ไข้เลือดออก (Dengue fever) คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรคสู่คนผ่านการกัดของยุงลายที่เคยกัดคนที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี 1 ใน 4 สายพันธุ์ (DENV-1—DENV-4) ที่ทำให้เป็นโรคไข้เลือดออก ผู้ที่เป็นไข้เลือดออกอาจไม่มีอาการใด ๆ ไปจนถึงมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน มีจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามผิวหนัง ไข้เลือดออกรุนแรงอาจทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ช็อก และเสียชีวิต ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว Show
ไข้เลือดออก สาเหตุเกิดจากอะไร?ไข้เลือดออก (Dengue fever) มีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus: DENV) 1 ใน 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 หรือ DENV-4 ผ่านการกัดของยุงลายบ้าน หรือยุงไข้เหลืองเพศเมีย (Aedes aegypti) สัตว์พาหะนำโรคที่ชอบออกหากินในเวลากลางวัน เมื่อยุงลายพาหะกัดและดูดเลือดผู้ที่มีเชื้อไวรัสเดงกีในระยะที่มีไข้หรือในระยะไวรัสแพร่กระจายในกระแสเลือด ไวรัสเดงกีจะเข้าไปฝังตัวภายในเซลล์ผนังกระเพาะอาหารและต่อมน้ำลายของยุงลายพาหะ และจะเข้าสู่ระยะฟักตัวและเพิ่มจำนวนใน 8 - 12 วัน จากนั้นเมื่อยุงลายพาหะไปกัดผู้อื่น เชื้อไวรัสเดงกีจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ที่ถูกกัดจนทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้มีอาการของโรคไข้เลือดออกภายใน 3 - 15 วัน ไข้เลือดออก มีอาการอย่างไร?ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี (DENV) ที่เป็นสาเหตุของโรคไข้เลือดออกครั้งแรกกว่าร้อยละ 90 มักไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรงคล้ายไข้หวัดธรรมดา โดยเริ่มมีอาการใน 4-10 วันหลังจากที่โดนยุงลายพาหะกัดและผ่านพ้นระยะฟักตัวของไวรัสไปแล้ว ในกรณีที่เป็นผู้ติดเชื้อไวรัสเดงกีเป็นครั้งที่ 2 และเป็นเชื้อไวรัสเดงกีต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาการของไข้เลือดออกอาจพัฒนาไปสู่การเป็นโรคไข้เลือดออกรุนแรง (Dengue hemorrhagic fever) อาการไข้เลือดออกแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
การวินิจฉัยไข้เลือดออก มีวิธีการอย่างไร?แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกโดยการซักประวัติหากสัมผัสกับยุงลาย มีประวัติการเดินทางไปยังถิ่นระบาด รวมถึงการตรวจร่างกายเบื้องต้นเพื่อประเมินอาการ และแยกโรคไข้เลือดออกจากโรคที่มีความคล้ายคลึงกัน เช่น ไข้หวัด ไข้ซิก้า ไข้ชิคุนกุนยา หรือไข้มาลาเรีย โดยแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกเพิ่มเติมด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
การรักษาไข้เลือดออก มีวิธีการอย่างไร?ทันทีที่ได้รับการยืนยันผลการตรวจ แพทย์จะให้การรักษาโรคไข้เลือดออกด้วยการช่วยให้ร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ผู้ที่มีอาการในระยะไข้สูงจนถึงระยะวิกฤตที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีสารน้ำรั่วไหลในร่างกาย แพทย์จะให้การดูแลอย่างใกล้ชิดในช่วง 24-48 ชั่วโมงเพื่อป้องกันภาวะช็อก และให้การรักษาด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
ในการรักษา แพทย์มีความจำเป็นที่จะต้องทำการเจาะเลือดเป็นระยะเพื่อตรวจค่าเลือด ทั้งนี้เพื่อเฝ้าระวังภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวลดต่ำ เม็ดเลือดแดงเข้มข้น หรือความดันโลหิตต่ำ ภาวะแทรกซ้อน ไข้เลือดออกเป็นอย่างไร?
ไข้เลือดออก เป็นซ้ำได้หรือไม่?ตลอดชีวิต มนุษย์สามารถติดเชื้อไวรัสเดงกีทั้ง 4 สายพันธุ์ซ้ำได้หลายครั้ง โดยหากเคยติดเชื้อสายพันธ์ใดสายพันธ์หนึ่งแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์นั้นไปตลอดชีวิตแต่จะไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเดงกีในอีก 3 สายพันธุ์ทีเหลือหรือมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นเพียงชั่วคราว โดยอาการของโรคไข้เลือดออกจะทวีความรุนแรงขึ้นในการเป็นไข้เลือดออกครั้งที่ 2, 3 หรือ 4 การป้องกัน ไข้เลือดออกมีวิธีการอย่างไร?
การปฐมพยาบาลไข้เลือดออกเบื้องต้น มีวิธีการอย่างไร?
วัคซีนไข้เลือดออกในปัจจุบัน ไข้เลือดออกสามารถป้องกันได้โดยการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ ชนิดใหม่ (New 4 serotype dengue fever vaccine) ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันไวรัสเดงกีที่ครอบคลุมทั้ง 4 สายพันธุ์ โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4-60 ปี ทั้งในคนที่เคยเป็น หรือไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อนโดยไม่จำเป็นเจาะเลือดหาภูมิต้านทาน วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ ชนิดใหม่ เป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ถึง 80.2% ช่วยลดโอกาสการเป็นโรคไข้เลือดออกซ้ำ และช่วยป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้ถึง 90.4% ไข้เลือดออก ภัยร้ายใกล้ตัว ที่ป้องกันและรักษาได้ไข้เลือดออกเป็นภัยร้ายที่อาจทำอันตรายถึงชีวิต เป็นโรคประจำถิ่นที่พบมากในประเทศเขตร้อน และมักมีวงจรการระบาดในช่วงฤดูฝน ปัจจุบัน มีผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกทุกปี และยังไม่มียาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโรคไข้เลือดออกโดยเฉพาะ การป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกทั้งผู้ที่ไม่เคยเป็น และผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นโรคซ้ำ จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกได้ ผู้ที่มีอาการไข้สูงลอย อาเจียนอย่างต่อเนื่อง ปวดท้องอย่างรุนแรง ชีพจรเต้นเบาเร็ว ปัสสาวะออกน้อย รู้สึกกระสับกระส่าย อ่อนเพลียอย่างมาก และมีอาการซึม ควรรีบพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่มีความชำนาญเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที ทั้งนี้เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน และช่วยรักษาอาการของโรคไข้เลือดออกให้หายได้โดยเร็ว |