พระบาทสมเด จพระปกเกล า ทรงให ม เหต การณ ใน พ.ศ.2474

“...ข้าพเจ้าเห็นแก่ความเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อกับทั้งเพื่อจัดการโดยละม่อมละไม ไม่ให้ขึ้นชื่อว่าได้จลาจลเสียหายแก่บ้านเมือง และความจริงข้าพเจ้าได้คิดอยู่แล้วที่จะเปลี่ยนแปลงทำนองนี้ คือมีพระเจ้าแผ่นดินปกครองตามรัฐธรรมนูญ...”

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 จนกระทั่งทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ตลอดระยะเวลา 9 ปี 3 เดือน 4 วัน ในรัชสมัย ทรงมั่นคงอยู่ในทศพิธราชธรรมอย่างเคร่งครัด ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองหลายด้านหลายประการ และทรงได้รับพระราชสมญานามว่าเป็นพระบิดาแห่งการเมืองและการปกครอง ซึ่งเป็นพระราชสมญานามที่ได้มาจากพระราชกรณียกิจที่ทรงบำเพ็ญในระหว่างดำรงสิริราชสมบัติเป็นเวลา 9 ปี แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาที่สั้น แต่พระองค์ก็ได้ทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะพัฒนาระบอบการเมืองและการปกครองของประเทศให้เจริญก้าวหน้าเพื่อให้เท่าเทียมกับนานาอารยประเทศ โดยทรงริเริ่มนำประเทศไทยเข้าสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างมีแบบแผน

พระบาทสมเด จพระปกเกล า ทรงให ม เหต การณ ใน พ.ศ.2474

ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

เมื่อเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระองค์ก็ได้ทรงยินยอมที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญตามการปกครองระบอบประชาธิปไตย ตามที่ปรากฏในพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ตอบผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารซึ่งเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีข้อความตอนหนึ่ง ดังนี้

“ข้าพเจ้าเห็นแก่ความเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อกับทั้งเพื่อจัดการโดยละม่อมละไม ไม่ให้ขึ้นชื่อว่าได้จลาจลเสียหายแก่บ้านเมือง และความจริงข้าพเจ้าได้คิดอยู่แล้วที่จะเปลี่ยนแปลงทำนองนี้ คือมีพระเจ้าแผ่นดินปกครองตามรัฐธรรมนูญ จึงยอมรับที่จะช่วยเป็นตัวเชิด เพื่อคุมให้โครงการตั้งรัฐบาลให้เป็นรูปวิธีเปลี่ยนแปลงพระธรรมนูญโดยสะดวก...”

ต่อมาเมื่อรัฐบาลขณะนั้นได้ใช้วิธีการปกครองไม่ตรงกับหลักการของพระองค์ และทรงเห็นว่า พระราชประสงค์ที่จะให้ประเทศไทยมีการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงไม่บรรลุผลสำเร็จ จึงทรงกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและเสียสละอย่างยิ่งด้วยการสละราชสมบัติ เพื่อเปิดทางให้ผู้ที่เหมาะสมกว่าเข้ามาทำหน้าที่แทนพระองค์สืบไป

ทรงสละราชสมบัติ

ดังนั้น เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินไปรักษาพระเนตรที่ประเทศอังกฤษ จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ ซึ่งทรงพระอักษรด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์ยาว 6 หน้า ทรงเขียนออกมาจากความรู้สึกอันแท้จริงของพระองค์ พระราชทานมาจากบ้านโนล แครนลี ประเทศอังกฤษ นับว่าเป็นเอกสารสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ด้านการเมืองการปกครองของชาติไทย

สาระสำคัญของเอกสารสรุปได้ว่ามี 2 ส่วน

ส่วนที่หนึ่ง คือ การกล่าวถึงปัญหาและข้อขัดข้องต่าง ๆที่พระองค์ทรงประสบจากการดำเนินงานของรัฐบาล อาทิ ปัญหาที่รัฐบาลได้แต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประเภทที่สอง แทนการเลือกตั้ง โดยไม่ได้นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ให้ทรงพิจารณาก่อน การจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนต่อการออกพระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ และการตั้งศาลพิเศษเพื่อตัดสินคดีเกี่ยวกับพระราชบัญญัติฉบับนี้ รวมทั้งการปราบปรามกบฏบวรเดช ในปี พ.ศ. 2476 ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินคดีความกับคณะกู้บ้านเมืองหรือกบฏบวรเดช โดยไม่ได้ดำเนินการตามที่พระองค์ได้ทรงชี้แนะไว้ให้มีการอภัยโทษทั้งหมด เป็นต้น

“ข้าพเจ้าเห็นว่าคณะรัฐบาลและพวกพ้อง ใช้วิธีการปกครองซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคล และหลักความยุติธรรมตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใดคณะใดใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้”

ส่วนที่สอง เป็นคำประกาศสละราชสมบัติ ซึ่งมีสาระและความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

“ข้าพเจ้าเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้า ไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาดและโดย ไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่า ความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือ หรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอสละสิทธิของข้าพเจ้าทั้งปวง ซึ่งเป็นของข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวงอันเป็นของข้าพเจ้าแต่เดิมมา ก่อนที่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ ข้าพเจ้าไม่มีประสงค์ที่จะบ่งนามผู้หนึ่งผู้ใดให้เป็นผู้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ต่อไป ตามที่ข้าพเจ้ามีสิทธิที่จะทำได้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์”

เชิญกระแสพระบรมราชโองการสละราชสมบัติ

ในการนี้ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เชิญกระแสพระบรมราชโองการสละราชสมบัติ แจ้งความมาถึงนายกรัฐมนตรี (นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา) ความว่า 1. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติไปพระราชทานแก่ประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2 เดือนนี้ เวลา 16.30 น. และขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเชิญพระราชหัตถเลขาต่อมายังกรุงเทพฯ และแสดงพระราชประสงค์ขอให้ประกาศพระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัตินั้นแก่ประชาชนให้ทราบทั่วกันด้วย 2. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสละสิทธิที่จะตั้งผู้ครองราชสมบัติสืบต่อจากพระองค์ไป 3. ทรงสละสิทธิทั้งหลายในฐานะที่ทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระมหากษัตริย์ทุกประการ แต่จะคงทรงสงวนสิทธิทั้งปวงซึ่งเคยได้ทรงดำรงมาตั้งแต่ก่อนเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ 4. จะคงประทับอยู่ ณ ที่ประทับบัดนี้จนปลายเดือนมิถุนายน ถ้ามีหนังสือที่จะส่งไปถวาย ควรจ่าหน้าซองในพระนาม “สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา”

ต่อมานายกรัฐมนตรีได้ส่งโทรเลขจากกรุงเทพฯ ถึงอัครราชทูตสยาม ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2477 ความว่า โปรดนำความต่อไปนี้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก “รัฐบาลได้รับสำเนาพระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติแล้วด้วยความโทมนัส รัฐบาลได้นำพระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติขึ้นเสนอสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 6 มีนาคม และสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับทราบไว้ด้วยความโทมนัส สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบในการอัญเชิญพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นทรงราชย์ สืบราชสันตติวงศ์ต่อไป ตามความในมาตรา 9 แห่งรัฐธรรมนูญ และโดยที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ยังทรงพระเยาว์อยู่ สภาผู้แทนราษฎรอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 แห่งรัฐธรรมนูญ ได้ลงมติตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ประกอบด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตน์จาตุรนต์ เป็นประธานพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา และเจ้าพระยายมราช รัฐบาลขอถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก และสมเด็จพระบรมราชินีรำไพพรรณี ขอให้คงทรงพระสำราญอยู่ต่อไป”

เสด็จสวรรคต

หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละราชสมบัติแล้ว พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี และพระประยูรญาติสนิทบางพระองค์ ได้เสด็จประทับที่ตำบลเวอจิเนียร์ วอเตอร์ ซึ่งอยู่ในชนบทใกล้กรุงลอนดอน ครั้นถึงวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 ขณะมีพระชนมายุ 48 พรรษา พระองค์ได้เสด็จสวรรคตโดยฉับพลันด้วยโรคพระหทัยวาย และได้ถวายพระเพลิงเสร็จในวันที่ 3 มิถุนายน ศกนั้น ณ สุสานโกลเดอร์ส กรีน ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของกรุงลอนดอน

ต่อมาในปี พ.ศ. 2492 รัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ให้ทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกลับมาสู่พระนคร โดยอัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ในหอพระบรมอัฐิที่ชั้นบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง และอัญเชิญพระสรีรางคารเข้าบรรจุในแท่นฐานชุกชีพระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ซึ่งทรงถือเป็นวัดประจำรัชกาล พร้อมกันนั้นพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทานครบถ้วนตามพระราชประเพณี