บก.ควบคุม. อส.จชต. ร่วมหารือเพิ่มศักยภาพชุดคุ้มครองตำบลในพื้นที่กองบังคับการควบคุมกองกำลังอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชุมประจำเดือนพฤษภาคม 2565 ร่วมหารือเพื่อเพิ่มศักยภาพชุดคุ้มครองตำบลในพื้นที่ Show
วันนี้ (19 พฤษภาคม 2565) พลตรี ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็นประธานในการประชุม กองบังคับการควบคุมกองกำลังอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำเดือนพฤษภาคม 2565 โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ และแนวโน้มสถานการณ์ในพื้นที่ รวมถึงผลการปฏิบัติงานที่สำคัญในห้วงที่ผ่านมา พร้อมรับฟังการชี้แจงถึงผลการแก้ไขข้อบกพร่องของชุดคุ้มครองตำบล เพื่อทำการแก้ไขข้อบกพร่องต่อไป โดยมีหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดยะลา ,จังหวัดปัตตานี ,จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสงขลา ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมอำเภอเมือง จังหวัดยะลา โอกาสนี้ พลตรี ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้มอบแนวทางการวิเคราะห์ปัจจัย วิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ การดูแลกำลังพลของหัวหน้าชุดคุ้มครองตำบลตามกรอบนโยบายและแนวทางให้หัวหน้าชุดคุ้มครองตำบลเข้าตรวจเยี่ยมชุดคุ้มครองตำบลตามนโยบาย เพื่อรับฟัง และร่วมแก้ไขปัญหาต่างๆ ในด้านการปรับลดอัตรากำลัง ให้จัดทำแผนการปรับลดอัตรากำลังเพื่อประกอบการพิจารณาโดยให้หน่วยเฉพาะกิจพื้นที่ร่วมหารือด้วย ส่วนการประเมินชุดคุ้มครองตำลบลเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพแก่ชุดคุ้มครองตำบล เพื่อให้ชุดคุ้มครองตำบลสามารถดูแลชุมชนได้ลำพังอย่างมีประสิทธิภาพ จึงเน้นย้ำว่าหากทุกคนสามารถทำได้ตามเกณฑ์การประเมิน ชุดคุ้มครองตำบลจะมีคุณภาพมากขึ้นและเป็นไปตามเป้า วันนี้ (17 ม.ค.) ห้องประชุม (1) อาคารกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี เชิญสิ่งของพระราชทานมอบแก่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องในโอกาสปีใหม่ ประจำปีพุทธศักราช 2561 พร้อมทั้งรับฟังบรรยายสรุปการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 หน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ กองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้การตอนรับ จากนั้น พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี ได้เชิญสิ่งของพระราชทานมอบแก่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูล ณ แหล่งรวมรถ กรมทหารราบที่ 152 ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ให้แก่ผู้แทนหน่วยงาน 56 หน่วยงาน จำนวน 1,500 ชุด เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองทัพเรือภาค 2 ส่วนหน้า ศูนย์สันติวิธี ศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ กองบังคับการควบคุมกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์แพทย์ทหารบกจังหวัดชายแดนภาคใต้ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานในพื้นที่ นอกจากนั้น ยังได้มอบสิ่งของพระราชทานให้แก่ผู้แทนของ ร.ต.ท.ยุทธนา เทพสถิตย์ และผู้แทนของ ส.อ.วิษณุ มือสันทัด เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ พร้อมทั้งอัญเชิญพระราชกระแสพระราชทานกำลังใจ และความห่วงใยให้แก่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อีกด้วย เนื้อหาในบทความนี้ล้าสมัย โปรดปรับปรุงข้อมูลให้เป็นไปตามเหตุการณ์ปัจจุบันหรือล่าสุด ดูหน้าอภิปรายประกอบ ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย แผนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีพื้นที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมเชื้อสายมลายูวันที่4 มกราคม 2547 – ปัจจุบัน (19 ปี 10 เดือน, 28 วัน)สถานที่จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และบางอำเภอของจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอเทพา อำเภอสะบ้าย้อย) สถานะ ยังดำเนินอยู่คู่สงคราม ราชอาณาจักรไทย กองทัพภาคที่ 4 ตำรวจภูธรภาค 9 กองอาสารักษาดินแดนสนับสนุน:
อดีตผู้สนับสนุน:
อดีตผู้สนับสนุน:
สถานการณ์ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย (มลายู: Pemberontakan di Thailand Selatan) หรือ ไฟใต้ หรือ สงครามใต้ หมายถึง ความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามจังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ระหว่างรัฐไทยกับกลุ่มก่อความไม่สงบหลายกลุ่ม อย่างไรก็ดี บางครั้งมีการลุกลามมาถึงบางอำเภอของจังหวัดสงขลา และบางทีมีการโทษว่าการก่อการร้ายในกรุงเทพมหานครและจังหวัดภูเก็ตเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบภาคใต้ด้วย ภูมิภาคสามจังหวัดภาคใต้ดังกล่าวนั้นเดิมเป็นรัฐสุลต่านปตานีดารุสซาลามซึ่งปกครองตนเองมาก่อน จนเมื่อมีการกลืนวัฒนธรรมทำให้เกิดความขัดแย้งเริ่มตั้งแต่ปี 2491 เป็นการก่อกำเริบการแยกออกทางเชื้อชาติและศาสนาในภูมิภาคมลายูปัตตานี มีความรุนแรงเพื่อแบ่งแยกดินแดนระดับต่ำในภูมิภาคดังกล่าวหลายทศวรรษ แต่เหตุการณ์บานปลายหลังปี พ.ศ. 2544 โดยมีการกลับกำเริบในปี 2547 ระหว่างปี 2547–2554 มีผู้เสียชีวิต 4,500 คนและได้รับบาดเจ็บ 9,000 คน ลักษณะการก่อเหตุมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้แค้นมากขึ้น และเป็นการโจมตีไม่เลือกลดลง กลุ่มก่อความไม่สงบในระยะแรกมีเป้าหมายเพื่อแยกตัวออกเป็นอิสระ เช่น BNPP และ PULO ผู้นำท้องถิ่นเรียกร้องอัตตาณัติระดับหนึ่งแก่ภูมิภาคปัตตานีอย่างต่อเนื่อง และขบวนการผู้ก่อการกำเริบแยกตัวออกบางส่วนเรียกร้องให้มีการเจรจาสันติภาพ อย่างไรก็ดี หลังความรุนแรงรอบใหม่ในปี 2544 แม้ยังไม่ทราบกลุ่มก่อความไม่สงบแน่ชัด แต่มีการชี้ว่า GMIP, BRN-C และ RKK (กลุ่มติดอาวุธของ BRN) เป็นผู้นำการก่อเหตุ ซึ่งบางรายงานระบุว่ากลุ่มเหล่านี้ไม่ได้ต้องการแยกตัวเป็นอิสระ แต่ต้องการทำให้ภูมิภาคปาตานีปกครองไม่ได้ สภาพ[แก้]ระหว่างปี 2547–2554 มีผู้เสียชีวิตกว่า 4,500 คน และได้รับบาดเจ็บกว่า 9,000 คนจากความไม่สงบ นับเป็นความขัดแย้งที่มียอดผู้เสียชีวิตสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2554 สถานการณ์กลายเป็นการคุมเชิงระดับต่ำ ส่วนใหญ่ลักษณะการก่อเหตุเป็นการประกบยิง แต่มีเหตุระเบิดแสวงเครื่องบ้างเฉลี่ย 12 ครั้งต่อเดือน มีเหตุการณ์ความรุนแรงกว่า 11,000 ครั้งและการวางระเบิดกว่า 2,000 ครั้ง ข้างฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบไม่มีข้อเรียกร้องทางการเมืองออกมาชัดเจนจึงบอกไม่ได้ว่าเหตุใดความไม่สงบจึงปะทุกลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์เสนอว่ามีการเปลี่ยนจากเป้าหมายด้านเชื้อชาติและชาติพันธุ์และแบ่งแยกดินแดนมาเป็นอิสลามิสต์หัวรุนแรง สถานที่ก่อเหตุย้ายจากป่าเข้ามาในหมู่บ้าน เมืองและนคร สภาพดังกล่าวทำให้มีการใช้กลุ่มนักรบขนาดเล็ก 5–10 คน กลางปี 2549 ตำรวจประเมินว่ามีนักรบ 3,000 คนปฏิบัติการใน 500 เซลล์ ทางการเชื่อว่าผู้ก่อความไม่สงบในเซลล์ในหมู่บ้านสองในสามจากทั้งหมด 1,574 แห่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โครงสร้างแบบเซลล์นี้ทำให้ไม่ต้องใช้เงินทุนสนับสนุนมากนัก ผู้ก่อความไม่สงบบางส่วนใช้เงินทุนสนับสนุนจากการจ้างงานของตนเอง รายงานของกลุ่มวิกฤตระหว่างประเทศปี 2548 ระบุว่า ผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชน เคร่งศาสนา ติดอาวุธไม่ดีและพร้อมสละชีพเพื่ออุดมการณ์ กลางปี 2548 ยอดผู้เสียชีวิตมุสลิมสูงกว่ายอดผู้เสียชีวิตพุทธ ซึ่งเชื่อว่ามุสลิมที่ตกเป็นเป้านั้นใกล้ชิดกับทางการไทยหรือค้านความคิดอิสลามิสต์ จากข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ พบว่า ความถี่ของการก่อเหตุขึ้น ๆ ลง ๆ แต่สูงสุดในปี 2550 (2,409 เหตุการณ์) และ 2555 (1,851 เหตุการณ์) ซึ่งศูนย์ฯ ตั้งข้อสังเกตว่าความถี่ของเหตุการณ์อาจเพิ่มขึ้นและลดลงเป็นวัฏจักรโดยจะมีความถี่สูงสุดทุก 5 ปี ยอดผู้เสียชีวิตรายปีลดลงทุกปีนับแต่ปี 2556 พื้นที่ที่มีการก่อเหตุสูงสุด (มกราคม 2547–เมษายน 2560) อันดับ พื้นที่ จำนวนครั้ง 1 อำเภอเมือง จังหวัดยะลา 1,713 2 อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส 1,191 3 อำเภอรามัน จังหวัดยะลา 1,099 4 อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส 1,054 5 อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา 1,035 6 อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี 1,016 7 อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี 863 8 อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี 840 9 อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี 790 10 อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส 639 ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ตั้งข้อสังเกตว่าพื้นที่ที่มีการก่อเหตุสูงสุดเป็น 7 หัวเมืองประวัติศาสตร์เดิม อันประกอบด้วย เมืองปัตตานี ยะหริ่ง หนองจิก ยะลา รามัน สายบุรี และระแงะ การก่อเหตุ[แก้]ส่วนใหญ่ผู้ก่อเหตุมุ่งเป้าไปยังกำลังความมั่นคงและสัญลักษณ์อำนาจของรัฐไทยอย่างข้าราชการ โรงเรียนและวัด แต่ผู้เสียชีวิตกว่า 90% เป็นพลเรือน มีการตัดศีรษะ แขวนคอและทุบตี มีการฆ่าผู้หญิง เด็ก ครูและพระสงฆ์ และมีการหายตัวอยู่เป็นนิจ การโจมตีระยะแรก ๆ เป็นการประกบยิงใส่นายตำรวจที่ลาดตระเวนจากมือปืนหรือจักรยานยนต์ หลังปี 2544 ลักษณะการก่อเหตุบานปลายเป็นการโจมตีที่มีการประสานงานกันอย่างดีใส่สถานที่ตั้งของตำรวจ เช่น สถานีตำรวจและด่านตรวจ แล้วหลบหนีไปพร้อมกับขโมยอาวุธและเครื่องกระสุน ยุทธวิธีอื่นที่ใช้เพื่อเรียกชื่อเสียงจากความตื่นตระหนกและหวาดกลัว ได้แก่ การฆ่าพระสงฆ์ การวางระเบิดวัด การตัดศีรษะ การข่มขู่พ่อค้าหมูและลูกค้า ตลอดจนการวางเพลิงโรงเรียน ฆ่าครูและอำพรางศพ จุดมุ่งหมายของการก่อเหตุมีลักษณะโจมตีไม่เลือกลดลง และเป็นการโจมตีแก้แค้นมากขึ้น โดยมีกำลังความมั่นคง ข้าราชการและมุสลิมสายกลางเป็นเป้าหมาย มีการใช้ระเบิดแสวงเครื่องขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 5–10 กิโลกรัม สร้างขึ้นจากถึงแก๊สหุงต้ม หรือถังดับเพลิงบรรจุแอมโมเนียมไนเตรตซึ่งมีราคาถูก ระเบิดในภายหลังมีแนวโน้มใช้อุปกรณ์วิทยุจุดแทนโทรศัพท์เคลื่อนที่ และมีการใช้ระเบิดแสวงเครื่องแบบหน่วงเวลา (time-delayed) มากขึ้นเพื่อมุ่งเป้าไปยังผู้รับแจ้งเหตุ การลอบยิง ซึ่งอาจเป็นการซุ่มโจมตีหรือการยิงประกบจากมอเตอร์ไซค์ เป็นวิธีการฆ่าหลัก และเปลี่ยนมามีรูปแบบการแก้แค้นมากขึ้น ความรุนแรงระหว่างมุสลิมด้วยกันเป็นเรื่องการแก่งแย่งอำนาจมาโดยตลอด กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบต้องการไล่พุทธออกจากพื้นที่ ส่วนพุทธที่เหลืออยู่อยู่ในพื้นที่ที่มีอาวุธแน่นหนา การก่อเหตุลอบวางเพลิงลดลง ส่วนหนึ่งเพราะมีทหารคุ้มครอง และบางส่วนเพราะมุสลิมไม่พอใจที่โรงเรียนถูกเผา ผู้ก่อความไม่สงบไม่เต็มใจยิงปะทะและมักเป็นไปเพื่อป้องกันตัว แต่มีแหล่งข่าวระบุว่ามีการยิงปะทะยืดเยื้อเฉลี่ยเดือนละ 4 ครั้ง ในปี 2561 การโจมตีกำลังความมั่นคงลดลงเหลือ 1–2 ครั้งต่อเดือน ยุทธวิธีที่นิยมใช้ยังเป็นการวางระเบิดริมถนนและการยิง มีการใช้ระเบิดท่อเหล็ก เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม79 และปืนเล็กยาวเอ็ม16 ในการก่อเหตุ เบื้องหลัง[แก้]ภูมิหลังประวัติศาสตร์[แก้]ภาพสรุปเหตุการณ์วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทยบทความนี้เป็นส่วนหนึ่งหรือเกี่ยวข้องกับ วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2548–2553 พรรคการเมืองหลักที่เกี่ยวข้อง องค์กร กลุ่มบุคคล ที่เกี่ยวข้อง การเมืองไทย • ประวัติศาสตร์ไทย อดีตรัฐสุลต่านปาตานีซึ่งกินอาณาเขตสามจังหวัดชายแดนใต้ของไทยปัจจุบัน ได้แก่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส ตลอดจนบางส่วนของจังหวัดสงขลาที่อยู่ใกล้เคียง และส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศมาเลเซียส่วนที่อยู่ปลายคาบสมุทรมลายูปัจจุบันถูกราชอาณาจักรรัตนโกสินทร์พิชิตในปี พ.ศ. 2328 สนธิสัญญาอังกฤษ–สยาม พ.ศ. 2452 ยืนยันการปกครองของสยามเหนือดินแดนดังกล่าว ทว่า ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 รัฐบาลรัตนโกสินทร์ปล่อยให้ดินแดนดังกล่าวมีอำนาจปกครองตัวเองเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งการคงกฎหมายอิสลาม จนในปี 2486 จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ริเริ่มกระบวนการแผลงเป็นไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกลืนวัฒนธรรมชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศ รวมทั้งชาวปาตานี ในปี 2487 มีการใช้บังคับกฎหมายแพ่งของไทยในภูมิภาคปาตานีแทนการปกครองแบบอิสลามท้องถิ่นเดิม หลักสูตรในโรงเรียนมีการทบทวนให้ยึดไทยเป็นศูนย์กลาง และสอนเป็นภาษาไทย ศาลมุสลิมตามประเพณีถูกแทนที่ด้วยศาลแพ่งที่รัฐบาลกลางในกรุงเทพมหานครเห็นชอบ การกลืนวัฒนธรรมแบบบังคับนี้เป็นที่ระคายเคืองต่อชาวมาเลย์ปาตานี ในปี 2490 หะยีสุหลง ผู้ก่อตั้งขบวนการประชาชนปาตานี เริ่มการรณรงค์ร้องทุกข์ โดยเรียกร้องอัตตาณัติ สิทธิทางภาษาและวัฒนธรรม และการใช้กฎหมายอิสลาม ในเดือนมกราคม 2491 สุหลงถูกจับฐานกบฏร่วมกับผู้นำท้องถิ่นอื่น และถูกตราว่าเป็น "ผู้แบ่งแยกดินแดน" ในเดือนเมษายน 2491 เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและชาวบ้านไทยมุสลิมเชื้อสายมลายู เรียก กบฏดุซงญอ ต่อมา สุหลงได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำในปี 2495 ก่อนหายตัวไปภายใต้พฤติการณ์น่าสงสัยในปี 2497 ผู้นำปาตานีปฏิเสธการรับรองว่าเป็นชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ และตอบโต้นโยบายของรัฐบาลไทย ขบวนการชาตินิยมปาตานีเริ่มเติบโตขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากอุดมการณ์อย่างนิยมนัสเซอร์ (Nasserism) ในคริสต์ทศวรรษ 1950 โดยในปี 2502 อดุลย์ ณ สายบุรีก่อตั้งขบวนการแนวร่วมปลดแอกแห่งชาติปัตตานี (BNPP) ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏมลายูกลุ่มแรก ตามมาด้วยองค์กรปลดปล่อยสหปัตตานี (PULO) ในปี 2511 ณ เวลาการก่อตั้ง เป้าหมายของกลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ได้แก่การแยกตัวออก มีการเน้นสู่การต่อสู้ด้วยอาวุธสู่รัฐเอกราชซึ่งชาวปาตานีสามารถใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีโดยไม่ถูกบังคับด้วยค่านิยมวัฒนธรรมต่างด้าว หลังจากนั้นมีการกำเนิดกลุ่มแบ่งแยกดินแดนหลายกลุ่มในภาคใต้ แม้มีอุดมการณ์ต่างกันแต่ส่วนใหญ่มีเป้าหมายแบ่งแยกดินแดนร่วมกัน ล้วนใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมาย มีการกำหนดรูปแบบการโจมตีที่ตั้งของตำรวจและทหาร เช่นเดียวกับโรงเรียนและสถานที่ราชการ อย่างไรก็ดี ประสิทธิภาพของกลุ่มเหล่านี้จำกัดด้วยความขัดแย้งภายในและการขาดความเป็นหนึ่งเดียวกัน ขอบเขตของความไม่สงบลดลงอย่างมากในปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 เนื่องจากไม่มีกลุ่มพูโล และรัฐบาลไทยเริ่มเพิ่มงบประมาณในพื้นที่และเพิ่มความเข้าใจในท้องถิ่น จนมีการตั้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอบต.) เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว อย่างไรก็ดี รัฐบาลไทยดำเนินการช้าในการยกฐานะทางเศรษฐกิจในพื้นที่และยังมีการปิดกั้นชาวมลายูมุสลิมในธุรกิจและการปกครองท้องถิ่น จนมีการยุบ ศอบต.:8–9 ความรุนแรงรอบใหม่เริ่มขึ้นในปลายปี 2544 หลังจากนั้นระดับความไม่สงบค่อย ๆ สูงขึ้นในช่วงสองปีถัดมา จนต้นปี 2547 มีปฏิบัติการปล้นอาวุธจากค่ายทหารในจังหวัดนราธิวาส:9 แม้ยังไม่อาจทราบตัวการแน่ชัดและไม่มีข้อเรียกร้องเป็นรูปธรรม แต่มีการระบุว่ากลุ่มที่ได้รับฟื้นฟูอย่าง ขบวนการมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานี (GMIP), บีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต (BRN-C) และฝ่ายติดอาวุธตามอ้าง รุนดากุมปูลันเกอจิล (RKK) เป็นหัวหอกการก่อการกำเริบใหม่นี้ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ[แก้]มีการอ้างว่าความยากจนและปัญหาเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยหนึ่งเบื้องหลังการก่อการกำเริบด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลส่อความว่าภาคใต้ไม่ได้มีปัญหาความยากจน ภาคใต้มีสุขภาพและการเคหะติดอันดับต้น ๆ ของประเทศ ในแง่ของดัชนีความสำเร็จของมนุษย์นั้น จังหวัดภาคใต้ติดอันดับทั้งต้นและท้าย ในแง่ของรายได้ครัวเรือน ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ติดอันดับครึ่งบนของประเทศ ยกเว้นจังหวัดปัตตานี อย่างไรก็ดี จังหวัดดังกล่าวมีปัญหาเรื่องการว่างงานและการกระจายรายได้ ปัจจัยทางการศึกษา[แก้]ในระบบโรงเรียนปอเนาะ (Ponok) ของไทย พบว่ามีบางโรงเรียนที่มีเป้าหมายการแบ่งแยกดินแดน หรือการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ เพื่อตอบโต้รัฐบาลไทย ที่ชาวมุสลิมมลายูในพื้นที่เชื่อว่ากดขี่ข่มเหงพวกเขาชัดเจน ระบบโรงเรียนดังกล่าวถูกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนหัวรุนแรงแทรกซึม แล้วเผยแพร่ลัทธิอุดมการณ์ ซึ่งหน่วยข่าวกรองกองทัพบก ระบุว่า โรงเรียนสอนศาสนากลายเป็นแหล่งบ่มเพาะสมาชิกใหม่ของกลุ่มต่าง ๆ และหัวหน้ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนนั้น ก็สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนปอเนาะ ขบวนการ[แก้]ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี (BRN) ควบคุมกำลังก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้มากที่สุด ขบวนการดังกล่าวมีโครงสร้างแบบแบ่งเป็นส่วนซึ่งให้สมาชิกมีอัตตาณัติและความยืดหยุ่นในการลงมือ มีสภาปกครองเรียก สภาองค์กรนำ (Dewan Pimpinan Parti หรือ DPP) มีสมาชิกเกือบ 10,000 คน ซึ่งร่วมสายข่าว ผู้สนับสนุนและผู้เห็นใจด้วย ในเดือนมกราคม 2560 ดุนเลาะ แวะมะนอเป็นผู้นำกลุ่มแทนสะแปอิง บาซอ ดุนเลาะเป็นที่ทราบกันว่าเป็นสายแข็ง และหลังเขาดำรงตำแหน่งผู้นำ การก่อเหตุในปี 2561 แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนอย่างดีโดยมีการวางระเบิดหลายจุดประสานงานกัน ผู้ก่อความไม่สงบในประเทศไทยมีอุดมการณ์ต่างจากรัฐอิสลามอิรักและลิแวนต์ เพราะต้องการตั้งมาตุภูมิของตนเอง ไม่ใช่รัฐเคาะลีฟะฮ์ข้ามชาติ นอกจากนี้ผู้ก่อความไม่สงบในประเทศไทยยังไม่ใช้วิธีโจมตีฆ่าตัวตาย ไม่เลือกเป้าหมายหรือโจมตีเน้นยอดผู้เสียชีวิตมากเพราะเกรงว่าจะเสียผู้สนับสนุน ขบวนการผู้ก่อความไม่สงบเองก็ไม่มีเอกภาพและมีหลายกลุ่มแยกเช่นเดียวกับรัฐ ผู้อาวุโสและมีประสบการณ์มากกว่ามักมีแรงจูงใจชาตินิยมและศาสนามากกว่า ส่วนนักรบท้องถิ่นด้อยอาวุโสมีความสัมพันธ์กับเครือข่ายอาชญากรท้องถิ่นมากกว่า สเปกตรัมของผู้ก่อความไม่สงบ ระดับ ลักษณะ จือแว "ตัวจริง" อุดมการณ์เข้มแข็ง ฝึกอย่างดี ไม่ยุ่งกับกิจกรรมผิดกฎหมาย มีความรู้ จือแว "ระดับสอง" พวกหัวรุนแรง "ดี" ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ค้าไม้ผิดกฎหมาย ปฏิบัติตามคำสั่ง จือแว "ระดับสาม" พวกหัวรุนแรง "ไม่ดี" ซื้อขายยาเสพติด เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจผิดกฎหมาย ปฏิบัติการอิสระ โจร ใช้ยาเสพติด ปล้น ฆ่าไม่เลือก กลุ่มก่อความไม่สงบปัจจุบันประกาศญิฮัดและไม่ใช่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนอีกต่อไป ส่วนใหญ่มีสายแข็งซาลาฟีเป็นหัวหน้า ซึ่งมีเป้าหมายสุดขั้วและข้ามชาติ อย่างรัฐเคาะลีฟะฮ์อิสลาม โดยไม่มีอัตลักษณ์วัฒนธรรมปาตานีหรือชาตินิยม กลุ่มญิฮัดซาลาฟีเป็นปรปักษ์ต่อมรดกทางวัฒนธรรมและวัตรของมุสลิมมลายูตามประเพณีโดยกล่าวหาว่าทั้งสองสิ่งนี้ไม่เป็นอิสลาม กลุ่มนี้ไม่เดือดร้อนเกี่ยวกับการเป็นชาติเอกราช แต่เป้าหมายคือทำให้ภูมิภาคปาตานีปกครองไม่ได้ เหตุการณ์สำคัญ[แก้]ปี 2547
การพยายามแก้ปัญหาของภาครัฐ[แก้]ปฏิบัติการปราบปรามการก่อการกำเริบของทางการมีระบบราชการที่ล่าช้าและการขาดความเป็นมืออาชีพเป็นอุปสรรค รวมทั้งมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและความไม่ไว้วางใจรัฐบาล นโยบายการตอบสนองต่อความไม่สงบของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ทำให้เหตุการณ์บานปลายยิ่งขึ้น รัฐบาลวางกำลังตำรวจและทหารรวม 24,000 นายในภาคใต้:17 ในปี 2547 กองทัพภาคที่ 4 ตั้งกองบัญชาการส่วนหน้าเพื่อประสานงานปฏิบัติการทางทหารในภาคใต้ ปีเดียวกันมีการประกาศกฎอัยการศึกทั่วจังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ทำให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมบุคคลโดยไม่มีหมายศาล และสามารถค้นและกักขังโดยไม่ต้องแจ้งข้อหาได้:18 มีการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการถึง 3 ครั้งระหว่างปี 2547–49 นอกจากนี้ยังมีการขัดขากันเองของหน่วยงานในกองทัพภาคที่ 4 และการวางกำลังแบบอยู่กับที่ จึงมีผลทำให้ยกชนบทให้แก่ผู้ก่อการกำเริบ ในปี 2548 รัฐบาลตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ เพื่อส่งเสริมสันติภาพและความปรองดองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีการเสนอแนะนโยบายและวิธีดำเนินงานหลายอย่าง แต่รัฐบาลไม่รับทำ หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 รัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ กล่าวขอโทษต่อประชาชนภาคใต้ ปรับปรุงความสัมพันธ์กับประเทศมาเลเซีย และเสนอการปฏิรูปหลายอย่าง แต่มีการปฏิบัติจริงเพียงเล็กน้อย รัฐบาลให้ตั้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ใหม่ แต่กว่าหน่วยงานดังกล่าวจะเข้ามามีบทบาทเข้มแข็งในการประสานงานปฏิบัติการข่าวกรองและยุทธวิธีก็ปลายปี 2552–ต้นปี 2553 หลายรัฐบาลตั้งแต่รัฐบาลทักษิณมาจนถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความไม่สงบต่ำ มีการจัดอาสาสมัครป้องกันหมู่บ้านเพื่ออารักขาครูในพื้นที่ แต่อาสาสมัครดังกล่าวติดอาวุธเบา และไม่มีเครื่องป้องกัน นอกจากนี้ ทหารพรานซึ่งมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเสียมาก มีการชั่งใจในการเลือกเป้าหมายต่ำและมักก่อวิสามัญฆาตกรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างอื่น อาวุธปืนมักเป็นอาวุธที่ปลดประจำการแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก สั่งเพิ่มทหารและการลาดตระเวน ทำให้การก่อเหตุที่สูงสุดในปี 2550 ค่อย ๆ ลดลง ในปี 2554 ทางการมีกำลังความมั่นคงในพื้นที่ 60,000 นาย โดยรวมทหารพราน 10,000 นาย จนถึงปีนั้น รัฐบาลใช้งบประมาณเพื่อพยายามแก้ปัญหาในพื้นที่ 145,000 ล้านบาท ในปี 2550 กองทัพใช้วิธีกักขังหมู่ผู้ต้องสงสัยกว่า 2,000 คน ในคดีความมั่นคงกว่า 7,400 คดีนั้น ปิดคดีไม่ได้กว่า 77% และชาวบ้านที่ถูกตำรวจจับจนถึงปี 2554 นั้นมีเพียง 19% ที่ถูกตั้งข้อหา ศาลสั่งปล่อยตัวผู้ต้องขังกว่า 90% ด้านกองทัพใช้วิธีกักขังซึ่งอาจนานถึง 12 ถึง 18 เดือน แล้วหลังปล่อยตัวไม่ได้รับให้กลับภูมิลำเนาเดิม รัฐบาลอภิสิทธิ์อัดฉีดงบประมาณพัฒนาห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ปี 2552–2555 เป็นจำนวน 63,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีนโยบายลงโทษ "พื้นที่สีแดง" คือ จะให้งบประมาณแก่พื้นที่ที่มีอัตราความไม่สงบต่ำ นอกจากนี้ยังมีองค์การนอกภาครัฐระบุว่างบพัฒนาหายไป 20% และหลายคนเสนอว่างบประมาณอาจไปสนับสนุนฐานเสียงพรรคประชาธิปัตย์ วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งนายกรัฐมนตรี กำหนดให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คผบ.จชต.) ประกอบด้วย ประธาน 1 คน และคณะกรรมการ 5 คน ซึ่งมี 5 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านความมั่นคง 2. ด้านการต่างประเทศ 3. ด้านการศึกษา 4. ด้านเศรษฐกิจ และ 5. ด้านสังคมพหุวัฒนธรรม มีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานคณะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2564 นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งหมด 5 รายชื่อ ประกอบด้วย 1. พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ด้านความมั่นคง 2. รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ด้านการต่างประเทศ 3. นายเชื่อง ชาตอริยะกุล ด้านเศรษฐกิจ 4. นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ด้านการศึกษา 5. นายดลเดช พัฒนรัฐ ด้านสังคมพหุวัฒนธรรม งบประมาณแผ่นดินเพื่อการแก้ปัญหาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน่วย: ล้านบาท) การเจรจา[แก้]รัฐบาลไทยเจรจาโดยอ้อมกับผู้ก่อความไม่สงบตั้งแต่สมัยนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร แต่ไม่ใช่ทุกกลุ่มที่เห็นชอบกับการเจรจา ผู้นำองค์การปัตตานีมีการประชุมกันทุก 2 เดือนในประเทศมาเลเซีย โดยองค์การข่าวกรองภายนอกและกระทรวงกลาโหมมาเลเซียเป็นผู้ผลักดัน แต่การเจรจาไม่มีความคืบหน้าตั้งแต่ปี 2550 ผู้นำกลุ่ม BRN-C ที่ก่อเหตุมากที่สุด ไม่เห็นประโยชน์ของการเจรจา รวมทั้งสมาชิกเข้าร่วมการประชุมในมาเลเซียแต่ไม่ยอมเจรจากับรัฐบาลไทย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ผู้แทนรัฐบาลยิ่งลักษณ์และกลุ่ม BRN ลงนาม "ฉันทามติทั่วไปว่าด้วยกระบวนการเจรจาสันติภาพ" ที่แสดงเจตนาของรัฐบาลที่จะเจรจากับผู้ก่อความไม่สงบ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยรับรองกลุ่มก่อความไม่สงบอย่างเปิดเผย:3 อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์มองว่าทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ริเริ่มนโยบายดังกล่าว และมองว่าเขาต้องการแก้ไขภาพลักษณ์ของตนที่ดำเนินนโยบายผิดพลาดในสมัยรัฐบาลเขา และสภาผู้นำ BRN ไม่รับรองการเจรจาดังกล่าว ต่อมา BRN มอบหมายให้ผู้นำสายแข็งสองคนก่อนการประชุมรอบแรกในเดือนมีนาคม 2556:3–4 BRN ออกข้อเรียกร้องห้าข้อในรูปวิดีทัศน์ทางยูทูบก่อนการประชุมรอบแรก ซึ่งในการประชุมรอบสองในเดือนเมษายน 2556 รัฐบาลแถลงว่ากำลังพิจารณาเพิกถอนหมายจับผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบซึ่งเป็นข้อเรียกร้องหนึ่ง ในการประชุมรอบสามในเดือนมิถุนายน ผู้แทน BRN ตกลงว่าจะพยายามลดความรุนแรง:4–5 การเจรจาดังกล่าวทำให้เกิดข้อริเริ่มสันติภาพเราะมะฎอนซึ่งมุ่งลดความรุนแรงในช่วงถือศีลอด:5 วันที่ 12 กรกฎาคม ประเทศมาเลเซียประกาศว่าทั้งสองฝ่ายพยายามลดความรุนแรงตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคมถึง 18 สิงหาคม:5 อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ระเบิดแสวงเครื่องและการตอบโต้ของทางการทำให้การลดความรุนแรงล้มเหลว วันที่ 6 สิงหาคม มีวิดีทัศน์จากกลุ่ม BRN ว่ากลุ่มระงับการเจรจากับรัฐบาลไทย:6 ในเดือนเมษายน 2560 กลุ่มบีอาร์เอ็นออกแถลงการณ์เรียกร้องเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลไทย โดยให้มีตัวกลางไกล่เกลี่ยที่เป็นกลางจริง ๆ มีอำนวยการ แต่บีอาร์เอ็นจะรอจนฝ่ายการเมืองของกลุ่มมีความพร้อมเสียก่อน และจะไม่เจรจาหากถูกกดดัน ต่อมาได้มีการแต่งตั้งหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ จาก พล.อ.อักษรา เกิดผล เป็น พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ และมี พล.ต.อ.ตัน สรี อับดุล ราฮิม บินโมฮัมหมัด นูร์ เป็นหัวหน้าคณะผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประเทศมาเลเซีย คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้[แก้]ผลกระทบ[แก้]ระหว่างปี 2547–2552 มีมุสลิมเสียชีวิต 2,337 คน พุทธเสียชีวิต 1,607 คน มุสลิมได้รับบาดเจ็บ 2,389 คน และพุทธได้รับบาดเจ็บ 4,207 คน จนถึงปี 2554 ความไม่สงบทำให้เกิดหญิงหม้าย 2,100 คนและเด็กกำพร้า 5,000 คน ในปี 2562 ยอดเด็กกำพร้าในพื้นที่เพิ่มเป็น 9,800 คน ผลทำให้ประชากรพุทธกว่า 20% หนีออกจากพื้นที่ ชาวพุทธที่เหลือส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมือง ชาวพุทธในชนบทส่วนมากอยู่รวมกันโดยติดอาวุธแน่นหนา มีผู้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าที่การก่อเหตุลดลงเพราะผู้ก่อเหตุประสบความสำเร็จในการขับไล่ชาวพุทธบางส่วนออกจากพื้นที่ ผลจากการฆ่าพระสงฆ์ในพื้นที่ทำให้สภาสงฆ์นราธิวาสสั่งงดบิณฑบาต ทำให้ชาวพุทธในพื้นที่เสียกำลังใจ เหตุการณ์ดังกล่าวยังทำให้มีการลงมือตอบโต้กับนักบวชและครูมุสลิม ในเดือนมิถุนายน 2552 เกิดเหตุแก้แค้นโจมตีมัสยิดในอำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ถูกกลุ่มมือปืนโจมตี ซึ่งมีผู้ต้องสงสัยเป็นกลุ่มอาสาสมัครหมู่บ้านและมีผู้สนับสนุนระดับสูง อัตรามารดาเสียชีวิตขณะคลอดในจังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาสคิดเป็น 9% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานประเทศสามเท่า โดยสาเหตุมาจากความรุนแรงทำให้ไม่ได้รับการฝากครรภ์อย่างเหมาะสม อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นสองเท่าระหว่างปี 2546 ถึง 2549 อัตราตายทารกสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ 30% นอกจากนี้ยังมีปัญหาไม่ได้แจ้งเกิด ไม่ได้รับวัคซีนและทุพโภชนาการ ปัญหาความไม่สงบยังทำให้ขาดแคลนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ โดยมีการขอย้ายออกกว่า 9,000 คน และคงเหลือพยาบาลภาครัฐในห้าจังหวัดใต้สุดของประเทศ 1,300 คน ดูเพิ่ม[แก้]
อ้างอิง[แก้]
|