุกบัช่อื แซ ของพระบาทสมเดจ็ พระมหารามาธบิ ดีศริสีนทรมหา วชริ าวุธพระมงกุฎเกลาเจาอยหูวั คัดจากเรื่องเปรยี บเทยี บนามสกลุกบัชือ่ แซ จากหนงั สือปกิณกคดี

มคี นจาํ นวนมากไมไดสังเกตวานามสกุลกับแซของจีนน้ันตางกัน

74 | ห น้ า

ผูรวมแซของจีนไมไดเปนญาติ สายโลหติ กนั ก็ได แตเปนคณะหรอื พวกเหมือนสํานักวัดหน่งึ สวนรวมสกลุ ตองเปนญาติสายโลหิตกนั โดยแทเทานั้น เชนนน้ั ก็เปนบุตรบุญธรรมทรี่ ับไวเปนพิเศษ

ถาเปนการยอท่ีมุงเก็บเฉพาะใจความสาํ คญั ขึ้นตนรูปแบบเหมือนกนั แตใจความจะสนั้ เขา ดงั น้ี

มคี นจาํ นวนมากไมไดสังเกตวานามสกุลกับแซของจีนนน้ั ตางกนั ผูรวมแซของจีนไมไดเปนญาติ

สายโลหติ ก็ได แตผูรวมสกลุ ตองเปนญาติสายโลหิต หรือบุตรบญุ ธรรมที่รับไวเปนพเิ ศษเทาน้นั

ตวั อย

(

ทหารเอกสยามสูเศรษฐสงคราม

กับสิทธกิ ารจัดการศกึ ษาสําหรับประเทศ

(กาพยฉบงั ) “ถามหนอยเถิดหนูผูเพยี ร เสรจ็ จากโรงเรยี น

แลวเจาจักทาํ อะไร”

“ฉนั เปนพอคาก็ได ใหเต่ียหัดให

ต้งั ห ถามทั่วทุกคนก็คง ใหคาํ ตอบลง รอยกันมิพลนั สงสยั

จักไดคําตอบนาน จากโรงเรียนจนี จงไป ถามโรงเรียนไทย

“ผมคดิ เขาทําราชการ เชนทานขนุ ชาญ

ลกู บานเดียวกนั มั่นหมาย” “หนอู ยานึกว คดิ เข พอคาคอยนามั่งมี” “ผมรักราชการงานดี ตําแหนงหนาที่ ยศศกั ดิ์บัฎตราน “บดั ยามสยามต ไทยฉลาดทุกแขนง ทัง้ นอกและในราชการ” “เศรษฐกิจก็กจิ แก นกั เรียนรกั งาน ควรเลือกประกอบเหมือนกนั ” “ผมชอบราชการเทานั้น ตัง้ ใจหมายมัน่ แตจะเขารับราชการ” คําตอบเชนนี้มีประมาณ ก่ีส คาํ นงึ จะพงึ พิศวง นึกไปไม ไมคุนไมคอยเคยทํา เคยแตรงั เกยี จดวยิซา้ นายไพรดวยชํา นาญลวนงานเรยี ก “ราชการ”

........................................................

ครเู ทพ โคลงกลอนของครูเทพ เลม 1 คุรสุ ภา 2515

ห น้ า | 75

ขอความที่ยอไดดังนี้

ยอ กาพยฉบงั เรือ่ งโครงกลอนของครเู ทพ ตอน ทหารเอกสยามสูเศรษฐสงครามกับสทธิ กิ าร

จัดการศึกษาสาํ หรับประเทศ ความวา ถาถามนักเรียนในโรงเรียนจีนกับโรงเรียนไทยวา

เมอื่ สาํ เร็จการศึกษาแลวจะไปประกอบอาชีพ อะไร นักเรียนในโรงเรยี นจนี ตอบว

และนักเรยี นในโรงเรยี นไทยจะตอบวาจะทํางาน ราชการ

คําตอบเชนนี้เปนเพราะคนไทยไมคุนเคยและไมคอยเคยคาขายจงึ ไมเห็นความสําคัญท้งั ๆ

ท่ีเรือ่ งคาขายเปนเร่อื งสําคัญท่ีควรเลอื กเปนอาชีพไดเหมอื นกันและเหมาะสมกบั ประเทศไทยที่กาํ ลงั

ตองการคนฉลาดทาํ งานทุกประเภทไมใชเพียงงานราชการเทานนั้

สรปุ ยอความเปนการเขยี นแบบหนึ่งท่เี กบ็ ใจความสําคัญของเรื่องเดมิ มาเขยี นใหมใหสน้ั กวาเดมิ เพ่ือ สะดวกแกการเขาใจและการนําไปใช การยอความตองบอกลกั ษณะและที่มาของขอความทจ่ี ะย

ขอความเดมิ

เร่ืองที่ 4 การเขยี นเพอ่ื การสื่อสาร

1. การเขียนจดหมาย เปนการสอ่ื สารโดยตรงระหวางบคุ คลหรอรื ะหวางหนวยงานตาง ๆ ชวย ทําใหระยะทางไกลเปนใกล เพราะไมวาบคุ คลหรือหนวยงานจะหางไกลกันแคไหนกส็ ามารถใชจดหมาย สงขาวคราวและแจงความประสงคไดตามความตองการ การสงสารหรือขอความในจดหมายตองเขยี น ใหแจมแจงชดั เจนเพอ่ื จะไดเขาใจตรงกนั ทั้งสองฝ

76 | ห น้ า

องคประกอบและรปู แบบของจดหมาย

ผูเรียนคงเคยเขยี นจดหมายหรืออานจดหมายมาบางแลว คงจะสงั เกตเหน็ วาจดหมายน้นั ไมวา ประเภทใด

จะตองประกอบดวยสิง่ ตาง ๆ ดังน้ี

1. ทอ่ี ยูของผูเขียน เริม่ กงึ่ กลางหน ระหวางเสนคั่นหนากับรมิ ของขอบกระดาษ

2. วัน เดอื น ป ที่เขยี นจดหมาย ใหเย้ืองมาทางซายของตาํ แหนงท่ีเขียนที่อยูเลก็ น

3. คําขึ้นตน หางจากขอบกระดาษดานซาย 1 นวิ้

4. เนอ้ื หา ขน้ึ อยูกับยอหนาตามปกติ อาจจะอยูหางจากขอบกระดาษดานซาย 2 นิ้ว

5. คาํ ลงทายอยูแนวเดียวกบั ท่อี ยูของผูเขียน

6. ชอ่ื ผูเขียน อยูใตคาํ ลงทาย ิล้าเขาไปเล็กน

ตวั อย รปู แบบการเขยี นจดหมายท่วั ไป

สถานทิเขียนจดหมาย .............................

วัน..........เดือน......................ป ระยะ 1 น้ิว

คาํ ขนึ้ ตน ................................................................................................. ประมาณ 2 น้วิ

เนอ้ื หา .................................................................................................

.......................................................................................................................................... ....

............................................................................................................................ ..................

............................................................................................................................. .................

............................................................................................................................. .................

.............................................................................................................. ................................

............................................................................................................................. .................

..............................................................................................................................................

คําลงท

ชื่อผูเขยี น ............................................... หลกั การท่วั ไปในการเขยี นจดหมาย

การเขยี นจดหมายควรคํานงึ ถึงสงิ่ ตอไปนี้

1. การใชถอยคาํ จดหมายทด่ี ี ตองใชถอยคาํ ในการเขยี นใหถกู ตองเหมาะสมกบั ประเภท

ของจดหมายและผูรับจดหมายด จดหมายสวนตัว

การเขียนจดหมายสวนตวั ไมมขี อกําหนดเกีย่ วกับการใชคําข้ึนตนและ

คาํ ลงทายทตี่ ายตวั เพียงแตเลอื กใชใหเหมาะสมเทานนั้ คาํ ขน้ึ ตนและลงทายสําหรับบคุ คลทว่ั ไป

มีแนวทางการเขยี นสาํ หรับเปนตวั อยางใหเลือกใช ดงั นี้

บุคคลท่ตี ิดต คาํ ขึ้นต คําลงท

ห น้ า | 77

ญาติผูใหญ เชน พอ แม กราบเทา............................ กราบเทาดวยความเคารพ ปู ท่ีเคารพอยางสงู อยางสงู

ตา ยาย หรอื กราบมาด เคารพรกอั ยางยง่ิ

ญาตลิ ําดบั รองลงมา เชน กราบ....................ท่ีเคารพ กราบมาดวยความเคารพ

ลุง ป หรอื กราบ......................... ดวยความเคารพ

ท่เี คารพอยางสงู ดวยความเคารพอยางสงู

พีห่ รือญาตชิ ัน้ พ พ่ี......................ท่ีรกั ดวยความรัก รกั หรอื คิดถึง ถึง....................ที่รัก หรอื หรอื รักและคดิ ถึง ครู อาจารยหรือ ....................เพอื่ นรกั หรือ ผูบงั คบับญัชาระดับสูง ........................นองรัก

กราบเรียน...........ที่เคารพ ดวยความเคารพอยางสงู อยางสงู

ผูบังคบับญัชาระดับใกลตวั เรยี น................ท่เี คารพ ผูเขียน

2. มารยาทในการเขียนจดหมาย

2.1 เลอื กกระดาษ ซอง ทสี่ ะอาดเรยี บรอย หากเปนไปไดควรใชกระดาษที่ทาํ ข้นึ เพอ่ื การเขียนจดหมายโดยตรง แตถาหาไมไดก็ควรใชกระดาษท่ีมสี ิสีภาพ กระดาษท่ีใชเขยี นควรเปน กระดาษเตม็ แผน ไมฉีกขาด ไมยยู ่ยี บั เยนิ ไม

2.2 ซองจดหมายท่ดี ีทสี่ ดุ คือซองท่ีการสือ่ สารแหงประเทศไทยจดั ทาํ ขึ้น เพราะมีขนาด

และคุณภาพไดมาตรฐาน ซองประเภทน้ีมีจําหนายตามที่ทําการไปรษณียโทรเลขทุกแหง ถาหาซอง

จดหมายของการสื่อสารแหงประเทศไทยไมได กอ็ าจเลือกซื้อซองท่เี อกชนทําข้ึนจาํ หนาย

ซง่ึ ถาเปนใน กรณีหลงั นีค้ วรเลอื กซองท่ีมสี สี ภุ าพ ไมควรมีลวดลาย

2.3 ไมควรใชซองทมี่ ีตราครุฑสงจดหมายทมี่ ใิ ชหนังสือราชการ

78 | ห น้ า

2.4 ไมควรใชซองิทม่ ีขอบซองเปนลายขาวแดงิน้าเงนิ สลบั กัน ซึ่งเปนซองสาํ หรบั สง จดหมายไปรษณียอากาศไปยังต

2.5 เขยี นหนงั สอื ใหชดั เจน อานงาย การเขยี นตวั อักษรค ชองไฟคอนขาง หางจะชวยใหจดหมายนน้ั อ

2.6 ไมควรเขยี นดวยดินสอดาํ ดินสอสตี าง ๆ หรอื หมึกสแี ดง เพราะถือวาไมสุภาพ สที เ่ี หมาะสมคือ หมึกสิีนา้ เงนิ และสดี าํ

2.7 จะตองศกึ ษาใหถูกตองถองแทกอนวา ผูท่ีเราจะเขียนจดหมายไปถึงน้ันเป

มีตาํ แหนงหนาที่อะไร การเขียนขอความในจดหมายก็ดี การจาหนาซองกด็ ี จะตองระบตุ าํ แหนง

หนาท่ีชนั้ ยศของผูนน้ั ใหถูกตองและตองสะกดชอ่ื นามสกุล ยศ ตาํ แหนงของผูน้ันใหถกู ต

2.8 เมือ่ เขียนจดหมายเสร็จแลว ตองพบั ใหเรียบรอยแลวบรรจุซอง จ าซองใหถกู ตอง ครบถวน ปดดวงตราไปรษณยี ากรใหครบถวนตามราคาและถูกตําแหนง กอนทีจ่ ะนาํ ไปส

2.9 เขยี นจ

2.9.1 เขยี นชื่อ นามสกลขุ องผูรบัใหถูกตอง ชดั เจน อานงาย

ถาผูรบัเปนแพทย เปนอาจารย หรือตํารวจ ทหาร

หรอื คํานาํ หนานามแสดงเกียรติยศหรือฐานันดรศักด์ิ เชน บ.จ. ม.ร.ว. ม.ล.

กใ็ ชถอยคําพิเศษเหลานัน้ นําหนาชอ่ื คํานาํ หนาชือ่ ควรเขียนเต็ม

ไมควรใชคาํ ยอ ถาทราบ ตาํ แหนงกร็ะบตุ ําแหนง

ในกรณีทีไ่ มทราบรายละเอียดดงั กลาว ควรใชคําวา คุณ นาํ หนาช่ือผูรับในการจ ดหมายนน้ั

2.9.2 ระบุสถานท่ีของผูรับใหถกู ตอง

ชดั เจนและมีรายละเอยี ดพอที่บรุ ุษไปรษณีย

จะนําจดหมายไปสงไดไมผิดพลาด ระบุเลขทีบ่ าน หางรานหรอื สํานักงาน

ซอย ตรอก ถนน หมูบาน ตําบล อําเภอ ในกรณีตางจงั หวัด หรอื แขวง เขต

ในกรณีกรุงเทพมหานคร ทีส่ ําคัญคือจะต ระบุ

รหัสไปรษณยี ใหถูกตองทุกครั้ง จดหมายจะถึงผูรบั เรว็ ข้นึ

หมายเหตุ การสอ่ื สารแหงประเทศไทยไดจดั ทาํ เอกสารแสดงรหัสไปรษณยี ของอาํ เภอ และจงั หวัดตาง ๆ สาํ หรบั แจกจายใหประชาชน ทานจะตดิ ตอขอรบั ไดจากทที่ ําการไปรษณยี โทรเลข ทุกแห

2.9.3 าซอง การสือ่ สารแหงประเทศไทย

แนะนาํ ใหเขยี นนามและท่ีอยู

พรอมดวยรหัสไปรษณียของผูสงไวที่มมุ บนดานซายมือของซองและเขียนชอ่ื ผู

รบั พรอมท่อี ยูและ รหสั ไปรษณียใหไวตรงกลาง ดังตัวอย

ตวั อยางการเขยี นจ

ห น้ า | 79

(ชอื่ ท่ีอยูผู ทผี่ นึก

นายวศิ ษิ ฎ ดรณุ วัด ตราไปรษณยี ากร

708/126 ถนนจรสั เมือง

แขวงรองเมือง เขตปทุมวนั กรงุ เทพฯ

1 03 3 0

(ช่อื และทอี่ ยูของผูรบั ) ตําบลตลาด นายสญั ญา ทองสะพัก 364 ก 1 หมู ถนนรมิ คลองรัดหลวง อาํ เภอพระประแดง จงั หวดั สมุทรปราการ

รหสั ไปรษณยี

10 13 0

หมายเหตุ การสอื่ สารแหงประเทศไทยมีบริการพเิ ศษตางๆ ท่ีจะชวยปองกนั มิใหจดหมาย

สญู หายหรือชวยใหจดหมายถึงมือผูรับไดรวดเรว็ ทันเวลา เชน บริการ EMS เปนตน ผสู นใจจะใช บริการตาง ๆ

ดงั กลาว จะตองไปติดตอิท่ที่ทิาการไปรษณยี กรอกแบบ

รายการบางอยางการเขียนขอความในทาํ นองทีว่ า “ขอใหสงดวน” ลงบนซองจดหมายไมทําให

จดหมายถงึ เร็วข้ึนแต

ประเภทของจดหมาย จดหมายแบงออกเปน 4 ประเภท คอื จดหมายสวนตัว จดหมาย กิจธุระ จดหมายธุรกจิ

และจดหมายราชการหรอื หนังสือราชการ

1. จดหมายสวนตัว คอื จดหมายที่บุคคลซ่ึงรูจักคยุ เคยกันติดตอกันดวยวัตถุประสงค

ทเี่ ปนการสวนตวั เชน เพ่ือสงขาวคราว ถามทกุ ขสุข เลาเร่อื งราว ฯลฯ เปนการติดตออยางไมเปน

ทางการ เชน จดหมายเลาเรื่องราวทกุ ขสขุ จดหมายแสดงความรูสกึ ยินดี เสียใจ ขอบคุณหรือขอโทษ ในกรณีต

การเขยี นจดหมายสวนตัวแมจะยินยอมใหใชถอยคาํ ท่ีแสดงความสนิทสนมเปนกันเองได

แตกค็ วรระมดั ระวงั อยาใหผูอานเขาใจผิด และควรแสดงความสาํ ราญมากกวาการพดู กันโดยปกติ

จดหมายสวนตวั ทมี่ ีเนื้อหาเปนการขอบคุณ หรอื แสดงความยนิ ดีอาจเขยี นลงในบตั รทอ่ีอกแบบ

ไวอยางสวยงาม แทนการเขียนในกระดาษก็ได

การเขยี นจดหมายสวนตวั นิยมใหเขยี นดวยลายมอื ที่อานงาย แสดงความต้ังใจเขยี นไมนยิ มใช

การพมิ พดีดจดหมายหรอื จาหนาซองจดหมายสวนตัว

ตัวอยางจดหมายสวนตวั

80 | ห น้ า

บริษัทเกษตร จาํ กัด 4/21 สขุ มุ วทิ กรงุ เทพมหานคร 10110

12 เมษายน 2538

กราบเทา คุณพอคุณแมทเี่ คารพอยางสงู ผมไดมารายงานตวั เขาทํางานที่บริษัทน้เี รียบรอยแลวต้ังแตวันที่ 10 บรษิ ทั น้ีมี

สาํ นกั งานใหญอยูตามทีอ่ ยูขางบนนี้ แตมีเรือนเพาะชําและสวนกลาไมขนาดใหญมากอยูท่ีเขตมีนบุรี

ทุกเชาพนกั งานทุกคนจะตองมาลงเวลาปฏบิ ตั งิ านและรบั ทราบคาํ ส่ัง หรอื รบั มอบหมายงาน จากนน้ั

จึงแยกยายกนั ไปปฏบิ ตั งิ าน ผมไดรับมอบหมายใหดูแลสวนกลาไมที่เขตมีนบรุ ี ผมรบั ผดิ ชอบพื้นท่ีเขต 9

ซง่ึ เปนเขต เพาะเลีย้ งดูแลกลาไมไผ มคี นงานชวยผมทํางาน 3 คน ทกุคนเปนคนดแี ละขยัน

งานท่ที ําจึงเปนไป ดวยดี

ผมสขุ สบายดี เพราะที่พักซึง่ อยูชัน้ บนของสํานักงานบริษัทซ่งึ บริษทั จัดให

มีความสะอาดดีและกวางขวางพอสมควร ทง้ั อยูไมไกลยานขายอาหาร ผมจึงหาซ้ืออาหารมา รับประทานไดสะดวก

นับไดวาผมไดทาํ งานท่ดี ี และมที พี่ ักทสี่ ะดวกสบายทุกประการ

หวงั วา คณุ พอคณุ แมและนองท้ังสองคงสบายดเี ชนกัน ผมจะกลบั มาเย่ยี มบานถามี วันหยดุ ตดิ ตอกนั หลายวนั และจะเขยี นจดหมายมาอีกในไมชาน้ี

ดวยความเคารพอยางสงู

เสมา ธรรมจกั รทอง

2. จดหมายกิจธุระ คอื จดหมายตดิ ตอระหวางบุคคลกับบุคคลหรอื บุคคลกบั หนวยงาน

ดวยเรื่องที่มิใชเรื่องสวนตวั แตเปนเรื่องที่เกย่ี วกบั งาน เชน การสมัครงาน การตดิ ตอสอบถาม

การขอความรวมมอื ฯลฯ ภาษาทใี่ ชจงึ ตองสภุ าพและกลาวถึงแตธุระเทาน้ัน ไมมขี อความทแ่ี สดง

ความสัมพนั ธเปนการสวนตวั ตอกัน ตวั อยางจดหมายกิจธรุ ะ

โรงเรยี นลําปางกลัยาณ ี ถนนพหลโยธนิ อ.เมอื ง จ.ลําปาง 52000

24 กันยายน 2528

เรยี น ผูจดั การวสั ดุการศึกษา 1979 จํากัด ดวยทางโรงเรียนลาํ ปางกัลยาณี มีความประสงคจะซื้อสไลดประกอบการสอนวชิ า ภาษาไทยระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน ตามรายการตอไปน้ี

ห น้ า | 81

1. ชุดความสนกุ ในวดั เบญจมบพิตร จํานวน 1 ชดุ

2. รามเกยี รต์ิตอนศกึ ไมยราพ จาํ นวน 1 ชดุ

3. แมศรีเรือน จาํ นวน 1 ชุด

4. ขอคดิ จากการบวช จาํ นวน 1 ชดุ

5. หนงั ตะลุง จํานวน 1 ชุด

ตามรายการที่สั่งซื้อมาขางตน ดิฉันใครขอทราบวา รวมเปนเงินเทาไร จะลดไดก่ีเปอรเซ็นต

และถาตกลงซ้ือจะจดั สงทางไปรษณยี ไดหรือไม

หวังวาทานคงจะแจงเกี่ยวกบั รายละเอียดใหทราบโดยดวน จงึ ขอขอบคุณมาในโอกาสนี้

ขอแสดงความนับถือ สมใจ

หย่งิ ศักด์ิ (น.ส.สมใจ หยง่ิ ศกั ดิ)์

ผูชวยพสั ดุหมวดวิชาภาษาไทย

3. จดหมายธุรกจิ คือจดหมายติดตอในเร่ืองทีเ่ ก่ยี วกับธรุ กิจ เชน การเสนอขายสนิ คา การขอทราบรายละเอยี ดเพิม่ เตมิ เกี่ยวกบั สนิ คาหรือบริการ การสง่ั ซอื้ สนิ คา การตดิ ตามทวงหนี้ ฯลฯ

จดหมายกจิ ธรุ ะและจดหมายธรุ กจิ มลี กั ษณะการตดิ ตอท่ีเป สวนตัว จึงตองใชคําสภุ าพ งาย และมีเน้ือความกะทดั รัด เขาใจไดตรงกันทงั้ ผูเขยี นและผูอาน ในการใชภาษาเขยี นใหถูกกบั ระดบั ของจดหมาย โดยทัว่ ไปแลวถาเขียนจดหมายสวนตัวถึงบุคคลที่ สนทิ สนมกัน

ก็จะใชคําระดับที่ไมเปนทางการ แตถาเขียนจดหมายธรุ กจิ ตางๆ กใ็ ชคาํ ระดบั ท่ีเปน ทางการ ตวั อยาง

เปรียบเทียบคําเดิมที่เปนทางการกบั คําระดับทไ่ี ม

ที่เป ท่ีไม (สําหรบั เขียนจดหมายธุรกจิ และหนงั สอื ราชการ) (สําหรับเขียนจดหมายสวนตัวถงึ ผูท่คี ุ

82 | ห น้ า

1. เขาขับข่ีรถจักรยานยนต 1. เขาข่รี ถเครื่องไปดูหนงั

2. บิดามารดาตองการใหขาพเจามีอาชพี เปนแพทย 2. พอแมอยากใหฉันเปนหมอ

แตขาพเจาตองการเปนครชู นบท แตฉันอยากเปน ครูบ

3. หนงั สือเลมนีค้ งขายไดหมดในเวลาอันรวดเรว็ 3. หนงั สอื เลมนี้มหีวังขายไดเกลี้ยงเพราะรวม เพราะรวบรวมวาทะสําคัญๆ ของผูมชี ่ือเสียงไว คาํ ดงั ของคนดงั ไว หลายคน

ตัวอยางจดหมายธรุ กจิ

รานบรรณพภิ พ

42-44 ถนนบญุ วาทย อ.เมือง จ.ลาํ ปาง 5200 โทร. 054 218888

3 สงิ หาคม 2528

เรื่อง สงกระดาษอดั สําเนา

เรยี น หัวหนาฝายพสั ดุสํานักงานิน้าคางและเพ่ือน ตามทส่ี ่ังกระดาษอดั สําเนายี่หอไดโต

จาํ นวน 50 รมี น้นั ทางรานไดจัดสงมาเรียบรอยแลว พรอมทง้ั ได

หากทางสาํ นกั งานของทานไดรบั ส่งิ ของดังกลาวครบถวนแลว กรณุ าตอบใหทางรานทราบ ดวยจะเปนพระคณุ อยางสงู

ห น้ า | 83

ขอแสดงความนับถือ (นายธาดา บรรณพิภพ) ธาดา บรรณพิภพ ผูจัดการ

ตวั อย จาหนาซองจดหมายธรุ กจิ

รานบรรณพิภพ

42-44 ถนนบุญวาทย

อ.เมือง จ.ลาํ ปาง 52000

โทร. 054 218888

เรยี น หัวหนาฝายพัสดุ สํานักงานิน้าคางและเพ่ือน

สาํ นักงานิน้าคางและเพ่ือน

ถนนเจริญประเทศ จงั หวัดลาํ ปาง

52000

2. จดหมายราชการหรอื หนังสือราชการ คือสวนทถ่ี ือเปนหลักฐานในราชการ ไดแกหนังสือ ทม่ี ิที ่ไปทิม่ าระหวางสวนราชการ หรือหนงั สอื ิทส่ วนราชการมไี ปถงึ หนวยงานิอน่ ซง่ึ มิใชสวนราชการ หรอื มีไปถึงบุคคลภายนอก หรอืหนงสั ือทห่ี นวยงานอื่นซึง่ มิใชสวนราชการ หรือบคุ คลภายนอก เขียนมาถึ

จดหมายราชการ ตองใชถอยคําและรปู แบบการเขยี นใหถูกตองตามระเบยี บที่ทางราชการ กาํ หนดไว ระเบยี บดังกลาวเรียกวา ระเบียบงานสารบรรณ รปู แบบหนงั สอื ราชการจึงมีรปู แบบเฉพาะ ดังน้ี

1. ตองใชกระดาษของทางราชการ เปนกระดาษตราครุฑสีขาว

2. บอกลําดบั ทกี่ ารออกหนังสือของหนวยงานนน้ั โดยใหลงรหสั พยัญชนะและเลขประจําตวั

ของเจาของเรอ่ื งทับเลขทะเบียนหนงั สือสง เชน นร 0110/531 รหัสพยัญชนะ นร คอื สํานัก นายกรฐั มนตรี 0110

คอื เลขประจําของเจาของเร่ือง 531 คอื ทะเบียนหนงั สือที่ส

3. สวนราชการของหนงั สือ ใหลงช่ือสวนราชการ สถานที่ราชการ หรือคณะกรรมการซ่ึงเป

เจาของหนังสือนนั้ และลงสถานท่ตี ัง้ ไว

4. วนั เดือน ป ใหลงตวั เลขบอกวนั ที่ ชือ่ เตม็ ของเดือนและตัวเลขของปพุทธศักราช ทีอ่ อกหนงั สอื

5. เรอ่ื ง ใหลงเรอื่ งยอท่ีเปนใจความสั้นท่ีสุดของหนังสอื นั้น

84 | ห น้ า

6. คําข้นึ ตน ใหใชคาํ ขนึ้ ตนตามฐานะของผูรับหนังสือ ตามดวยตําแหนงของผูทหี่ นงั สอื นั้นมิถงี 7. อางถงึ (ถาม)ี

ใหอางถงึ หนงั สือทิเคยมีตดิ ตอกันเฉพาะหนงสั ือทส่ีวนราชการผูรบัหนงัสอื นน้ั ไดรบั มากอนแลว

โดยใหลงชื่อส หนงั สอื เลขท่ีออกหนังสอื วนั ท่ี เดอื น ปพทุ ธศักราช ของหนังสือ

8. ส่ิงทส่ี งมาดวย (ถามี) ใหลงชือ่ ส่ิงของหรือเอกสารทส่ีงไปพรอมกบั หนังสือน้นั ถาไมสงไปใน ซองเดยี วกันให

9. ขอความ ใหลงสาระสาํ คญั ของเรอื่ งใหชัดเจนและเข ากมีความประสงค

10. คาํ ลงทาย ใหใชคําลงทายตามฐานะของผูรับหนงั สอื

11. ลงช่ือ ใหลงลายมือเจาของหนังสอื และใหพิมพชื่อเต็มของเจาของลายมือไวใตลายมือช่อื 12. ตําแหนง

ใหลงตาํ แหนงเจาของหนังสือ เชน อธิบดี ผวู าราชการจังหวัด ผบู ัญชาการกองพล ฯลฯ

13. สวนราชการเจาของเรื่อง ใหลงชือ่ สวนราชการเจาของเรื่องหรอื หนวยงานที่ออกหนงั สอื

พิมพไวมุมลางซายแนวเดียวกับตาํ แหนงผูออกหนังสือหรอื ิต่ากว

14. โทร. ใหลงหมายเลขโทรศัพทของหนวยงานเจาของเรอื่ ง

ตัวอย

ตราครุฑ 2 ท่ี............. 3 ชือ่ สวนราชการเจาของหนังสอื 4 วัน.......เดอื น...................พ.ศ............. 5 เร่ือง................................. 6 เรียน หรอื กราบเรยี น....................... 7 อางถึง..................................... (ถาม)ี 8 สิ่งทสี่ งมาดวย......................... (ถามี)

9

............................................................................................................................. ....................................... .......................................................................................................................................................... .......... ....................................................................................................................

สรปุ ............................................................................................................................. ....................................... .................................................................................... ................................................................................ ............................................................................................................................. ....................................... ....................................................................................................

ห น้ า | 85

10 คําลงทาย............................................................ 11 ลายเซ็นต. ชื่อตัวบรรจง...............................................

12 ตาํ แหน

13 สวนราชการเจาของเรื่อง........................................ 14 โทรศพั ท (ถามี) .......................................................

ตวั อยางรปแู บบจดหมายราชการ

23 1 ศูนยเทคโนโลยีทางการศึกษา ท่ี ศธ 0210.06/4 กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน 4 ถนนศรอี ยธุ ยา กทม. 10400 11 มกราคม 2554

5 เรื่อง ขอเชิญเปนวทิ ยากร

6

เรียน คณบดคี ณะศกึ ษาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร วิทยาเขตกําแพงแสน

7

89

ดวยศูนยเทคโนโลยที างการศึกษา สํานักงาน กศน. กําลังดาํ เนนิ การจดั และผลติ รายการ

โทรทศั นเสริมหลักสตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 วชิ า วิทยาศาสตร ระดบั มัธยมศึกษาตอนตนเพื่อออกอากาศทางสถานีวิทยโุ ทรทัศนเพื่อการศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ าร (ETV) ศนู ยเทคโนโลยทาี งการศึกษาจงขึ อเรียนเชิญ อาจารยประสงค ตันพิชยั อาจารยประจําภาควชิ า อาชีวศึกษา

คณะศกึ ษาศาสตร ซง่ึ เปนผมคีู วามรูและประสบการณ เรอื่ งเทคโนโลยีในการขยายพันธุพชื เปนวิทยากร

บรรยายเร่ืองดงั กลาว โดยจะบนั ทึกเทปในวันอังคาร ท่ี 31 มกราคม 2554 เวลา 10.00-11.00 น.

จึงเรียนมาเพ่ือขอความอนุเคราะห และขอขอบคณุ เปนอยางสงู มา ณ โอกาสน้ี

10

86 | ห น้ า

ขอแสดงความนบั ถือ 11 รัชดา คลีส่ นุ ทร

(นางรัชดา คล่ีสุนทร) 12 ผูอํานวยการศนู ยเทคโนโลยีทางการศึกษา

13 ฝายรายการโทรทศั นเพอ่ื การศกึ ษาตามหลักสตู ร 14 โทร. 02-3545730-40

การเขียนข

การเขยี นขาว ประกาศและแจงความ เปนสวนหน่งึ ของจดหมายราชการ หรือหนังสือราชการ

ซ่งึ กค็ ือหนังสอื ทใี่ ชตดิ ตอกันระหวางเจาหนาท่ีของรัฐกับบุคคลภายนอกดวยเรื่องเก่ียวกบั ราชการ

จดหมายราชการแบงไดเปน 5 ประเภท คือ

1. หนงั สือภายนอก

2. หนงั สือภายใน

3. หนังสอื ประทับตราแทนการลงช่ือ

4. หนงั สอื ส่งั การและโฆษณา

5. หนังสือท่ีเจาหนาที่ทาํ ขน้ึ หรือรับไวเปนหลกั ฐานในราชการ การเขียนขาว ประกาศและแจงความ

จดั อยใู นจดหมายราชการประเภทที่ 4 คือหนังสอื สั่งการ และโฆษณา ซึ่งแบงเปน 9 ประเภท คือ ขอบังคบั ระเบียบ คําส่งั

คําแนะนํา คาํ ช้ีแจง ประกาศ แจงความ แถลงการณและขาว ในท่ีนจี้ ะกลาวถึงการเขยี นข

การเขยี นข

คือบรรดาขอความทีท่ างราชการเหน็ สมควรเปดเผย เพ่ือแจงเหตุการณท่ีควรสนใจให

แบบการเขยี นข

..............ชอ่ื สวนราชการที่ออกขาว.................................................. เร่อื ง ..................................................................................................................................................... ขอความที่

……………………………………………………………………….…………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………….……… สวนราชการเจาหนาที่ วัน เดอื น ป

ห น้ า | 87

การเขยี นประกาศ

คือบรรดาขอความทีท่ างราชการประกาศใหทราบเพอ่ื ปฏิบตั ิ แบบประกาศ

ประกาศ.....................................ชื่อสวนราชการทอ่ี อกประกาศ .................................................. เรอ่ื ง

...........................................................................................................................................................

ประกาศและขอความที่สง่ั ใหปฏิบตั ิ ............................................................................................. …………........................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......................................

ประกาศ ณ วันที่................................................ ลงชอ่ื ....................................................

พิมพชื่อเต็ม (ตาํ แหน

การเขยี นแจ

คอื บรรดาขอความใดๆท่ีทางราชการแจ แจงความ..........................................ชื่อสวนราชการทีแ่ จงความ.............................................. เรือ่ ง ...................................................................................................................................................... ขอความที่ต

............................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................................................. ....................................... .................. แจงความ ณ วันท่ี.................................................... ลงชอ่ื ........................................................

พมิ พชื่อเตม็ (ตําแหน

มารยาทในการเขยี น

1. ความรับผดิ ชอบ ไมวาจะเกิดผลดหี รือผลเสีย รวมทั้งขอบกพรองตาง ๆ ถือเปนมารยาทท่ี สาํ คญั ทสี่ ดุ 2. การตรวจสอบความถกู ตองเพ่ือใหผูอานไดอานงานเขยี นทีถ่ ูกต 3. การอางองิ แหลงขอมลู เพ่ือใหเกียรตแิ กเจาของความคิดท่ีอางถงึ

88 | ห น้ า

4. ความเทยี่ งธรรม ตองคาํ นึงถึงเหตมุ ากกวาความรูสึกส 5. ความสะอาดเรียบรอย เขียนดวยลายมืออานงาย รวมทง้ั การเลือกใชกระดาษและสิีน้าหมึก ด

เรือ่ งท่ี 5 การสรางนสิ ยั รักการเขียนและการศึกษาค

การเขยี นหนังสือจรงิ ๆ เปนเรื่องท่ีไมยาก ถาไดเขียนบอย ๆ จะรูสกึ สนกุ แตคนสวนใหญมักมอง วาการเขยี นเปนเร่ืองยาก เปนเรอ่ื งของคนท่มี ีพรสวรรคเทาน้นั จึงจะเขียนได อันท่จี รงิ ถาหากผูเรียนรัก ทจ่ี ะเขยี นและเขียนใหไดดแี ลวไมตองพึง่ พาพรสวรรคใด ๆ ท้งั ส้ิน ในการเขียนพรแสวงตางหากท่จี ะเปน พลงั ผลกั ดันเบ้ืองตนทจี่ ะทาํ ใหผูสนใจการเขยี นหนงั สอื ไดดี พรแสวงในทน่ี ี้ก็คือการหม่ันแสวงหาความรู

ห น้ า | 89

น่ันเองประกอบกบัมใี จรกั และมองเหนป็ ระโยชนของการเขียน รวมทัง้ การฝกฝนการเขยี นบอย ๆ จะทาํ ใหความชาํ นาญเกิดข้ึ

หม่นั แสวงหาความรู

ในการเริ่มตนของการเขียนอะไรกต็ าม ผูเขียนจะเขียนไมออกถาไมตงั้ เปาหมายในการเขยี นไว

ลวงหนาวาจะเขยี นอะไร เขียนทาํ ไมเพราะการเขยี นเร่ือยเปอย ไมทําใหงานเขียนนาอานและทาํ ใหงาน

ชน้ิ น้ันไมมคี ุณคาท่ีควร งานเขียนที่มคี ณุ คาคืองานเขียนทเี่ ขียนอยางมีจดุ หมาย มขี อมูลท่ีนาเชอื่ ถือและ

อางอิงไดซ่ึงเกดิ จากการขยันหม่นั คนควาขอมูลโดยเฉพาะในยคุ ขอมลู ข

ดงั เชนในปจจุบนั การมีขอมลู ยอมทาํ ใหเปนผูท่ีไดเปรยี บผูอื่นเปนอนั มาก เพราะยุคปจจบุ ันเปนยุค

การแขงขนั กนั ในทกุทางโดยเฉพาะในทางเศรษฐกิจ ใครมขี อมลู มากจะเปนผูไดเปรียบคูแขงขนั อน่ื ๆ

เพราะการนาํ ขอมลู มาใชประโยชนไดเร็วกวาน่นั เอง การหม่ันแสวงหาความรูเพื่อสะสมขอมลู ตาง ๆ ใหตวั เองมาก

ๆ จงึ เปนความไดเปรียบ และควรกระทําใหเปนนสิ ัยติดตวั ไป เพราะการกระทําใด ๆ ถาทาํ บอย ๆ

ทาํ เปนประจําในวนั หนงึ่ ก็จะกลายเปนนิสัยและความเคยชินท่ตี องทําตอไป

การคนควารวบรวมขอมูลเปนกิจกรรมท่จี ะทําใหเกิดความสนกุ สนานทางวิชาการเพราะยิ่ง

คนควาก็จะยิ่งทาํ สงิ่ ทีน่ าสนใจมากข้ึนผูท่ฝี กตนใหเปนผู ครรูใครเรียน ชอบแสวงหาความรูจะมีความสุข

มากเมื่อไดศึกษาคนควาและไดพบสิ่งแปลก ๆ ใหม ๆ ในภาษาไทยหรือในความรูแขนงอน่ื ๆ บางคน

เมอ่ื คนควาแลวจะรวบรวมไวอยางเปนระบบ ซ่ึงจะใหประโยชนหลายประการดงั ตอไปนี้

1. เปนการสนองความอยากรูอยากเห็น ใครรูใครเรยี นของตนเอง กลาวคือการเรียน

ในช้ันเรียน ผูเรียนจะรับรูหรอื ทราบกฎเกณฑท่ีสาํ คัญและการยกตัวอยางเพยี งเล็กนอย ผูเรียนอาจไม

เขาใจแจมแจงชัดเจนพอ การศึกษาคนควาเพิม่ เติมจะทาํ ใหไดขอมลู ท่ีสนใจมากขึ้น ทําใหเกดิ ความ

เขาใจเนื้อหาทเี่ รียนไดแจมชัดขึ้น

2. เปนการสะสมความรูใหเพมิ่ พูนย่ิงขึ้น ในขณะทผ่ี ูเรียนอานหรอื ทาํ การบรรยายเพ่ือหา ความรูแมจะชัดเจนดแี ลว

แตเพื่อใหไดรบั ความรูกวางขวางขึ้นจงึ ศึกษาคนควาเพิ่มเตมิแลวเกบ็รวบรวม สะสมความรู

3. คนควารวบรวมเพ่ือใชอางอิงในการจดั ทาํ รายงานการคนควาทางวชิ าการ การอางอิงความรู ในรายงานทางวิชาการ

จะทําใหงานน้ันมคี ุณคาเชื่อถือยง่ิ ข้ึนเปนการแสดงความสามารถ ความรอบรู

และความอุตสาหะวิรยิ ะของผูจัดทํารายงานน้ัน การคนควาเพ่ือการอางอิงนี้ผูเรยี นจะคนควาจาก

แหลงวิชาการตาง ๆ ยิ่งคนกย็ ่ิงพบสรรพวิทยาการตางๆทําใหเกิดความสขุ สนุกสนานเพราะไดพบเนื้อหา ท่ีนาสนใจเพ่ิมขนึ้

4. ใชความรูทไ่ี ดคนควารวบรวมไวสาํ หรบั ประกอบในการพดู และเขียน การรวบรวมมี

ประโยชนเพอื่ ประกอบการพูดและการเขียนใหมินี ้าหนกั นาเช่อื ถอื ยิ่งขนึ้ เช เิมอ่ จะกลาวถึงการพูด

ก็อาจยกคาํ ประพนั ธที่แสดงแงคดิ เกีย่ วกบั การพูดขึน้ ประกอบด

ถงึ บางพดู พดู ดีเปนศรีศกั ดิ์ มคี นรักรสถอยอรอยจิต แมพูดช่วั ตัวตายทาํ ลายมิตร จะชอบผิดในมนุษยเพราะพดู จา จะไดยากโหยหิวเพราะชิวหา เปนมนษุ ยสุดนิยมทล่ี มปาก

90 | ห น้ า

แมพูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาจงพิเคราะห

อันออยตาลหวานลิน้ แลวสิน้ ซาก แตลมปากหวานหมู ริ ู

แมเจบ็ อนื่ หม่ืนแสนจะแคลนคลาย เจ็บจนตายนนั่ เพราะเหน็บใหเจบ็ ใจ

(สนุ ทรภู

5. เพือ่ ความจรรโลงใจของตนเอง การคนควาหาความรูและเกบ็ รวบรวมและสะสมไว นบั เปน

ความสุขและเปนการสรางความจรรโลงใจใหแกตนเองเปนอยางย่ิง เพราะผูเขียนบางคนเมื่อพบคําหรือ ขอความประจําใด

ๆ ก็มักจะจดบนั ทึกไว

ตวั อย อคดิ คําถามเก่ียวกับความรกั

ความรักเหมือนโรคา บนั ดาลตาใหมดื มน ไมยนิ และไม อปุ สรรคคะใดใด กําลงั คึกผิขังไว ความรักเหมือนโคถึก บยอมอยู ณ ที่ขัง

ตราบขนุ คีรขี (มัทนะพาธา) รกั บ จากโลก ไปฤา สุรยิ นั จนั ทร หอนรางอาลยั ไฟแลนลางสห่ี ล (นริ าศนรนิ ทร โอวาอนิจจาความรัก เพง่ิ ประจักษด่ังสายินา้ ไหล ตง้ั แตจะเช่ียวเปนเกลียวไป ท่ีไหนเลยจะไหลคืนมา

(อิเหนา)

รักชาติยอมสละแม ชีวี

รกั เกยี รตจิ งเจตนพลี ชีพได รักราชมุงภกั ดี

รองบาท

รกั ศาสนรานเศิกไส กอเกอ้ื พระศาสนา

(สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ)

มใี จรกั

การจะทิากจิ กรรมใด ๆ กต็ าม ถาจะใหไดผลดีจะตองมใี จรักในิส่งนั้น เรยี กวา มีความรัก

ความพอใจทีจ่ ะเขยี น หมั่นฝกฝนบอย ๆ มคี วามเขาใจทจ่ี ะเขยี นใหไดดี และเม่ือเขียนแลวก็กลับมา

ทบทวนพิจารณาถงึ คุณคาและประโยชนท่ีไดจากการเขียน และการจะเขยี นใหผูอ่ืนอานพจิ ารณาดวย

ห น้ า | 91

ใจเปนธรรมและดวยเหตดุ วยผล ทเี่ รียกวาตองมีอทิ ธบิ าท 4 อนั เปนธรรมะของผูรกั ความเจริญกาวหนา เปนเรอื่ งนาํ น้ันคือมีฉนั ทะ วิริยะ จิตตะ และวมิ ังสา

เหน็ ประโยชน

การท่ผี เู ขียนจะเขยี นหนังสือใหผูอ่นื อานและอานสนกุ หรืออ วามพอใจ ผูเขยี น

ตองตระหนกั รูในตนเองเสียกอนวาเปนผูมีความรูทางภาษาไทยเพยี งพอท่จี ะกอใหเกิดประโยชนแกตน ในดานตางๆ

เชน ชวยใหตดิ ตอสือ่ สารกับผูอ่ืนไดอยางมีประสิทธภิ าพ มีความเช่อื มน่ั ในตนเอง สามารถ

ใชความรูทมี่ เี พอ่ื ประโยชนแกผูอน่ื ได และมีความพรอมท่จี ะขยายความรูหรือขอมลู ทส่ี ะสมในตนเอง

ใหผอู ืน่ อานไดอันจะเปนชองทางของการแลกเปลี่ยนขาวสารขอมลู ระหวางกนั ซึ่งจะสงผลใหขอมูล

ขาวสารและความรูตาง ๆ ทมี่ ีขยายออกไปอยางกวางขวาง ทาํ ใหความรูท่ีมอี ยูในโลกไมสูญหายไปได าย ๆ

การกระทาํ ใด ๆ ก็ตาม ในทางจติ วทิ ยากลาววา ถาทําิซา้ ๆ ทําบอย ๆ การกระทาํ นัน้ ๆ

จะกลายเปนนิสยั การหมัน่ ฝกฝนการเขียน ไมวาจะเขียนอะไรกต็ าม ก็ตองหม่นั ฝกฝนใหเกดิ เปนนสิ ัย ข้นึ มาใหได อาจเรม่ิ จากการฝกฝนบันทกึ ขอความ หรือเรื่องราวที่ชื่นชอบหรอื ทเ่ี ปนความรู ฝกเขียน

บันทกึ ประจําวัน ฝกเขยี นเรยี งความจากเรื่องใกลตวั เรอื่ งทตี่ วั เรามีความรูมากท่ีสุด มขี อมูลมากที่สดุ

กอน แลวคอย ๆ เขียนเรื่องทีไ่ กลตวั ออกไป โดยเขยี นเรื่องท่ีอยากเขียนกอนแลวขยายออกไปสูเร่ืองที่ เปนวทิ ยาการความรูตาง ๆ เพื่อเปนการสรางความเชื่อม่นั ใหแกตนเองทีละนอย ถาปฏิบตั ไิ ดเชนน้จี ะทํา ใหผเู รียนเกดิ ความรักในการเขยี นและการคนควาขึน้ มาได

การเขยี นแสดงความคดิ เหน็

การเขยี นแสดงความคิดเห็น หมายถึง การเขียนทีป่ ระกอบดวยขอมลู อันเปนขอเท็จจรงิ กับ

การแสดงความคิดเห็นตอเรื่องใดเรือ่ งหน่ึง ความคดิ เห็นควรจะมีเหตุผล และเป

92 | ห น้ า

หลักการเขยี นแสดงความคิดเห็น

1. การเลือกเรอื่ ง ผูเขียนควรเลอื กเร่ืองที่เปนทส่ี นใจของสงั คมหรอื เปนเรอ่ื งทีท่ นั สมัย

อาจเก่ยี วกบเั หตกุ ารณทางการเมือง เศรษฐกจิ สังคม การศึกษา ศาสนา ศลิ ปะ วิทยาศาสตร หรือ

ขาวเหตกุ ารณประจาํ วนั ท้งั นี้ผิเขยี นควรมคี วามรูและความเขาใจเรื่องทีต่ นจะแสดงความคิดเห็น

เปนอยางด ี เพื่อจะแสดงความคิดเห็นไดอยางลกซึ ึ้ง

2. การใหขอเทจ็ จรงิ ขอมูลที่เลือกมาน้ันจะตองมีรายละเอียดตาง ๆ เชน ท่มี าของเร่อื ง

ความสําคัญและเหตกุ ารณ

3. แสดงความคิดเห็น ผูเขยี นอาจแสดงความคิดเหน็ ตอเร่ืองท่ีจะเขยี นได ลักษณะ คือ

3.1 การแสดงความคิดเห็นในลักษณะตงั้ ขอสังเกต

3.2 การแสดงความคิดเห็นเพอื่ สนับสนนุ ขอเท็จจรงิ

3.3 การแสดงความคิดเห็นเพื่อโตแยงขอเท็จจรงิ

3.4 การแสดงความคดิ เหน็ เพื่อประเมินค

4. การเรียบเรียง

4.1 การตง้ั ช่ือ ควรตัง้ ช่ือเร่ืองใหเราความสนใจผูอาน และสอดคลองกบั เนื้อหาทจ่ี ะเขียน

4.2 การเปดเรื่อง ควรเปดเรื่องใหนาสนใจชวนใหผูอานตดิ ตามเรอื่ งต 4.3

การลาํ ดับเรอ่ื ง ควรลําดบั ใหมีความตอเน่ืองสอดคลองกันตั้งแตตนจนจบ ไมเขียนวกไปวนมา

4.4 การปดเร่ือง ใชหลกั การเดยี วกบั การเขยี นสรปุ และควรปดเรือ่ งใหผูอานประทับใจ

5. การใชภาษา ควรใชภาษาอยางสละสลวย ชัดเจน ไมเยิ่นเยอ ใชสิานวนโวหาร

อยางเหมาะสมกบั เรอื่ ง ใชถอยคําทิีส่ อ่ สารความหมายไดตรงตามอารมณ และความรูสึกของผูเขยี น ทัง้ นพี้ งึ หลกีเล่ยี งการใชถอยคําท่แี สดงอารมณรุนแรง และควรใชถอยคาํ ในเชิ

การเขียนโต

การเขียนโตแยง เปนการเขียนแสดงความคดิ เห็นลักษณะหนงึ่ โดยมุงท่จี ะโตแยงขอเท็จจรงิ

หรอื เหตกุ ารณทเี่ กิดข้นึ ตลอดจนโตแยงความคดิ ของผูอืน่ ดวยความคิดเหน็ ในการสร

วิธีการเขยี นโตแยง ตองต้ังประเดน็ วาจะโตแยงในเร่อื งใดก็ชใี้ หเห็นจดุ ดอยของเร่ืองท่จี ะ โตแยงนั้น

พรอมท้งั หาเหตผุ ลมาสนับสนุนความคดิ ของตนแลวเรยี บเรยี งใหเปนภาษาของตนท่เี ขาใจงาย และใชคําที่มพี ลงัในการกระตุนใหเกิดความคิดเห็นคลอ

ขอควรระวงั ในการเขียนโต ขียนใหเกดิ ความแตกแยก ควรใชเหตุผล และควรเขียน เชิงสร

มารยาทในการเขยี นโตแยง ตองจรงิ ใจ ใชภาษาสภุ าพ

การเขียนคําขวญั

ห น้ า | 93

คาํ ขวญั คือ ขอความสัน้ ๆ เขยี นดวยถอยคาํ ทเี่ ลือกสรรเปนพเิ ศษเพื่อใหประทบั ใจผูฟง จูงใจ ใหคิดหรอื ปฏบิ ตั ิ เช

คาํ ขวญั วันเด็ก พ.ศ. 2554

รอบคอบ รูคิด มจี ิตสาธารณะ

คาํ ขวัญวนั ครู

ยกยองพระคณุ คร ู เชิดชูความเป คําขวญั ของการสื่อสารแห

จาหนาถวนถ่ี ไปรษณียหางาย จดหมายถึงเร็ว คาํ ขวญั โรงพยาบาลสมุทรสาคร

บริการดุจญาติมิตร ทุกชีวติ มีคณุ ค

ประโยชนของคําขวญั คือใชเปนเครอ่ื งเตือนใจใหปฏบิ ัติตาม องคประกอบของคาํ ขวัญ มี 3

สวน คอื

1. ความมงุ หมายหรือแนวคิด

2. ขอความหรอื เนื้อหา 3. ศลิ ปะแหงการใชถอยคํา องคประกอบทง้ั 3 สวนน้ี

จะประสมกลมกลนื กนั ในตวั คําขวญั นนั้ อย ลกั ษณะของคําขวัญท่ีดี

มดี ังตอไปน้ี

1. มเี จตนาท่ีดตี อผูฟง ผูปฏิบัติ หรือผลประโยชนของสวนรวม เชน คําขวัญ เชญิ ชวน งดการสูบบุหรี่

คําขวญั เชญิ ชวนใหประหยัดิน้า ประหยัดไฟ ฯลฯ

2. มีเปาหมายชดั เจนเพยี งเปาหมายเดียว เชน เพือ่ ใหเคารพกฎจราจรเพ่ือใหชวยรกั ษา

ความสะอาดของถนน ฯลฯ

3. มีเน้อื หาครอบคลุมเป

94 | ห น้ า

4. ไพเราะ สัมผัสคลองจอง มพี ลงั โนมนาวใจผูฟงใหจําและปฏิบัติตาม ขน้ั ตอนในการเขียนคาํ ขวญั

คําขวัญที่ดตี ส้นั ๆ ไพเราะ มพี ลงั ในการโนมนาว

ใจผูฟงหรืออานเขียนครอบคลุมเปาหมายท่ีกาํ หนดไวอยางชัดเจน มขี ั้นตอนดงั น้ี ขั้นเตรียม

1. กําหนดจดุ มงุ หมายใหชัดเจนวาจะใหผูฟงคิดหรือปฏบิ ัตเิ ร่ืองอะไร อย

2. กาํ หนดกลมุ ผูใชคําขวัญวาเปนคนกลมุ ใด เชน คาํ ขวญั สาํ หรบั เด็ก ตองเขยี นใหเขาใจงาย

กวาคําขวญั สาํ หรับผู

3. ศึกษาหาความรูเก่ียวกบั เรอ่ื งท่ีจะเขยี นคําขวญั

ขัน้ ลงมือเขยี น

1. เรียบเรยี งขอความที่จะเปนรอยแกว ใหมีเนอ้ื หาครอบคลมุ เปาหมายทกี่ ําหนดไว

2. เรยี บเรียงขอความในขอ 1 ใหเปนขอความท่มี สี ัมผสั และมถี อยคําท่ีมพี ลงั โนมนาวใจ

โดยลองเขียนดหู ลาย ๆ ขอความ แลวพจิ ารณาตัดขอความที่ไมเหมาะสมออกไป จนเหลอื ขอความท่ี

พอใจประมาณ 3-

3. เลอื กขอความท่ดี ที ี่สดุ เอาไว ขน้ั ตรวจทาน นําคาํ ขวญั ที่ไดมา

พิจารณาตรวจทานการใชคําทถี่ ูกตองตามความหมายและ ความนยิ ม และการเขยี นสะกดการนั ต

การเขยี นคําโฆษณา

การเขียนคําโฆษณา เปนการใชภาษาเพอ่ื ทิาใหผูอานเกิดความสนใจิสง่ ที่ผูเขียนนาํ เสนอ

การเขยี นโฆษณามีกลวิธตี าง ๆ ทค่ี วรศึกษาเพ่ือพฒนั าทักษะการคดิ และการเขียน เปนการเขียนทใ่ี ชใน

วงการธรุ กจิ การคา การใชถอยคํามลี ักษณะดงึ ดูดความสนใจจากผูบริโภค เพื่อใหจดจาํ สินคาไดงาย

ซงึ่ จาํ เปนกับกจิการในการขยายตวั ทางการคาของธรุ กิจบริษทนั น้ั ๆ จดุ ประสงคของการเขยี นคําโฆษณา

1. เพอื่ ใหผบู ริโภครูจกสั นิคาหรือบริการของบรษิ ัทและสนใจอยากซื้อมาใชหรืออยากใชบริการ 2.

เพ่อื เตือนใจผูบรโิ ภคใหจดจําสินคาไดแมนยาํ ทาํ ใหยอดขายสนิ คาชนดิ น้ัน ๆ อยูตวั หรอื

เอาชนะคู

กลวธิ ใี นการเขียนคาํ โฆษณา

1. การเนนความสาํ คัญเฉพาะบุคล เชน “เอกลกั ษณสาํ หรบั บุรุษ” “ิน้าหอมประจํากาย

สําหรบั ผูมรสี นยิ ม” การเขยี นโฆษณาวธิ ีน้เี ปนการสรางความรูสกใึ หผูบริโภคอยากเปนบคุ คลเดนทิม่ี

ความสาํ คัญ

2. การสรางความเปนพวกเดยี วกนั การเขยี นโฆษณาวธิ นี ีน้ ิยมใชคาํ วา “เรา” เพอ่ื สราง

ความรูสกึ วาเปนพวกเดียวกัน เชน “เราหวงใยดวงใจดวงนอยของทาน” “เราสามารถชวยทานได”

3 . การสรางความกลวั การเขยี นโฆษณาวธิ นี ้ีใชไดผลกบั ผูบรโิ ภคทไี่ มมีความมั่นใจตนเองและ

ห น้ า | 95

หวนั่ เกรงเหตกุ ารณในอนาคต เชน “ระวัง ยาลดความอวนทที่ านใชอยู คณุ กําลงั ตกอยูใน

อนั ตราย” “บุตรหลานของทานอยทาู มกลางพิษภยั ของโรคไขหวัดนก”

4. การเนนความเปนชาตินยิ ม การเขียนโฆษณาวธิ นี ีเ้ ปนการสรางความริสกู รกั ชาติใหเกิดขึ้น

ในสํานึกผูบรโิ ภค เชน “ไทยทํา ไทยใช ไทยเจรญิ ” “ใชสินคาไทย เงนิ ตราไมรั่วไหล

5. การใชอทิ ธิพลของกลุม การโฆษณาวิธีนใ้ี ชหลกั ธรรมชาตขิ องมนุษย ซง่ึ นิยมทําตามอยาง

กันมาเปนจุดโฆษณา เชน “ใคร ๆ กน็ ิยมใช ” “ทุกสังคมตางช่ืนชอบ....” “นางงาม 9 ใน 10 คน

6. การปดบงั บางสวน การเขยี นโฆษณาวิธนี ี้จะไมแจงความจรงิ ท้ังหมด ภาษาท่ีใชมีลักษณะ ไมชดั เจนตองใหผูบรโิ ภคเขาใจเอาเอง เชน “สบายไปลานเจ็ดเคลด็ ลบั ในการดูแลบ

7. การเนนประสาทสัมผัส การเขียนโฆษณาวิธีนใี้ ชหลักธรรมชาติของมนุษยที่พอใจในรูป รส กลน่ิ เสียง

และสัมผัส จงึ ใชถอยคาํ ทีส่ ื่อความหมายเกย่ี วกบั ประสาทสัมผสั ซึ่งสวนใหญเปนคํากรยิ าหรือ คําวเิ ศษณ

เชน “เครอ่ื งดื่มคนรุนใหม สดใส ซาบซา” “เพียงคําเดียว เคี้ยวเพลินใจ

8. การใชคําภาษาตางประเทศ การเขียนโฆษณาวิธีใชหลักการตอบสนองคานิยมของคนไทย

ที่นิยมใช าตางประเทศในการส่ือสาร จึงนําคําภาษาตางประเทศมาใชเขียนคาํ โฆษณา เช

“สกินโลชัน่ เบา นมุ ขาว บริสุทธ์ิ” “แปงเด็กสูตรผสมมลิ คโปรตนี ”

9. การใชภาษาแสลง หรือภาษาปาก การเขียนโฆษณาวธิ นี ้ี เปนการนําภาษาแสดงหรอื

ภาษาปาก ซึ่งผูใชสินค ลมุ นน้ี ิยมใชเพื่อสรางความรูสึกคุนเคย วางใจ เชน “หรอยยังไง ไปชิมเอง”

“จะปวดเฮดทําไม ใชบริการเราดีกว

10. การกลาวเกินจรงิ การโฆษณาวิธินี ้เนนความสนใจโดยไมคํานึงถงึ หลักความจรงิ และ

ผูบริโภคสวนใหญกย็ อมรบั สินคานัน้ โดยไม ปนจริงเป

“คุณภาพลานเปอรเซ็นต” “ินา้ หอมทห่ีอมจนเทวดาตามต้ือ”

นอกจากน้ี ยงั พบวาภาษาโฆษณานยิ มใชคาํ คลองจองและคาํ สน้ั ๆ ทสี่ ่ือความหมายชดั เจน

เพือ่ ใหผูบรโิ ภคจําสินคาไดขน้ึ ใจและนิยมใชสนิ คาชนดิ นน้ั

การเขยี นรายงานการค

การเขียนรายงานเปนการเขยี นเิน้อหาทางวชิ าการทไ่ี ดศกึ ษาคนความาเปนอยางดี

และเรียบเรยี งอยางมรี ะเบยี บแบบแผน ทําใหเกดิ ความรสูกึความเขาใจเรอ่ื งทศี่ ึกษาดยี งิ่ ข้นึ

สวนประกอบของรายงาน มี 3 สวน คอื

1. สวนนาํ กลาวถึง วตั ถุประสงค นเรื่องนี้

2. สวนเนื้อเรอ่ื ง กลาวถงึ สาระสาํ คัญของเรอ่ื งอยางละเอียด ทาํ ใหผูอานมีความเขาใจวาใคร ทาํ อะไร ท่ีไหน