ต วประหลาดป นอน สาวร ย ช ยสมรภ ม

รถกระบะเสียหลักพุ่งชนสาวใหญ่ยืนรอรถเมล์ริม ถ.บางกรวย-ไทรน้อยดับคาที่

เผยแพร่: 9 ม.ค. 2560 09:46 ปรับปรุง: 9 ม.ค. 2560 13:42 โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

MGR Online - สาวใหญ่ดวงซวยยืนรอรถเมล์ ถูกรถกระบะเสยเสียหลักพุ่งชนดับคาป้ายรถเมล์บนถนนบางกรวย-ไทรน้อย ตำรวจแจ้งขอหาโชเฟอร์ขับรถประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต

วานนี้ (8 ม.ค.) ร.ต.อ.วรุต พรหมลาย รอง สว.(สอบสวน) สภ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี รับแจ้งเหตุรถยนต์ชนคนจนมีผู้เสียชีวิตบริเวณป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้านนครทองปาร์ควิลล์ ถนนบางกรวย-ไทรน้อย หมู่ 6 จึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง แพทย์จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์รีบรุดไปตรวจสอบ

บริเวณที่เกิดเหตุป้ายรถเมล์ดังกล่าวพบรถยนต์ปิกอัพยี่ห้ออีซูซุ สีขาว แบบแค็บ 2 ประตู ทะเบียน 1 ฒผ 7530 กรุงเทพมหานคร เสียหลักชนป้ายรถเมล์มีร่างของนางประนอม คุ้มครอง อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36/163 อ.บางบัวทอง นอนเสียชีวิตในสภาพกระดูกซี่โครงหัก ศีรษะแตก มีนายสมร เนตรแสง อายุ 36 ปี คนขับรถปิกอัพยืนรอมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ

สอบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้มายืนรอรถเมล์ที่ป้ายรถประจำทาง จู่ๆ นายสมรซึ่งขับรถปิกอัพด้วยความเร็วก็เสียหลักหักรถเสยทางเท้าพุ่งเข้าป้ายรถประจำทางที่ผู้ตายยืนรออยู่จนร่างกระเด็นเสียชีวิตทันที ส่วนนายสมรนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไว้พร้อมแจ้งข้อหาขับรถประมาทจนทำให้มีผู้เสียชีวิต ส่วนผู้เสียชีวิตนั้นได้มอบให้มูลนิธินำส่งสถาบันนิติเวชเพื่อติดต่อญาติรับไปดำเนินการตามประเพณีต่อไป

โคลงบทนี้แสดงความรู้สึกในความทุกข์ความอาลัยได้อย่างดีอีกบทหนึ่ง ทั้งความอ่านแล้วทำให้นึกเห็นภาพกิริยาท่าทางได้ดี ความก็ว่า ตั้งแต่จากมาก็กินข้าวไม่ลงเลย กินเข้าไปแต่ในอกนั้นแน่น (อยู่ด้วยความรัก) จึงกลืนไม่ลง กระบวนโคลง และทำนองเขียนนั้นน่าฟัง พี่จากน้องมายัง ไม่ทันได้หยิบข้าวเต็มคำเลย (แต่ก่อนเรากินกับมือ ที่หยิบไม่เต็มคำเพราะกลืนไม่ลง ต้องแบ่ง) แต่ถึงกระนั้นยังต้องเอาน้ำเติม แม้ข้าวจะไม่เต็มคำก็กลืนแค้นคอ ครั้นพี่หยิบกับข้าว พี่ก็มาถือนิ่งไว้ ด้วยใจมัวคิดถึงนางและคอยนาง (แต่เมื่อไม่เห็นนาง) ก็รู้สึกเบื่อหน่ายในอาหารไม่รู้จักสิ้นสุด ความรู้สึกที่แน่นอยู่ในอก ทำให้ต้องคายอาหารที่รับประทานนั้น

ศัพท์… – กระยา…….. อาหาร เครื่องกิน – กับ…………. กับข้าว – เหียน………. คลื่นไส้ เบื่อ ไม่ชอบ

๔๓. ปรานีนุชอยู่เหย้า…….เยียบเย็น เย็นแม่เยี่ยมจักเห็น………..แต่ห้อง ครวญหาพี่ใครเป็น…………สองปลอบ แม่เลย สไบพี่เปลี่ยนจักป้อง………ปิดหน้านางโหย

ตรงนี้ควรจะสังเกตว่า การที่นายนรินทร์คิดเขียนโคลงบทนี้เป็นเวลาเย็น และให้สังเกตว่า สัมผัสก็ดีด้วย พอเวลาเย็นก็นึกสงสารนางว่าคงจะอยู่บ้านอย่างเหงา เปล่าเปลี่ยว (เย็นเยียบ) เวลาเย็นเช่นนี้น้องเข้าไปในห้องก็จะเห็นแต่ห้อง เวลาน้องร้องไห้หาพี่ ใครเล่าจะเป็นคนปลอบน้อง น้องก็คงจะได้แต่ผ้าห่มของพี่ปิดหน้าร้องไห้อยู่เท่านั้นเอง บาท๔…”สะไบพี่เปลี่ยน” ถ้าจะพิจารณาตามตัวอักษรก็ว่าสไบที่พี่เปลี่ยนไว้ให้ แต่คำสะไบ มักใช้สำหรับผ้าห่มของหญิงเท่านั้น ปทานุกรม ให้คำแปลแต่เพียงว่า ผ้าแถบ ผ้าห่มเฉียงบ่า

๔๔. แลไถงถงาดเลี้ยว……ลับแสง สอดซึ่งตาเรียมแสวง………ทั่วพื้น จวบจันทร์แจ่มโลกแปลง….มาเปลี่ยน หวนว่ามุขแม่ฟื้น……………เยี่ยมฟ้าหาเรียม

บาท ๑…มองดูตะวันก็ตกลับไปแล้ว คำว่าเลี้ยว หมายถึง เลี้ยวลับเหลี่ยมเขาพระสุเมรุตามความคิดของพราหมณ์ที่ว่า เขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของโลก พระจันทร์ พระอาทิตย์ เดินรอบเขาพระสุเมรุ บาท ๒…พี่มองสอดสายตาไปทั่วพื้น (พิภพ) คำว่า พื้น นั้น พื้นอะไร ต้องเข้าใจว่า พื้นฟ้า พื้นดิน บาท ๓…พี่นึกว่าน้องเยี่ยมหน้ามาในฟ้า เพื่อมองหาพี่

ศัพท์… – หวน……….. กลับ ย้อน – มุข…………. หน้า – โถง………… ดวงตะวัน (คำเขมร)

๔๕. ชมแขคิดใช่หน้า…….นวลนาง เดือนดำหนิวงกลาง………..ต่ายแต้ม พิมพ์พักตร์แม่เพ็ญปราง….จักเปรียบ ใดเลย ขำกว่าแขไขแย้ม………….ยิ่งยิ้มอัปสร

ศัพท์… – อัปสร………(อัจฉรา..บาลี) นางฟ้าซึ่งมีรูปงามน่าพึงใจ และช่างยั่วยวน ในรามายณะ (รามเกียรติ์) ว่าเมื่อทวยเทพกวนเกษียรสมุทร เพื่อทำน้ำอมฤตนั้น ได้เกิดนางอัปสรผุดขึ้นมานับด้วยหมื่นแสน แต่เทวดาและอสูรไม่รับไปเป็นคู่ครอง นางจึงตกเป็นของกลางจึงเรียกว่าสุรางคณา หมายความว่าหญิงของเทวดาทั่วไป

ถอดความ… บทนี้ติดต่อกับบท ๔๔ บาท ๑…พิศดูพระจันทร์ก็รู้ว่าไม่ใช่หน้าของน้องเสียแล้ว บาท ๒…เพราะที่กลางดวงจันทร์นั้น มีรอยตำหนิเป็นรูปกระต่าย บาท๓…ส่วนหน้าของน้องนั้นอิ่ม สะอาด จะเอาสิ่งใดมาเทียบมิได้เลย บาท๔…งามยิ่งกว่าดวงจันทร์ที่กระจ่างฟ้า และงามยิ่งกว่าหน้าอันยิ้มเยื้อนของนางอัปสร

๔๖. วิเวกดุเหว่าก้อง……….ดงดึก แล้วแฮ กระส่าวเสียงนกนึก………..นุชพร้อง พลิกปลอบเปล่าใจทึก…….ถามแม่ ไหนแม่ ปลุกพี่ฤาเรียมร้อง…………เรียกเจ้าไป่ขาน

ตอนนี้ ควรจะเข้าใจว่าเป็นเวลาดึก นายนรินทรตื่นขึ้นมา เพราะเสียงนกดุเหว่า และเสียงนกดุเหว่า นั้น ทำให้นึกว่าเป็นเสียงของนาง ก็พลิกตัวแล้วปลอบตัว แล้วถาว่านางอยู่ไหน นางมาปลุกเขาหรือ แต่เมื่อเขาร้องถามไปแล้ว ก็ไม่ได้ยินคำตอบจากนาง

ศัพท์… – กระส่าว…….เสียงสั่นๆ เครือๆ – ทึก…………. แสดงอาการของใจที่เต้นตึกๆ หรือ ทึกทัก นึกเอา คิดเอาเอง

๔๗. โอ้ดวงดาเรศด้อย……เดือนดับ ดับดั่งดวงอัจกลับ………….พู่พร้อย ชวาลาจะลาลับ…………….นุชพี่ แพงเอย หลับฤตื่นตรอมละห้อย…….อยู่ห้องหนหลัง

โคลงบทนี่ต่อเนื่องกับบท ๔๖ บาท ๑…แสดงว่าดวงดาว ดวงเดือน กำลังจะดับ คือ ใกล้รุ่ง นายนรินทรใช้คำว่า “โอ้” ซึ่งแสดงว่ามีความเสียดาย อาลัย บาท ๒…นายนรินทรหวนนึกไปถึงบ้าน นึกถึง อัจกลับ (โคมไฟ) ซึ่งมีระย้ายแก้วห้อย นึกไปว่า การที่เดือนดับไปนั้น เหมือนกับกับโคมไฟที่บ้านดับไป (เพราะเขาจากบ้านมา) บาท ๓-๔…ให้สังเกตในแง่ไวยากรณ์ว่า อะไรเป็นประธาน กริยา หรือ กรรม และมีปัญหาว่า ชวาลา นั้น ชวาลาที่ไหน ในเรือที่นายนรินทรไป หรือ ชวาลาที่บ้าน หรือ นายนรินทรจะใช้คำว่า ชวาลา แทน ดวงเดือน เป็นเรื่องตีความให้แจ่มชัดได้ยาก ในที่นี่จะขอตีความดังนี้ น้องที่รัก (แพง) ของพี่เอ๋ย เวลานี้ชวาลา (ตะเกียง) ชนิดหนึ่ง มีพวยสำหรับใส่ใส้) ในเรือนของพี่ก็กำลังจะหรี่ดับไปแล้ว (เพราะจวนใกล้รุ่ง) บัดนี้น้องซึ่งอยู่ห้องที่บ้านจะกำลังหลับ ตื่น ตรอม ละห้อย หรือประการใด

๔๘. เรือมารุ่งบ่รู้…………..คืนวัน ตื่นแต่ตาใจฝัน……………..คลับคล้าย แปดยามย่ำแดยัน…………แทนทุ่ม โมงแม่ นอนนั่งลุกยืนย้าย…………ยิ่งร้อนเรียมวี

โคลงบทนี้แสดงว่า เป็นเวลารุ่งเช้าแล้ว

บาท ๑…เดินทางมารุ่งแล้ว แต่จะเป็นกลางวันหรือ กลางคืน (นายนรินทร) ก็ไม่อาจรู้ได้ บาท ๒…เพราะตาเท่านั้นที่ตื่นอยู่ ส่วนใจนั้นเหมือนกำลังฝัน บาท ๓…ทั้งแปดยาม เอามือตีอก แทนตีฆ้องกลอง บาท ๔… จะนั่ง นอน ลุก ยืน เดิน ก็ร้อนยิ่งไปทั้งนั้น ต้องใช้พัด

ศัพท์… – ยาม……….. ระยะเวลา ๓ ชั่วโมง – ทุ่ม…………. บอกระยะเวลา ๓ ชั่วโมง กลางคืน เดิมกลางคืนใช้กลองบอกเวลา คำว่า ทุ่ม คือ เสียงกลองนั่นเอง – โมง………… บอกระยะเวลา ๓ ชั่วโง กลางวัน เดิมใช้ฆ้อง โมง คือ เสียงฆ้อง

๔๙. แม่กลองกลองบ่ได้….ยินดัง รัวแต่กรประนัง……………..หนึ่งค้อน ทรวงพี่แผ่เพียงหนัง……….ขึงขอบ กลองเอย กลองบ่ข้อนเรียมข้อน…….อกแค้นคะนึงโฉม

ตอนนี้มาถึง แม่กลอง (เมืองสมุทรสงคราม) บาท ๑…มาถึงตำบลแม่กลอง แต่ไม่ได้ยินเสียงกลอง บาท ๒-๓…(กลองไม่มีใครตี แต่นายนรินทร) ใช้มืออันเปรียบดังค้อน ระดมตีอกตนเอง ซึ่งเปรียบเหมือนหนัง ที่แผ่ขึงหน้ากลอง บาท ๔…กลองไม่ได้ถูกใครตี แต่ (นายนรินทร) ตีอกตนเองด้วยความคิดถึงเมีย

๕๐. ออกจากปากน้ำน่าน…นองพราย อรรณพพิศาลสาย…………ควั่งคว้าง จากนางยิ่งตนตาย…………ทีหนึ่ง นะแม่ เทียรจักทอดตัวขว้าง……..ชีพไว้กลางวน

ตอนนี้เดินทางออกปากแม่น้ำแม่กลอง ศัพท์… – น้ำน่าน……. น่านน้ำ น่าน — ย่าน – พราย……… ฟองน้ำ – อรรณพ…….ห้วงน้ำ – เทียร……….ย่อม เช่น ดังหนึ่ง – วน…………..ห้วงน้ำ

๕๑. สรวลเสียงพระสมุทรครื้น..ครวญคะนอง คลื่นก็คลี่คลายฟอง……….เฟื่องฟื้น ดาลทรวงป่วงกามกอง…….กลอยสมุทร แม่ฮา ออกโอษฐ์ออกโอยสะอื้น…อ่าวอื้ออลเวง

บทนี้พรรณนาสภาพกลางทะเล ว่าทะเลกำลังมีคลื่นคะนอง บาท ๑…สรวล แปลว่า หัวเราะ บาทนี้ถ้าจะแปลตามตัว ทะเลกำลังหัวเราะครึกครื้น ประเดี๋ยวก็คร่ำครวญ ที่จริงก็คือ นายนรินทรได้ยินเสียงคลื่นครึกโครม แต่โดยจินตนาการของกวี ทำให้เห็นว่า ทะเลกำลังหัวเราะ หรือ คร่ำครวญ บาท ๒…คำว่า กลอยสมุทร แม่ฮา หมายถึง นางเมขลา คือ นายนรินทรเอ่ยชื่อนางเมขลา บอกว่าเวลานี้เป็นทุกข์ใจในความรักเหลือเกินแล้ว ให้สังเกตด้วยว่า เสียงของคำ ในโคลงบทนี้ ชวนให้นึกไปถึงเสียงคลื่นลม ในบาท ๔ นั้น มีลักษณะคล้ายๆ เรือโยนขึ้นลงอยู่บนคลื่น

๕๒. เรียมวอนเทวะแม่แม้น..เมขลา แบวิเชียรเชิญรา……………เร่งเจ้า นางสมุทรเรียกมามา………เทอญแม่ มาแม่ ทันที่เรือเรียมเต้า…………..คลื่นเต้นตากทรวง

โคลงบทนี้ มีความอย่างเดียวว่า วิงวอนให้นางเมขลารีบ มาช่วย ศัพท์… – เมขลา…….. นางสมุทร เทวีผู้ปกปักรักษาพระมหาสมุทร ถือแก้ว

๕๓. บ้านเหลมเรือพี่เลี้ยว…คลองจร ระลึกคมเหลมศร…………..เนตรน้อง เสียวทรวงพี่โอยอร………..อกแตก ตายแม่ สุดสอดสายเนตรร้อง……..แม่ตั้งตาคอย

ตอนนี้ มาถึงตำบลบ้านแหลม เรือเลี้ยวเข้าคลอง ถ้าดูแผนที่จะเห็นว่า จากปากน้ำแม่กลอง มาถึงบ้านแหลม เป็นระยะทางไกลมิใช่น้อย แต่นายนายนรินทรเขียนนิราศตอนนี้เป็นโคลง ๒ บทเท่านั้น อาจเป็นเพราะกลางทะเล ไม่มีหัวข้อเรื่อง ที่พอจะนำมาเขียน ด้วยไม่เห็นอะไรนอกจากน้ำ จะพูดถึงปลาก็ไม่ได้ เพราะทะเลกลังมีคลื่นลมกล้า

ถอดความ… เรือของพี่มาถึงตำบลบ้านแหลม ก็เลี้ยวเข้าคลอง ชื่อตำบลนี้ชวนให้พี่คิดถึงตาอันแหลมคมของน้อง เมื่อคิดดังนี้ก็ให้เสียวใจ ระลึกถึงน้อง แทบอกของพี่จะแตกอยู่แล้ว พี่ได้แต่ตั้งตาคอยน้อง และมองค้นหาน้องไปจนสุดสายตาของพี่

๕๔. เห็นตะบูนรอยบั่นต้น…ตัดรอน ยังแต่ตอตะบูนทอน……….กิ่งกลิ้ง เจียนใจพี่ขาดจร…………..จากสวาท มาแม่ ทอนท่อนไมตรีทิ้ง…………ทอดไว้วังเวง

บาท ๓…การที่พี่จากมาดังนี้ แทบว่าหัวใจพี่จะขาดไปทีเดียว บาท ๔…ท่อนไมตรี เป็นโวหารกวี ความจริง ไม่ตรีไม่ได้เป็นท่อน แต่กวีพูดโดยเทียบเคียงกับท่อนตะบูน อนึ่งคำว่า ไมตรี นี้ยังหมายถึง เมีย ถึงความรักอีกด้วย คือ ทิ้งเมียไว้ให้อยู่เปล่าเปลี่ยว

ศัพท์… – ทอน……….. ตัด เราพูดว่า ตัดทอน

๕๕. ดูใดไป่เท่าด้วย………ดวงพักตร์ แม่เลย โฉมแม่ชื่นใจจัก……………หล่อหล้ม มาเดียวพี่ดักดัก……………ใจจอด แม่แม่ เรือนแล่นผายผันก้ม……….พักตร์ไห้หาศรี

บาท ๒…”หล่อหล้ม (ล่ม)” นั้น บางท่านอธิบายว่า ถึงรูปหล่อก็สู้นางไม่ได้ ข้าพเจ้ายังรู้สึกสงสัยอยู่ เพราะโคลงบาทนี้ถ้าจะเขียนเติมให้เต็มก็ว่า โฉม (ของ) แม่ (นั้น น่า) ชื่นใจ (แทบ) จักหล่อหล้ม หรืออาจเป็นไปว่า โฉม (ของ) แม่ (นั้น น่า) ชื่นใจ (แทบ) จัก (ทำให้รูป) หล่อหล้ม อยากจะแปลว่า รูปโฉมของนางนั้นงามยิ่ง จนเมื่อพี่ได้ชมแล้ว ก็เกิดความชื่นอกชื่นใจจนท่วมท้น

ศัพท์… – ดัก ดัก…….. ดิ้น แด่วๆ – ไห้………….. ร้องไห้

๕๖. ถับถึงคุ้งคดอ้อย……..โอชหวาน วายแม่ อ้อยแม่เจียนผจงจาน……..จอกแก้ว ขอเคียงซ่อมสอดพาน…….รองร่วม เจ้าฤา รสยิ่งอำมฤตแล้ว…………..ระลึกลิ้นหวานเอง

บาท ๑ – ๒…มาถึงตำบลคุ้งคดอ้อย ระลึกถึงความโอชะ และความหวานของอ้อย ที่นางเคยจัดทำให้ เวลานี้จะต้องวาย (คือไม่ได้กิน) อีกแล้ว บาท ๓…ของเคียง ของกินอย่างอื่นๆ ซ่อม แซม บาท ๔…ดีมาก ความว่า อ้อย และของหวานต่างๆ ที่นางเคยจัดให้นั้น มีรสเสมอน้ำทิพย์ ไม่ต้องกิน เพียงแค่นึกถึงว่า มีอะไรบ้างเท่านั้นก็รู้สึกหวานเสียแล้ว

ศัพท์… – อำมฤต…… อ + มฤต ไม่ตาย เป็นทิพย์

๕๗. พิศพานจานแจ่มเจ้า…เบญจรงค์ รัตน์เอย โหยบ่เห็นอนงค์……………นั่งน้อม นพนิตแน่งนางผจง………..จัดมอบ มาฤา จากรักจากรสพร้อม……….ไพร่ใช้ชายเคียง

บาท ๔…จากรัก จากรส (อาหาร) มา พร้อมกับพวกไพร่ผู้ชาย มีแต่คนใช้ชายอยู่ข้างๆ (แทนที่จะเห็นนางอยู่ข้างๆ อย่างที่บ้าน)

ศัพท์… – นพนิต…….. แปลตามศัพท์ว่า เนย ในที่นี้หมายถึง ขนม ของหวาน

๕๘. อยู่เรือนจักเพื่อนพร้อง…ความใคร รสรักแรมกะได……………….ดอกดั้ว เรียมหมองแม่พาใจ………….คลายเทวษ หมองสมรนุชเรียมกลั้ว……..กล่อมเจ้าเอาใจ

ความในบท ๕๗ – ๕๘ เป็นตอนที่รำพึงขณะรับประทานอาหาร คิดไปถึงบ้าน บาท ๑…ประของของ อยู่ คือ เจ้า หรือ น้อง บาท ๒…เคยได้ร่วมรักกัน ก็ต้องมาแรมร้างกันเสียแล้ว บาท ๓…แต่ก่อนั้น เวลา (นายนรินทร) เป็นทุกข์ นางเป็นคนปลอบให้คลาย บาท ๔…ถ้านางเป็นทุกข์ (นายนรินทร) ก็เป็คนพูดปลอบเอาใจให้คลายทุกข์)

ศัพท์… – กะได………. เคย (เขมร) – ดอกดั้ว…… นม กะไดดอกดั้ว ถ้าจะพูดเป็นร้อยแก้วว่า เคยจับนม ก็ดูหยาบเต็มที แต่กวีพูด้วยภาษากวี ในเชิงพิศวาส ทำให้ความหมายคายหายไป

๕๙. บำราศรสหื่นห้า………แหหาย โหยคระหนรนกาย…………ก่ำไหม้ รัวรัวราคราวพาย…………..เรือเร่ง แรงแม่ ทันถี่ทุกเล่มไหล้…………..หล่อเต้นตามเผยอ

ให้สังเกตเชิงเปรียบเทียบ ในโคลงบทนี้ให้ดี บาท ๑…ได้ห่างรสทั้ง ๕ ประการมา รสทั้งห้านั้น คือ รสอันเกิดจากความยินดีในรูป (ความงาม) เสียง กลิ่น รส (ความหวาน) สัมผัส (การถูกต้อง) หมายถึงความสุข ๕ อย่าง ที่ได้จากหญิง บาท ๒…ความที่ต้องห่างรสมานั้น ทำให้เกิดความกระวนกระวาย ร้อนกาย (ใจ) เหมือนกับถูกไฟไหม้ระอุ บาท ๓…ระคะ (คือความใคร่) นั้นรุกรันอยู่ในใจเหมือนแรงพาย ที่ทำให้เรือแล่นไป บาท ๔…พายทุกๆ เล่มนั้นพายตามกันถี่ๆ พาย ที่ทำให้เรือแล่นนั้น เทียบกับรสทั้งห้าที่รุกเร้าอยู่ในใจ ทำใจปราศจากความสงบ

๖๐. ถึงเพชรบุเรศเข้า……..ขุนพล กรีทัพยกโดยสถล…………มารคเต้า ธงทองทัดลมบน…………..โบกเรียก พลแม่ เรียมเรียกรสรักเร้า………..เร่งน้องในทรวง

บาท ๑…คำว่า ขุนพล นั้นหมายถึงอะไร จะหมายว่า ขุนพลเป็นประธานของคำ กรี ในบาท ๒ หรืออย่างไร คำว่า ขุนพล แปลงตรงตามศัพท์ก็ว่าแม่ทัพ ฉะนั้น “เข้า-ขุนพล” จะแปลว่าอย่างไร ตามพงศาวดารว่า พระยาจ่าแสนยากร กับเจ้าพระจาพลเทพชุมนุมทัพรออยู่ก่อน ดังนั้น บาท ๓ นี้น่าจะแปลว่า ถึงเมืองเพชรบุรีอันเป็นที่ชุมนุมทัพใหญ่ บาท ๓…ธงทอง (ธงประจำทัพ) ถูกลมพัด ก็สะบัด (เหมือนจะ) เรียกพล บาท ๔…แต่ตัวพี่นั้นเรียก (อยู่ในใจ) หารส และ เร่งให้น้องมาหาพี่

ศัพท์… – เพชรบุเรศ…เพชรบุรี + อีศ (ศ เข้าลิลิต) – สถลมารค… ทางบก – เต้า………….เดิน

๖๑. ออกทัพเอาฤกษ์เร้า….ปืนไฟ ปืนประกายกุมไก………….จี่จิ้ม เพลิงราคพลุ่งกลางใจ……..เจียวเจ็บ อกเอย ทรวงพี่บรรทุกปิ้ม………….ปวดด้วยปืนกาม

บาท ๑…กล่าวถึงการยิงปืนเอาฤกษ์ตอนจะยกทัพ บาท ๒…บาทนี้ออกจะสับสน ปืนประกาย – ไฟที่แลบเป็นประกายจากระบอกปืน กุมไก – นิ้วจับที่นกปืน จี่จิ้ม – เอาชุดจุดที่ชนวนปืนใหญ่ ทั้งหมดนี้หมายความว่ายิงปืนเล็กปืนใหญ่ ไฟวาบเป็นประกาย บาท ๓…เปรียบ เพลงปืน กับเพลิงราคะ บาท ๔…เปรียบ ปืนไฟ กับปืนกาม ในบาทนี้สงสัยทรวงพี่บรรทุกนั้น บรรทุกอะไร คือ บรรทุกเพลิงราค (บาท ๓) ทรวงพี่จึงปวดเหมือนถูกยิงด้วยปืนกาม (ความรัก)

๖๒. ทุกตรอกเรียมตรวจหน้า…ขาดนาง เดียวแม่ จบจรหลาดแลทาง………..ทั่วด้าว จวบหญิงจ่ายของกลาง……ถนนเกลื่อน เทียมธุลีทาสท้าว………….อรข้างเดียวเดิน

ถอดความ… บาท ๑…ทุกตรอกที่กองทหารผ่านไป พี่ได้มองหาก็เห็นหน้าใครต่อใครมากมาย ขาดอยู่แต่น้องคนเดียว บาท ๒…ได้มองดูทั่วทั้งตลาด และในที่ทุกแห่งก็ไม่เห็นน้อง บาท ๓…เห็นแต่พวกผู้หญิงมาซื้อของเกลื่อนอยู่ตามถนน บาท ๔…หญิงเหล่านี้เพียงกับผงที่ติดเท้าเพียงข้างเดียวของบ่าวของน้องก็ไม่ได้ ในบาทที่๔ นี้เปรียบแรงมาก คือยกเมียเสียสูงลิบทีเดียวจะเอาหญิงอื่นมาเปรียบโดยตรงก็ไม่คู่ควร หรือแม้จะเปรียบกับเพียงบ่าวของเมียก็ยังไม่คู่ควร ในที่สุดเปรียบได้กับผงที่ติดเท้าข้างเดียวของบ่าวเท่านั้น นี่ว่าตามความรู้สึกของกวี (คือ นายนรินทร์)

ศัพท์… – จรหลาด…..ตลาด – ท้าว………..คำนี้น่าจะหมายถึง เท้า

๖๓. ถึงชรอ่ำชรอุ่มห้อง……เวหา หนเอย คิดอรแมกเมฆมา………….กลัดไว้ ฤาเขาชรอ่ำอา……………..ดูรเทวษ เป็นชรอุ่มฟ้าไข้……………ข่าวน้องนางตรอม

บทนี้ว่า มาถึงตำบลชะอำ ก็พอดีอากาศมืดฟ้ามัวฝน บาท ๒…บาทนี้ความไม่แจ่มชัด สงสัยว่าอะไรเป็นของประธานของกริยา กลัด บางท่านอธิบายบาทนี้ว่านางเอาความมืดมัวมากลัดไว้ให้ ลองพิจารณาดูน่าจะเป็นดังนี้ (นายนรินทร์) คิดว่า อร(นาง) แมก(แอบ)และมากลัด(ติด) อยู่ในเมฆ ถ้าจะคิดว่านายนรินทร์คิดว่าเมฆอันมืดมัวนี้ เพราะนางแอบเอามาติดไว้บนฟ้า ก็ดูไม่สมเหตุผล มีทางคิดไปได้อีกอย่างว่า หรือ นางจะแอบมาในเมฆ เมฆได้หุ้มหิ้วตัวนางลอยมารออยู่ที่นี่ บาท ๓…หรืออาการที่มืดมัวนี้ เป็นด้วยเขาชะอำจะเกิดความตรอมใจ นี่พูดตามความรู้สึกกวี ที่นึกเห็นไปว่าสิ่งทั้งหลายมีความรู้สึกมีอารมณ์ เหมือนตนเอง จะแลเห็นได้อีกในบาทที่ ๔ ที่ว่า “ฟ้าไข้” แต่ก็ยังสงสัยอีกว่า “ไข้”นั้น ฟ้าไข้ หรือนายนรินทร์ไข้ โดยความติดต่อจากบาท ๓ ว่า ฤๅเขาชะอ่ำอาดูรเทวษ (จึง) เป็นชะอุ่มฟ้า (ดังนี้) ส่วน(ฉัน-นายนรินทร์) นั้นเป็นไข้ใจตรอมใจ (เพราะ) คอยฟังข่าวของน้อง หรือจะว่าเขาชะอำนั้นพลอยเป็นทุกข์ ฟ้าก็มืดมัวไม่แจ่มใส ราวกับว่าช่วยเป็นทุกข์ คอยฟังข่าวนางอย่างที่ฉัน (นายนรินทร์) เป็นทุกข์อยู่เหมือนกัน

๖๔. สุริยาวิโยคฟ้า………..ฝนเชย บุปผชาติรำเพยเผย………..กลิ่นใกล้ เผยอหอมเลื่อนสมรเหย…..หาพี่ ฤาแม่ ถามพฤกษ์พรางเพราะไม้…ปากลิ้นไป่มี

บาท ๑…พอพระอาทิตย์ลับไป ฝนก็พรมลงมา บาท ๒…ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอยู่ใกล้ๆ บาท ๓…ลองถามต้นไม้ดู ต้นไม้ก็ไม่พูด เพราะมันไม่มีปากมีลิ้น บาท ๔ จะเห็นว่าเป็นอารมณ์และความนึกคิดของกวีที่เข้าใจว่าจะส่งภาษากับต้นหมากรากไม้ได้ ดูๆ ก็ไม่มีเหตุผลแต่อย่าลืมว่า คนเราเมื่อมีความสะเทือนใจแรง ไม่รู้จะระบายความสะเทือนใจนั้นกับใคร ก็อาจพูดกับอะไรต่ออะไรที่มิใช่มนุษย์ได้เหมือนกัน

ศัพท์… – วิโยค………. การจากไป ห่างเหิน – เหย…………ระเหย – พฤกษ์………ต้นไม้ รุกขะ (บาลี) – บุปผ………..ดอกไม้ บุษป (สันสกฤต)

๖๕. ทัพใต้ทัพตั้งป่า………เป็นเรือน จากนุชมานอนเดือน………ต่างไต้ ตรอมตายแต่จักเยือน…….กันยาก แลแม่ เรือนฤเห็นเห็นไม้………….ป่าไม้เป็นเรือน

บาท ๑…มาถึงตำบลทับใต้ ตั้งค่าย เอาป่าเป็นเรือน บาท ๒…จากนางมา นอนเอาดวงเดือนแทนดวงไต้ บาท ๓…คงจะต้องตรอมใจตาย เพราะไปเยี่ยมเยือนนางไม่ได้ บาท ๔…มองเรือนก็ไม่เห็น เห็นแต่ป่า เวลานี้เท่ากับเอาป่าไม้เป็นเรือน บาท ๔ นี้ เล่นคำ ใช้คำ เรือน เห็น ไม้

๖๖. ราตรีตรวจค่ายฆ้อง…..ขามขาม ใจเอย เกราะกระพือเพลิงยาม……รุ่งเร้า กระเวนกระวนกาม…………กวนอก พี่นา รันระดมแดเข้า…………….คู่ฆ้องกระแตตี

ตรงนี้กล่าวถึงการตั้งค่ายพักแรม ที่ค่ายพักตั้งกองไฟไว้เวลาตีเกราะ ก็เอาไม้ใส่เพิ่มในกอง หรือซนไฟให้ลุกเสียคราวหนึ่ง บาท๑….ถึงเวลาค่ำ เขาตีฆ้องตรวจค่าย ให้รู้สึกหวั่นใจ บาท๒….ยามหนึ่งๆ มีการตีเกราะ แล้วใส่ไฟให้สว่างขึ้น บาท๓….ความรักก็กวนอยู่ในอก เหมือนกับการตรวจค่ายตรวจยาม บาท๔….ความรักระดมตีอก เป็นคู่กับฆ้องกระแต ที่เขาตีขานยาม

ศัพท์… – กระเวนกระวน..วุ่นวาย ไม่เป็นปกติ – รัน…………..ตี – แด………….ใจ – ฆ้องกระแต..ฆ้องเล็กๆ ใช้ตีขานยามในกองทัพโบราณ

๖๗. เคยนิทรอรนุ่มเนื้อ…..แนบเรียม เดาะกระไดไดเลียม………ลอดเคล้น นาสาสูบรสเทียม………….ปรางมาศ สองสนุกล้วนเหล้น………..เล่ห์นั้นฤาลืม

บทนี้กล่าวรำพึงในระหว่างพักแรมในค่าย กล่าวถึงความหลัง เมื่อยังอยู่รวมกัน เป็นบทกล่าวเชิงสังวาส ศัพท์…. – นิทร…………นอน – เดาะ………..นม (เขมร) – กะได………..เคย (เขมร) – ได……………มือ (เขมร) – มาศ…………ทอง – เหล้น………..เล่น

๖๘. เคยโอษฐ์แอบโอษฐ์อ้อน…เอาใจ คำอ่อนวอนอาลัย………….ล่อเคล้า นับเดือนเลื่อนปีไป………..ไกลมิ่ง นะแม่ เยียวอยู่หนหลังเศร้า………สวาทแล้วใครโลม

ความยังคาบเกี่ยวกับบท ๖๖, ๖๗ กล่าวรำพันถึง ความหลัง พรรณนาชั้นเชิงความรักดีมาก บาท ๑…โอษฐ์แอบโอษฐ์ นั้นจะแปลว่าปากแนบปากไม่ได้ เป็นความเทียบเคียงทำนองว่าอยู่ใกล้ชิดกัน พูดเอาใจกัน บาท ๒…คำ อ่อน มีความหมายได้ ๒ อย่าง คำอ่อนหวานก็ได้ คำของนาง (อ่อน = นางน้อง) ก็ได้ ในที่นี้ควรจะเป็นคำของนาง บาท ๔…เวลานี้นางอยู่ข้างหลัง ถ้าแม้นรู้สึกโศกเศร้า เพราะความรักแล้ว ใครจะช่วยปลอบประโลมเยียว….ผิว่า แม้ว่า

๖๙. ออกทัพถะถั่นเข้า…….ไพรเขียว ละแม่เดียวมาเดียว…………ด่วนร้าง สายตาต่อเต็มเกลียว………มากล่อม ไกลแม่ เวระใดเราสร้าง…………….ซัดให้ทันเห็น

บาท ๓…สายตาของเราที่ประสานกันแน่นแฟ้น (เมื่อจะจากมา) ได้กล่อมใจ ในยามที่พี่จากมาไกล

ศัพท์… – ถะถั่น………ทันที ทันที เร็วๆ – ซัด………….สาด ทอด ในที่นี้หมายความ ทำให้เป็นไป

๗๐. ห้วยขมิ้นคิดขะมิ่นเจ้า…เคยผจง กวดสกนธ์สีสรง……………โสรจน้อง เรียมจากจักโศกทรง………เสาวภาคย์ เผือดฤา ขมิ้นจะวายวันต้อง…………แต่งเนื้อนางสนาน

เดินทัพมาถึงตำบลห้วยขมิ้น ศัพท์… – กวดสกนธ์…ขัดสีร่างกาย – สรงโสรจ…..อาบน้ำ – เสาวภาคย์…เสาว (สุ) + ภาคย์ = รูปงาม – สนาน………อาบน้ำ – วาย………….ว่างเว้น – แต่งเนื้อ……..ทาเนื้อ

๗๑. อ่าผิวการะเกดเกลี้ยง…เกลานวล แน่งเอย เรียมกะไดเชยชวน………..ชิดเคล้า อ้าอรกลิ่นเกศหวน…………หอมหื่น กูเฮย คิดภิรมย์รสเกล้า…………..กลิ่นกลั้วไกลฉม

ตอนนี้คิดถึงผิวของนาง ความคาบเกี่ยวกับบท ๗๐ พอพูดถึงขมิ้นก็นึกถึงผิว ว่าผิวนางนั้นเหมือนสีดอกการะเกด (เหลือง) ศัพท์… – อ่า…………..โอ่อ่า สวย สดใส – ภิรม…………อภิรม (ตัด อ นำหน้า) อภิ + รม, – อภิ…………..ยิ่ง – รม…………..ชื่นชม ยินดี – ถ้าเป็น รมย์…น่าชื่นชม น่ายินดี น่ารัก งาม – ฉม………….หอม หอมฟุ้ง – เกล้า……….ผม

๗๒. ยกมามาท่าข้าม………แขวงปราณ ปราณประหลาดลมฆาน…..พี่ข้อง แลว่านุชทรมาน……………..หมองสิ่ง ใดแม่ ทุกข์โรคหรือจักร้อง…………ร่ำไห้หาเรียม

ตอนนี้ยกทัพมาถึงตำบลท่าข้าม แขวงเมืองปราณบุรี(ประจวบคีรีขันธ์) ตอนนี้กล่าวในเชิงไสยศาสตร์เล็กน้อย คือว่า เมื่อมาถึงแขวงเมืองปราณ (นายนรินทร์) รู้สึกประหลาดที่ลมหายใจ (ลมปราณ) ขัดข้อง ให้นึกสงสัยว่าที่เป็นดังนี้ นางจะเกิดหม่นหมองอย่างหนึ่งอย่างใดกระมังหรือว่าจะมีทุกข์ มีโรค หรือร้องไห้ถึง