กรรมการ เชฟ กระทะ เหล ก ม ใคร บ าง

ในปี พ.ศ. 2565 ได้มีการปรับรูปแบบการแข่งขันเป็นรูปแบบ One-On-One Battle โดยในการแข่งขันรอบปกติจะมีการตัดเชฟผู้ช่วยออกทุก ๆ 20 นาที จำนวน 2 ครั้ง และในรอบ One-On-One Battle จะเหลือเพียงเชฟผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็กที่ต้องทำอาหารแข่งขันกันแบบตัวต่อตัวตามชื่อการแข่งขัน

พิธีกร[แก้]

รายการเชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย ได้มีการปรับเปลี่ยนพิธีกรดังนี้

ผู้ดำเนินรายการปัจจุบัน[แก้]

  • นภัสรัญชน์ มิตรธีรโรจน์ (11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 - ปัจจุบัน)
  • ไดอาน่า จงจินตนาการ (19 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน และ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561 - ปัจจุบัน)

ผู้ดำเนินรายการอดีต[แก้]

  • ชาคริต แย้มนาม (25 มกราคม พ.ศ. 2555 - 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560)
  • ศกุนตลา เทียนไพโรจน์ (11 พฤศจิกายน พ.ศ 2560 - 20 ตุลาคม พ.ศ. 2561)

ระยะเวลาในการออกอากาศ[แก้]

สถานีโทรทัศน์ที่ออกอากาศ วัน เวลา ช่วงระหว่าง สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 พุธ 23:00 - 01:00 น. 25 มกราคม พ.ศ. 2555 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 23:15 - 01:15 น. 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557 - 25 มีนาคม พ.ศ. 2558 เสาร์ 12:00 - 13:00 น. 4 เมษายน พ.ศ. 2558 - 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558 11:45 - 12:45 น. 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558 - 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560 11:45 - 13:00 น. 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 - 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 12:00 - 13:15 น. 3 มีนาคม พ.ศ. 2561 - 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561 สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เอชดี 23 มิถุนายน พ.ศ. 2561 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 18.00 - 19.50 น. 18 มิถุนายน พ.ศ. 2565 - ปัจจุบัน 20.30 - 22.20 น. ในบางโอกาส

ในช่วงปี พ.ศ. 2564 เนื่องจากสถานการณ์การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศไทย ทางรายการจึงมีการยุติการออกอากาศชั่วคราว โดยออกอากาศเทปสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2564 และตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ทางรายการได้นำตอนที่ออกอากาศในปี พ.ศ. 2564 นำมารีรันใหม่ในเวลาเดียวกัน (อาจมีของปี พ.ศ. 2563 มาออกอากาศบ้าง) และจะออกอากาศตอนใหม่ตามปกติตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

รูปแบบของรายการในอดีต[แก้]

รูปแบบที่ 1[แก้]

ใช้ในวันที่ 25 มกราคม – 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ช่วงประลองยุทธ์[แก้]

3 ผู้เข้าแข่งขันที่ได้รับการคัดเลือกจากประธานสรรหาทั้ง 3 ท่าน จะต้องทำการประลองยุทธ์กับทีม เชฟกระทะแหลก (ดารารับเชิญ 6 ท่าน) ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นแสดงภาพผู้เข้าแข่งขันทั้ง 3 ท่าน เวลาแข่งขัน โดยตัดภาพทีม เชฟกระทะแหลก ออกไป เนื่องจากมีผู้ชมจำนวนมากไม่พอใจเกี่ยวกับท่าทางในการทำอาหารด้าน เชฟกระทะแหลก ผู้เข้าแข่งขันจะได้รับวัตถุดิบหลักในการทำอาหารคนละ 1 อย่างตามจำนวนที่จำกัดไว้ โดยทำการจับฉลากล่วงหน้า ซึ่งผู้เข้าแข่งขัน ก็ไม่สามารถทราบว่า ได้วัตถุดิบคืออะไร และจะทำอย่างไร ให้วัตถุดิบปริศนาถูกแปลงสภาพมาเป็นอาหารชั้นเลิศตามเวลาที่กำหนดให้ (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 15 นาที)

ช่วงนักชิมปริศนา[แก้]

3 ผู้เข้าแข่งขัน จะได้รับโจทย์การทำอาหาร ให้กลุ่มผู้ชิมที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสัปดาห์ ยกตัวอย่างเช่น “ทำอาหารแคลลอร์รี่ต่ำ” ให้สาวงาม 20 คน หรือ นักมวย 30 คน เป็นต้น ผู้แข่งขันเพียง 1 คน จะได้รับการคัดเลือกเข้าไปเป็น ผู้ท้าชิง กับ เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 20 นาที)

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก[แก้]

เชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก และ เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีน) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและเวลาเป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 60 นาที) มีการนำเสนอ, การแสดงความคิดเห็น และการตัดสิน หลังผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็ก ทำอาหารเสร็จเรียบร้อย จะต้องนำเสนออาหารของตัวเองต่อกรรมการก่อนชิม จากนั้นคณะกรรมการจะทำการแสดงความคิดเห็น พร้อมตัดสินว่า...อาหารจานใดระหว่าง เชฟผู้ท้าชิง หรือ เชฟกระทะเหล็ก จะมีรสชาติชนะใจกรรมการ ในกรณีที่ผลการแข่งขันเสมอกัน จะมีการแข่งขันแบบต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที โดยเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหารเพิ่มขึ้นอีก 1 เมนู โดยใช้วัตถุดิบพิเศษที่รายการกำหนดไว้ให้

รูปแบบที่ 2[แก้]

ช่วงสรรหาผู้ท้าชิงและเมนูพิเศษเฉพาะตัว[แก้]

ประธานสรรหาทั้ง 3 คน จะทำการคัดสรรเชฟที่มีฝีมือจากทั่วสารทิศ มาเป็น เชฟผู้ท้าชิง พร้อมกับดารารับเชิญ 3 ท่าน หรืออาจจะมากกว่านั้น ซึ่งเชฟผู้ท้าชิงจะมาทำอาหารเมนูพิเศษตามความถนัดของตนเอง จากแบบทดสอบพิเศษ ซึ่งจะเปลี่ยนไปในแต่ละสัปดาห์ เวลาที่กำหนดในการทำอาหาร คือ 30 นาที โดยจะมีรูปแบบแบบทดสอบพิเศษต่างๆ กันไป ดังนี้

  • แบบเมนูประจำตัว (Signature Dish) เชฟผู้ท้าชิง จะทำอาหารด้วยวัตถุดิบที่เชฟจัดเตรียมมาสำหรับการนำเสนอเมนูของตัวเองโดยเฉพาะ
  • แบบอาหารตามสั่ง (Made To Order) เชฟผู้ท้าชิง จะทำอาหารจากโจทย์วัตถุดิบหลักและโจทย์รูปแบบการทำอาหาร ในไตล์ต่างๆ อาทิเช่น ไทย, จีน, ยุโรป และอื่นๆ ที่ทางรายการกำหนดมาให้ ซึ่งเปรียบเสมือนการรับรายการจากลูกค้าในรูปแบบอาหารตามสั่ง ให้ประธานสรรหาและดารารับเชิญ 3 ท่านชิมกัน
  • แบบ 3 วัตถุดิบปริศนา (Secret Ingredient) เชฟผู้ท้าชิง จะทำอาหารจากโจทย์วัตถุดิบปริศนา ที่ทางรายการกำหนดให้จำนวน 3 อย่าง โดยจะต้องชูรสชาติ ของวัตถุดิบลับทั้ง 3 อย่างให้ได้มากที่สุด ในบางครั้งทางรายการจะบอกวัตถุดิบปริศนามาก่อน 1 อย่าง โดยวัตถุดิบปริศนา 2 อย่างที่เหลือ จะถูกเลือกผ่านมาจาก นักช็อปปริศนา ให้ประธานสรรหาและดารารับเชิญ 3 ท่านชิมกัน
  • แบบบอกคำปริศนา (Story Telling) เชฟผู้ท้าชิง จะทำอาหารจากโจทย์ปริศนา 1 ประโยคจากบุคคลพิเศษ เพื่อสื่อถึงปริศนานั้น ซึ่งเปรียบเสมือนการเล่าเรื่องราวศิลปะต่างๆ ผ่านจานอาหารนั้นๆ ให้ประธานสรรหาและดารารับเชิญ 3 ท่านชิมกัน
  • แบบเครื่องมือปริศนา (Secret Equipment) เชฟผู้ท้าชิง จะทำอาหารจากโจทย์อุปกรณ์ปริศนา ที่ทางรายการกำหนดให้จำนวน 1 ชิ้น โดยเชฟผู้ท้าชิงต้องใช้อุปกรณ์ปริศนานั้น เป็นอุปกรณ์หลักในการทำอาหาร ให้ประธานสรรหาและดารารับเชิญ 3 ท่านชิมกัน
  • แบบนักชิมปริศนา (Mystery Judges) เชฟผู้ท้าชิง จะต้องทำอาหารจานพิเศษ สำหรับกลุ่มนักชิมปริศนา โดยตอบโจทย์ความต้องการของนักชิมปริศนา ให้เสร็จทันเวลาที่กำหนดและครบตามจำนวนนักชิม

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก[แก้]

เชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก และ เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีน) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและเวลาเป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 60 นาที) มีการนำเสนอ, การแสดงความคิดเห็น และการตัดสิน หลังผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็ก ทำอาหารเสร็จเรียบร้อย จะต้องนำเสนออาหารของตัวเองต่อกรรมการก่อนชิม จากนั้นคณะกรรมการจะทำการแสดงความคิดเห็น พร้อมตัดสินว่า...อาหารจานใดระหว่าง เชฟผู้ท้าชิง หรือ เชฟกระทะเหล็ก จะมีรสชาติชนะใจกรรมการ ในกรณีที่ผลการแข่งขันเสมอกัน จะมีการแข่งขันแบบต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที โดยเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหารเพิ่มขึ้นอีก 1 เมนู โดยใช้วัตถุดิบพิเศษที่รายการกำหนดไว้ให้

ช่วงโรงเรียนกระทะเหล็ก[แก้]

เชฟกระทะเหล็ก จะมาสาธิตการทำอาหารให้แก่ดารารับเชิญและผู้ชมทางบ้านที่สมัครเข้ารวมรายการ รวม 6 ท่าน หรืออาจจะมากกว่านั้น และทุกวันพุธสุดท้ายของแต่ละเดือน เชฟผู้ท้าชิงที่เคยแข่งขันในรายการ จะมาสาธิตการทำอาหารแทนเชฟกระทะเหล็ก หลังจากนั้นจะเลือกผู้ร่วมรายการ 2 ท่าน มาทำอาหารตามเชฟกระทะเหล็กหรือเชฟผู้ท้าชิงที่เคยแข่งขันในรายการ ซึ่งผู้ร่วมรายการที่เหลือ 4 คน จะทำการชิมและให้คะแนนว่าอาหารที่คนไหนทำ อร่อยกว่ากัน คนที่ได้คะแนนมากกว่า จะได้เป็น นักเรียนดีเด่น และได้รับประกาศนียบัตรเป็นของที่ระลึก

รูปแบบที่ 3[แก้]

ประชันวัตถุดิบ[แก้]

จะมีวัตถุดิบ 2 ชนิดออกมาให้ได้ชมกัน โดยหนึ่งในนั้นจะเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้แข่งในวันนั้นจริงๆ หรือบางครั้งอาจจะไม่เกี่ยวกับวัตถุดิบเลย แต่จะเป็นการทำอาหารให้แขกรับเชิญได้รับประทานกัน โดยจะมีเชฟประสพโชค ตระกูลแพทย์ (เชฟอาร์ต), เชฟบรรณ บริบูรณ์ (เชฟอิ๊ค), เชฟธัชพล ชุมดวง (เชฟตูน) สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา สัปดาห์ละ 2 คนเพื่อเป็นตัวแทนและนำเสนอวัตถุดิบอย่างละฝ่าย พร้อมทั้งทำอาหารจากวัตถุดิบนั้นๆ ให้กับแขกรับเชิญได้รับประทานด้วย

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก[แก้]

เชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก และ เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีน) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและเวลาเป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน (เวลาที่กำหนดในการแข่งขัน คือ 60 นาที) มีการนำเสนอ, การแสดงความคิดเห็น และการตัดสิน หลังผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็ก ทำอาหารเสร็จเรียบร้อย จะต้องนำเสนออาหารของตัวเองต่อกรรมการก่อนชิม จากนั้นคณะกรรมการจะทำการแสดงความคิดเห็น พร้อมตัดสินว่า...อาหารจานใดระหว่าง เชฟผู้ท้าชิง หรือ เชฟกระทะเหล็ก จะมีรสชาติชนะใจกรรมการ ในกรณีที่ผลการแข่งขันเสมอกัน อาจจะมีการแข่งขันแบบต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที โดยเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหารเพิ่มขึ้นอีก 1 เมนู โดยใช้วัตถุดิบพิเศษที่รายการกำหนดไว้ให้ หรืออาจจะไม่มีการต่อเวลา และคงผลเสมอไว้เช่นเดิม

รูปแบบที่ 4[แก้]

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก[แก้]

รูปแบบจะคล้ายคลึงกับ เชฟกระทะเหล็ก ประเทศสหรัฐอเมริกา (อังกฤษ: Iron Chef America) ซึ่งเชฟทั้งสองฝ่ายจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เหมือนเดิม โดยภายใน 20 นาทีแรกนั้น เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหาร 1 เมนู ให้เสร็จเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟด้วยตนเองให้กับคณะกรรมการได้ชิมกันจานต่อจาน โดยคณะกรรมการ 3 คน จะทำการชิมพร้อมกับแสดงความคิดเห็นและให้คะแนนกันแบบระบบเวลาจริงเลย มีคะแนนส่วนนี้ให้ 5 คะแนน ถ้าทำไม่ทัน คะแนนส่วนนี้จะเป็น 0 คะแนนโดยทันที จากนั้นอีก 40 นาทีที่เหลือเชฟทั้งสองฝ่าย ต้องรังสรรค์อย่างน้อย 4 เมนูให้เสร็จทันเวลา ที่มากไปกว่านั้นเพื่อเพิ่มความท้าทายและความกดดันให้กับเชฟทั้งสองฝ่าย ท่านประธานสันติได้เพิ่ม โจทย์พิเศษ (Culinary Curve Ball) ที่สามารถเป็นได้ทั้งวัตถุดิบหรืออุปกรณ์เสริม ซึ่งเชฟทั้งสองฝ่าย ต้องใช้โจทย์พิเศษนี้เป็นองค์ประกอบในเมนูใดเมนูหนึ่งให้ได้นั้นเอง ซึ่งเราจะได้ประหลาดใจไปกับวิธีการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าของเชฟแต่ละท่าน แถมยังได้เห็นถึงจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา มีคะแนนส่วนนี้ให้ 5 คะแนน และคณะกรรมการ 3 คน ทำการให้คะแนน โดยจะพิจารณาจากคะแนนด้านรสชาติความอร่อย 10 คะแนน, ด้านความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์ 5 คะแนน และด้านความสามารถในการดึงรสชาติของวัตถุดิบหลัก 5 คะแนน

ช่วงโรงเรียนกระทะเหล็ก[แก้]

เชฟกระทะเหล็ก จะมาสาธิตการทำอาหารให้แก่ดารารับเชิญและผู้ชมทางบ้านที่สมัครเข้ารวมรายการ รวม 6 ท่าน หรืออาจจะมากกว่านั้น และทุกวันพุธสุดท้ายของแต่ละเดือน เชฟผู้ท้าชิงที่เคยแข่งขันในรายการ จะมาสาธิตการทำอาหารแทนเชฟกระทะเหล็ก หลังจากนั้นจะเลือกผู้ร่วมรายการ 2 ท่าน มาทำอาหารตามเชฟกระทะเหล็กหรือเชฟผู้ท้าชิงที่เคยแข่งขันในรายการ ซึ่งผู้ร่วมรายการที่เหลือ 4 คน จะทำการชิมและให้คะแนนว่าอาหารที่คนไหนทำ อร่อยกว่ากัน คนที่ได้คะแนนมากกว่า จะได้เป็น นักเรียนดีเด่น และได้รับประกาศนียบัตรเป็นของที่ระลึก

รูปแบบที่ 5[แก้]

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก[แก้]

เชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก แนวอินโนเวทีฟ, เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีนร่วมสมัย, เชฟกระะทะเหล็ก อาหารหวาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารเอเชี่ยนทวิสต์คิวชีน และเชฟกระทะเหล็ก อาหารยุโรป) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน โดยภายใน 20 นาทีแรกนั้น เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหาร 1 เมนู ให้เสร็จเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟด้วยตนเองให้กับคณะกรรมการได้ชิมกันจานต่อจาน โดยคณะกรรมการ 3 คน จะทำการชิมพร้อมกับแสดงความคิดเห็นและให้คะแนนกันแบบระบบเวลาจริงเลย มีคะแนนส่วนนี้ให้คนละ 5 คะแนน ถ้าทำไม่ทัน คะแนนส่วนนี้จะเป็น 0 คะแนนโดยทันที จากนั้นอีก 40 นาทีที่เหลือเชฟทั้งสองฝ่าย ต้องรังสรรค์อย่างน้อย 4 เมนูให้เสร็จทันเวลา

การตัดสิน[แก้]

คณะกรรมการ 3 คน จะทำการชิมอาหารและแสดงความคิดเห็นให้กับเชฟทั้งสองฝ่าย จากนั้นคณะกรรมการ 3 คน จะทำการให้คะแนน โดยจะพิจารณาจากคะแนนด้านจานแรกคนละ 5 คะแนน, รสชาติความอร่อยคนละ 10 คะแนน, ด้านความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์คนละ 5 คะแนน และด้านความสามารถในการดึงรสชาติของวัตถุดิบหลักคนละ 5 คะแนน รวม 75 คะแนน

รูปแบบที่ 6[แก้]

ใช้ในวันที่ 8 กรกฎาคม – 9 กันยายน พ.ศ. 2560

ช่วง World Ingredient ภารกิจตามล่าวัตถุดิบสุดขอบโลก[แก้]

ในช่วงนี้ จะมีลักษณะคล้ายกับช่วงประชันวัตถุดิบในรูปแบบที่ 3 แต่จะเป็นการให้พิธีกรร่วม 2 ท่านคือ เบญจพล เชยอรุณ (กอล์ฟ) และ ชล วจนานนท์ (ชลลี่) มานำเสนอวัตถุดิบที่จะให้ประธานสันติเป็นผู้คัดเลือก เพื่อนำมาใช้ในการแข่งขัน และผู้ชมทางบ้านจะสามารถร่วมสนุกว่าประธานสันติจะเลือกวัตถุดิบชนิดใด เพื่อชิงบัตรกำนัลมูลค่า 10,000 บาท

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก[แก้]

เชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารไทย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก แนวอินโนเวทีฟ, เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีนร่วมสมัย, เชฟกระะทะเหล็ก อาหารหวาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารเอเชี่ยนทวิสต์คิวชีน และเชฟกระทะเหล็ก อาหารยุโรป) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน โดยภายใน 20 นาทีแรกนั้น เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหาร 1 เมนู ให้เสร็จเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟด้วยตนเองให้กับคณะกรรมการได้ชิมกันจานต่อจาน จากนั้นอีก 40 นาทีที่เหลือเชฟทั้งสองฝ่าย ต้องรังสรรค์อย่างน้อย 4 เมนูให้เสร็จทันเวลา

การตัดสิน[แก้]

คณะกรรมการ 3 คน จะทำการชิมอาหารและแสดงความคิดเห็นให้กับเชฟทั้งสองฝ่าย จากนั้นคณะกรรมการ 3 คน จะทำการให้คะแนน โดยจะพิจารณาจากคะแนนด้านจานแรกคนละ 5 คะแนน, รสชาติความอร่อยคนละ 10 คะแนน, ด้านความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์คนละ 5 คะแนน และด้านความสามารถในการดึงรสชาติของวัตถุดิบหลักคนละ 5 คะแนน รวม 75 คะแนน

แบบที่ 7[แก้]

ใช้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 – 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก[แก้]

เชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตก แนวอินโนเวทีฟ, เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีนร่วมสมัย, เชฟกระะทะเหล็ก อาหารหวาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารเอเชี่ยนแนวผสมผสาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตกแนวผสมผสาน และเชฟกระทะเหล็ก อาหารฝรั่งเศส) โดยทั้งสองฝ่ายจะมีวัตถุดิบหลักและจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องรังสรรค์ 5 เมนู ให้เสร็จทันเวลา จากนั้นเมื่อผ่านไป 45 นาที จะมีวัตถุดิบปริศนา (Culinary Curve Ball) ซึ่งเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องนำวัตถุดิบปริศนามาใช้ทำอาหารเป็นวัตถุดิบหลักในเมนูสุดท้ายจาก 5 เมนู (มีเพียงเทปวันที่ 11 และ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ที่ใช้กติกาจากรูปแบบรายการแบบที่ 4 คือเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องนำวัตถุดิบปริศนานำมาประกอบการรังสรรค์อย่างน้อย 1 เมนูจาก 5 เมนู)

การตัดสิน[แก้]

จะมีคณะกรรมการ 3 และ 4 คน จะทำการให้คะแนน ซึ่งเกณฑ์การตัดสินคะแนนจะพิจารณาด้านความอร่อย 50 คะแนน, ความคิดสร้างสรรค์เมนู 25 คะแนน, ความคิดสร้างสรรค์ตกแต่งจาน 25 คะแนน และการชูวัตถุดิบหลัก 50 คะแนน รวม 150 คะแนน (ในช่วงวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 - 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 จะใช้เกณฑ์การตัดสินจะพิจารณาด้านความอร่อย 10 คะแนน, ความคิดสร้างสรรค์และตกแต่งจาน 5 คะแนน, การชูวัตถุดิบหลัก 5 คะแนน และวัตถุดิบปริศนา 5 คะแนน (ในเทปวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561 ซึ่งจะมีคะแนนพิเศษซึ่งก็คือ โจทย์พิเศษ 2 อีกคนละ 5 คะแนน))

รูปแบบที่ 1 Blind Tasting[แก้]

ในรูปแบบ Blind Tasting คณะกรรมการจะไม่ทราบมาก่อนว่าเมนูอาหารแต่ละจานที่จะได้รับประทานนั้นเป็นของเชฟท่านใด เพื่อป้องกันปัญหาการล็อกผล โดยกรรมการทั้งสี่จะเก็บตัวในระหว่างที่เชฟทั้งสองทำการรังสรรค์เมนู และเมื่อเข้าสู่ช่วงการตัดสิน เชฟทั้งสองจะถูกนำไปเก็บตัวและดูการตัดสินผ่านทางจอมอนิเตอร์ และอาหารของเชฟทั้งสองจะถูกเสิร์ฟให้แก่คณะกรรมการทำการตัดสิน โดยคณะกรรมการจะทำการตัดสินหน้าเวทีของ Kitchen Stadium (ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 – 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563) ต่อมาเปลี่ยนเป็นห้อง Bidding Battle ของ ศึกค้นหาเชฟกระทะเหล็ก (28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565) โดยจะใช้อักษรย่อว่าเป็นเชฟ A หรือ B ในการแทนตัวเชฟผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็ก เริ่มใช้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 – 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 และ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 นอกจากนี้ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 จะสลับจานเสิร์ฟในแต่ละเมนู ทำให้กรรมการคาดเดาแนวทางการทำอาหารของเชฟได้ยากขึ้น

รูปแบบที่ 2 เปิดเผย[แก้]

ในรูปแบบเปิดเผย จะให้ทั้งเชฟกระทะเหล็กและเชฟผู้ท้าชิงเข้าไปในห้อง Bidding Battle ของ ศึกค้นหาเชฟกระทะเหล็ก โดยจะมีคณะกรรมการมานั่งชิมอาหารของเชฟกระทะเหล็กและเชฟผู้ท้าชิงพร้อมกัน โดยมีการเปิดเผยหน้าเชฟกระทะเหล็กและเชฟผู้ท้าชิงแบบให้เห็นแบบต่อหน้าต่อตา แต่จะยังมีการวิจารณ์คล้าย ๆ กับรูปแบบ Blind Tasting เดิม เริ่มใช้ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2563 – 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

รูปแบบของรายการในปัจจุบัน (แบบที่ 8)[แก้]

ใช้ในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2565 - ปัจจุบัน

ช่วงแนะนำผู้ท้าชิง[แก้]

ในช่วงเริ่มรายการ กอล์ฟ - สัญญา ธาดาธนวงศ์ และกระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล ซึ่งเป็นพิธีกรภาคสนาม จะเดินทางไปยังร้านอาหารของเชฟผู้ท้าชิง เพื่อแนะนำและทำความรู้จักกับเชฟผู้ท้าชิง โดยเชฟผู้ท้าชิงยังมีการทำเมนูเอกลักษณ์ (Signature Dish) ให้พิธีกรภาคสนามได้รับประทานก่อนจะเข้าสู่การแข่งขันจริง โดยช่วงนี้ใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 - 1 เมษายน พ.ศ. 2566

ช่วงเชฟกระทะเหล็ก[แก้]

เชฟผู้ท้าชิงจะต้องแข่งขันทำอาหารกับเชฟกระทะเหล็กประจำรายการ โดยผู้ท้าชิงมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการอยากประลองยุทธ์กับเชฟกระทะเหล็กท่านใด (เชฟกระทะเหล็ก อาหารญี่ปุ่น, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตกแนวอินโนเวทีฟ, เชฟกระทะเหล็ก อาหารจีนร่วมสมัย, เชฟกระทะเหล็ก อาหารหวาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารเอเชียนแนวผสมผสาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารตะวันตกแนวผสมผสาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารฝรั่งเศส, เชฟกระทะเหล็ก อาหารยุโรปแนวผสมผสาน, เชฟกระทะเหล็ก อาหารยุโรปร่วมสมัย) โดยผู้ท้าชิงสามารถกำหนดโจทย์เพื่อทดสอบเชฟกระทะเหล็กได้ด้วย โดยจะต้องแข่งขันทั้งหมด 2 รอบ ดังนี้

รอบแรก[แก้]

ทั้งสองเชฟจะมีวัตถุดิบหลักอย่างแรกซึ่งจะใช้ในการทำเมนูที่ 1 และเมนูที่ 2 ไปก่อน และจะมีเวลาในการแข่งขัน 60 นาที เป็นตัวกำหนดสำหรับการแข่งขัน โดยเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหาร 1 เมนู ให้เสร็จเรียบร้อย และต้องเสิร์ฟเมนูแรกให้คณะกรรมการชิมไปก่อนภายใน 15 นาทีแรก จึงจะกลับมาแข่งขันต่อได้ จากนั้นอีก 5 นาทีต่อมา จะต้องตัดเชฟผู้ช่วยออก 1 คน (จะเหลือ 3 คน) และจะมีวัตถุดิบที่ 2 ซึ่งจะใช้ในการทำเมนูที่ 3 และเมนูที่ 4 และเมื่อเหลือ 20 นาทีสุดท้าย จะต้องตัดเชฟผู้ช่วยออกอีก 1 คน (จะเหลือ 2 คน) และจะมีวัตถุดิบปริศนา (Culinary Curve Ball) ซึ่งเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องนำวัตถุดิบปริศนามาใช้ทำอาหารเป็นวัตถุดิบหลักในเมนูที่ 5 และเมื่อหมดเวลา ทั้งสองเชฟจะต้องเสิร์ฟทั้ง 4 เมนูที่เหลือให้คณะกรรมการได้ชิมในลำดับต่อไป เมื่อคณะกรรมการชิมอาหารทั้ง 4 เมนูเสร็จสิ้น จะต้องไปแข่งขันต่อในรอบ One-On-One Battle หรือการแข่งขันแบบตัวต่อตัวต่อไป

ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2565 ได้มีการปรับเปลี่ยนกติกาเล็กน้อย โดยเมื่อเปิดตัววัตถุดิบที่ 2 ไปแล้ว จะมีเวลาเหลืออีก 15 นาทีที่เชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องทำอาหารและเสิร์ฟเมนูจากวัตถุดิบที่ 2 อีก 1 เมนูให้คณะกรรมการชิม และเมื่อหมดเวลา 60 นาที ทั้งสองเชฟจะต้องเสิร์ฟทั้ง 3 เมนูที่เหลือให้คณะกรรมการได้ชิมในลำดับต่อไป

รอบ One-On-One Battle (การแข่งขันแบบตัวต่อตัว)[แก้]

ทั้งสองเชฟจะต้องแข่งขันกันแบบตัวต่อตัว โดยไม่มีเชฟผู้ช่วยเลย โดยจะต้องรังสรรค์อาหารจากวัตถุดิบหลัก 1 อย่าง และเมื่อประตู Supermaket เปิด ทั้งสองเชฟจะต้องไปช็อปปิ้งวัตถุดิบเพิ่มเติมใน Supermaket ภายใน 3 นาที เมื่อหมดเวลาประตูจะปิด ถ้าออกมาไม่ทันจะถูกขังไว้ใน Supermaket เป็นเวลา 5 นาที และจะต้องทำอาหารเมนูที่ 6 เมนูสุดท้ายภายในเวลา 30 นาที หลังเปิดตัววัตถุดิบ เมื่อหมดเวลาทั้งสองเชฟจะต้องเสิร์ฟเมนูที่ 6 เมนูสุดท้าย ให้คณะกรรมการได้ชิมในลำดับต่อไป

ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 - ปัจจุบัน ได้มีการปรับกติกาการช็อปปิ้งวัตถุดิบใน Supermarket เล็กน้อย โดยอิงจากการเปลี่ยนสีของไฟฉากเป็นสีแดง ซึ่งยังคงมีเวลาในการช็อปปิ้งเพียง 3 นาทีนับตั้งแต่ไฟเปลี่ยนสี แต่จะไม่มีการขัง โดยหลังหมดเวลา ไฟฉากจะเปลี่ยนสีจากสีแดงกลับไปเป็นสีขาว และเชฟทั้งคู่จะต้องออกจาก Supermarket ทันที โดยไม่สามารถเข้าไปได้อีก

รูปแบบพิเศษ Fast & Delicious[แก้]

ใช้ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2566

เชฟทั้งสองฝ่ายจะมีเวลาทั้งหมด 75 นาที สำหรับการทำอาหารทั้ง 6 เมนู โดยทั้งสองฝ่ายจะไม่ทราบว่าโจทย์วัตถุดิบจะมาเมื่อใด และต้องเสิร์ฟเมื่อใด ซึ่งเชฟทั้งสองฝ่ายจะต้องบริหารเวลาด้วยตนเอง

การตัดสิน[แก้]

ให้ทั้งเชฟกระทะเหล็กและเชฟผู้ท้าชิงนำอาหารเข้าไปที่ห้อง Bidding Battle ของศึกค้นหาเชฟกระทะเหล็ก (ในวันที่ 18 มิถุนายน - 17 ธันวาคม พ.ศ. 2565) หรือโต๊ะกรรมการด้านหลังของ Kitchen Stadium (11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 - ปัจจุบัน) และอธิบายอาหารด้วยตัวเองเพื่อเสิร์ฟให้คณะกรรมการ 4 คน ที่มานั่งชิมอาหารพร้อมกัน โดยยังคงมีการวิจารณ์อาหารคล้าย ๆ กับรูปแบบก่อนหน้า ซึ่งมีเกณฑ์การตัดสินคะแนนคือ รสชาติ, ความคิดสร้างสรรค์ และการชูวัตถุดิบหลัก ส่วนลำดับเวลาการเสิร์ฟและคะแนนการตัดสินเป็นดังนี้

วันที่ใช้ \ เวลาเสิร์ฟ รอบแรก รอบ One-on-One Battle คะแนนสูงสุดต่อจาน นาทีที่ 15 นาทีที่ 35 หลังจบรอบ หลังจบรอบ เมนูที่ 1-5 เมนูที่ 6 รวม 18 มิถุนายน - 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เสิร์ฟ 1 เมนูจากวัตถุดิบที่ 1 ไม่ต้องเสิร์ฟ เสิร์ฟ 4 เมนูที่เหลือ เสิร์ฟเมนูที่ 6 15 คะแนน 30 คะแนน 105 คะแนน 6 สิงหาคม - 10 กันยายน พ.ศ. 2565 10 คะแนน 50 คะแนน 100 คะแนน 17 กันยายน พ.ศ. 2565 - ปัจจุบัน เสิร์ฟ 1 เมนูจากวัตถุดิบที่ 2 เสิร์ฟ 3 เมนูที่เหลือ

สำหรับรูปแบบ Fast & Delicious มีเกณฑ์การตัดสินคะแนนคือ รสชาติ, ความคิดสร้างสรรค์ และการชูวัตถุดิบหลัก ซึ่งจะให้คะแนนสูงสุด 10 คะแนนต่อจาน รวมคะแนนสูงสุด 60 คะแนน

ทั้งนี้ หากเชฟผู้ท้าชิงสามารถชนะเชฟกระทะเหล็กได้ จะได้รับถ้วยรางวัลเชฟกระทะเหล็ก (Iron Chef Trophy) ไปครอบครองด้วย

เชฟกระทะเหล็ก[แก้]

รายชื่อเชฟกระทะเหล็กที่ปรากฏในรายการ ซึ่งแสดงสถิติการแข่งขันผลชนะ เสมอ แพ้ ของเชฟกระทะเหล็กแต่ละคน โดยกล่องสีจะแทนแถบสีของชุดเชฟกระทะเหล็ก

เชฟกระทะเหล็ก ความเชี่ยวชาญด้านอาหาร ชนะ เสมอ แพ้ ทั้งหมด % ชนะ สถานะ ชัยเทพ ภัทรพรไพศาล อาหารจีน (Chinese Cuisine) 1 0 1 2 50.0% ✖ พงษ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย อาหารตะวันตก (Western Cuisine) 67 4 11 82 84.7% ✔ บุญธรรม ภาคโพธิ์ อาหารญี่ปุ่น (Japanese Cuisine) 43 4 16 63 73.8% ✖ ชุมพล แจ้งไพร อาหารไทย (Thai Cuisine) 45 4 5 54 87.0% ✖ เฮง ชุง ไล อาหารจีน (Chinese Cuisine) 1 1 5 7 21.4% ✖ ธนรักษ์ ชูโต อาหารจีน (Chinese Cuisine) 64 4 8 76 89.2% ✔ ธนัญญา วิลคินซัน อาหารหวาน (Dessert) 48 3 33 84 57.0% ✔ ธนินธร จันทรวรรณ อาหารอิตาเลียน (Italian Cuisine) 6 2 4 12 58.3% ✖ ประสพโชค ตระกูลแพทย์ อาหารเอเชียน (Asian Cuisine) 40 0 16 56 77.1% ✖ ธรรมศักดิ์ ชูทอง อาหารยุโรป (European Cuisine) 5 0 3 8 62.5% ✖ ณัฐวุฒิ ธรรมพันธุ์ อาหารตะวันตก (Western Cuisine) 19 0 9 28 66.7% ✔ พฤกษ์ สัมพันธวรบุตร อาหารฝรั่งเศส (French Cuisine) 10 0 10 20 49.0% ✔ ธีรภัทร ตียาสุนทรานนท์ อาหารยุโรป (European Cuisine) 15 0 6 21 69.3% ✔ มาร์ติน บลูโนส อาหารตะวันตก (Western Cuisine) 4 0 1 5 75.0% ✔

การแข่งขัน[แก้]

วัตถุดิบหลักที่นำมาใช้รายการบางครั้งก็จะมีราคาแพงและแปลกใหม่ เช่น ปลาเก๋ามังกร, ปลาแซลมอน, ปลาหมึกยักษ์, ปูทาราบะ แต่บางครั้งก็จะเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายโดยทั่วไป เช่น กุ้งแม่น้ำ, กะหล่ำปลี เป็นต้น ซึ่งบางครั้งก็แสดงถึงความเป็นพื้นบ้านในประเทศไทย เช่น ปลาร้า, ไก่บ้าน โดยวัตถุดิบหลักในแต่ละสัปดาห์ทั้งเชฟผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็กจะต้องนำมาทำอาหาร 5 เมนู ซึ่งจำนวนจานของอาหารแต่ละอย่างที่ต้องเตรียมในการตัดสินนั้นจะมีอย่างน้อย 6 จาน กล่าวคือ เตรียมให้ประธาน 1 จาน และคณะกรรมการตามจำนวนคณะกรรมการในแต่ละสัปดาห์ และต้องเตรียม 1 จาน ของอาหารแต่ละอย่างออกมาต่างหากสำหรับการถ่ายภาพและการนำเสนอ โดยอาหารทั้งหมดจะทำด้วยเชฟกระทะเหล็กและมีผู้ช่วย ปกติแล้วทั้งเชฟผู้ท้าชิงและเชฟกระทะเหล็กจะเตรียมผู้ช่วยเชฟมาเองจำนวน 2 คน (ปัจจุบันต้องเตรียมผู้ช่วยเชฟ 3 คน เนื่องจากในการแข่งขันรอบปกติ จะต้องมีเชฟผู้ช่วยตลอดการแข่งขัน และมีการตัดผู้ช่วยเชฟออก 2 ครั้ง) และอุปกรณ์เครื่องครัว นอกเหนือจากทางรายการที่มีอยู่นำมาใช้ในรายการได้

กรรมการตัดสินในรายการ[แก้]

ในการตัดสินแต่ละครั้งจะมีกรรมการ 5 คน แต่บางครั้งอาจมี 4-6 คน ทั้งนี้อาจมีแขกรับเชิญเป็นดารา นักแสดงหรือผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง 1-2 คนรวมอยู่ด้วย ต่อมาภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงจนเหลือกรรมการเพียง 4 ท่าน โดยกรรมการส่วนใหญ่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านวงการอาหาร และมีชาวต่างชาติด้วยเป็นบางครั้ง เนื่องจากเป็นเชฟที่ประจำอยู่ตามภัคตาคารต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียง