พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงได้รับการเฉลิมพระเกียรติคุณด้วยพระราชสมัญญาว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า” Show
พระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเป็นพระองค์ที่ 2 ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ประสูติ ณ วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 ตรงกับวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง โทศก จุลศักราช 1242 (ร.ศ. 99) ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ มุสิกนาม ทรงมีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระชนนี 7 พระองค์ คือ
ครั้นพระชนมายุย่างเข้า 9 พรรษาเมื่อ พ.ศ. 2431 ทรงรับพระราชทานสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวารวดี ปรากฏพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษยบรมนราธิราช จุฬาลงกรณ์นารถราชวโรรส มหาสมมติขัดติยพิสุทธิ บรมมกุฎสุริยสันตติวงษ อดิสัยพงษวโรภโตสุชาติ คุณสังกาศวิมลรัตน ทฤฆชนมสวัสดิ ขัดติยราชกุมาร ทรงดำรงพระเกียรติยศเป็นลำดับที่สองรองจาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร การศึกษาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธเสด็จเข้าทรงศึกษาที่โรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวังเมื่อพระชนมายุ 10 พรรษา โดยทรงเริ่มการศึกษามาก่อนหน้านั้นแล้ว ครูที่ถวายพระอักษรคือ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) พระยาอิศรพันธุ์โสภณ (ม.ร.ว. หนู อิศรางกูร) และหม่อมเจ้าประภากร ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ส่วนครูภาษาอังกฤษ คือ นายโรเบอร์ต มอแรนต์ ซึ่งในภายหลังได้กลับไปดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการของประเทศอังกฤษและได้รับยศเป็นเซอร์ เมื่อพระชนมายุ 12 พรรษา เสด็จไปทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราโชบายที่จะส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอไปทรงศึกษาวิชาการสาขาต่างๆ ณ ทวีปยุโรป ในระยะแรกทรงศึกษากับครูที่พระตำหนักนอร์ธ ลอดจ์ เมืองแอสคอตโดยมิได้เสด็จเข้าโรงเรียน ระหว่างนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ให้ทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารแทนเมื่อ พ.ศ. 2437 และโปรดเกล้าฯ ให้ทรงศึกษาในประเทศอังกฤษต่อไป ต่อมาในพ.ศ. 2440 ทรงเข้าศึกษาวิชาทหารในโรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ และทรงเข้าอบรมหลักสูตรต่างๆ เพิ่มเติม ได้แก่ วิชาปืนเล็ก และวิชาทหารปืนใหญ่ภูเขา ทั้งยังได้ทรงเข้าประจำการในกองพันที่ 1 กรมทหารราบเบาเดอรัม อันเป็นการฝึกอบรมกองทหารเพื่อเตรียมไปราชการสงครามบัวร์ที่ประเทศแอฟริกาใต้ จากนั้น ใน พ.ศ. 2442 ทรงเข้าศึกษา ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด วิชาที่ทรงศึกษาคือ ประวัติศาสตร์ กฎหมาย และการปกครอง เนื่องจากพระองค์จะต้องทรงปกครองสยามประเทศต่อไปในอนาคต การเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 6 ในพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชขึ้นระหว่างวันที่ 8 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2454 เนื่องจากทรงรู้จักคุ้นเคยกับพระราชาธิบดีหรือประธานาธิบดีของประเทศสำคัญๆ ทั่วโลก จึงมีพระราชประสงค์ให้มิตรประเทศได้รู้จักประเทศสยาม ซึ่งปรากฏว่าได้มีเจ้านายและผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศมาร่วมในพระราชพิธีนี้ถึง 14 ประเทศ พระมเหสีและพระราชธิดา
เสด็จสวรรคตพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มประชวรด้วยพระโรคลำไส้และพระโลหิตเป็นพิษเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2468 และเสด็จสวรรคตเมื่อเวลา 1.45 น. ของวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระชนมายุ 45 พรรษา รวมเวลาที่ทรงอยู่ในราชสมบัติ 15 ปี และทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า” พระราชกรณียกิจการปกครองพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีเริ่มพระราชภารกิจในด้านการปกครองมาแต่ครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงรับพระราชภาระเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร ในระหว่างที่สมเด็จพระบรมชนกนาถมิได้ประทับในพระนครอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2450 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเน้นความสำคัญของ “ชาติ” เป็นหัวใจของการปกครอง กล่าวคือ ทรงกระทำทุกวิถีทางเพื่อประโยชน์ของชาติ ซึ่งหมายถึงราษฎรที่เกิดเป็นไทย และในเวลาต่อมามีความหมายรวมถึงดินแดนที่เป็นของราษฎรที่เกิดเป็นไทยด้วย ไม่ว่าราษฎรเหล่านั้นจะมีเชื้อชาติและศาสนาใด ทรงพิจารณาเรื่องอันจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างรอบคอบและรอบด้าน เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมจึงจะดำเนินการ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากจะทรงดำเนินการปกครองตามแบบแผนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มไว้แล้ว ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดการปรับเปลี่ยนบางอย่างเพิ่มเติมดังเช่น การปรับเปลี่ยนระเบียบราชการบางส่วนในกระทรวงมหาดไทย กล่าวคือ ใน พ.ศ. 2458 โปรดเกล้าฯ ให้รวมหัวเมืองมณฑลที่ใกล้เคียงกันจัดเป็นภาค และทรงแยกหัวเมืองในมณฑลพายัพออกเป็น 2 มณฑล คือ มณฑลพายัพ มีเขตปกครองคือ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน เชียงราย กับมณฑลมหาราษฎร์ มีเขตปกครองคือ จังหวัดแพร่ ลำปาง และน่าน แล้วโปรดให้เรียกรวมว่า “มณฑลพายัพ” และทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลขึ้นเป็นอุปราชมณฑลภาคพายัพ ต่อจากนั้นโปรดเกล้าฯ ให้รวมมณฑลนครไชยศรีและมณฑลราชบุรี จัดเป็น “มณฑลภาคตะวันตก” รวมมณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลสุราษฎร์ธานี และมณฑลปัตตานี เป็น “มณฑลปักษ์ใต้” และรวมมณฑลอุดร มณฑลร้อยเอ็ด และมณฑลอุบล เป็น ภาคอีสาณ ตามลำดับ ทั้งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลขึ้นเป็นอุปราชมณฑลภาคนั้นๆ ส่วนมณฑลกรุงเก่า (มณฑลอยุธยา) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลขึ้นเป็นอุปราชมณฑลกรุงเก่า และยังโปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศกำหนดอำนาจและหน้าที่ของอุปราชไว้ในปีเดียวกันนี้ด้วย ประชาธิปไตยแม้ว่าการปกครองในระบบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะเป็นนิติธรรม ในการปกครองบ้านเมืองของสยาม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงตระหนักดีว่าการปกครองบ้านเมืองโดยบุคคลคนเดียวเป็นความเสี่ยง หากได้ผู้ปกครองไม่ดีก็จะเป็นผลเสียแก่บ้านเมือง วิธีที่ดีที่สุดคือให้ราษฎรปกครองตนเอง แต่จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมให้ดีก่อน มิเช่นนั้นอาจเป็นผลเสียแก่บ้านเมืองได้ และด้วยทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า พสกนิกรชาวสยามในเวลานั้นยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิและหน้าที่อันเป็นรากฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงมีพระราชดำรัสสั่งให้กระทรวงศึกษาธิการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ในทุกหัวเมืองมณฑลทั่วพระราชอาณาจักร ด้วยมีพระราชปรารภว่า “…เรามีความปรารถนาจะให้ประชาราษฎรของเราได้มีความรู้คั่นประถมศึกษาโดยทั่วถึงภายใน 15 ปี นับแต่เราขึ้นครองราชสมบัติ เพราะความตั้งใจของเรามีอยู่ว่า เมื่อเราครองราชย์ครบ 15 ปี เราจะมอบสิทธิ์การปกครองบ้านเมือง ให้ประชาชนของเรามีสิทธิ์มีเสียง แต่ถ้าเขายังไม่มีความรู้พอแก่การดำเนินการได้ ให้ไปก็เสื่อมประโยชน์ ได้ไม่เท่าเสีย…” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริเกี่ยวกับการปกครองในระบบอบประชาธิปไตย มาแต่ครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงนำแนวคิดเรื่องระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ทรงทดลองปฏิบัติ ใน “สาธารณรัฐใหม่” (The New Republic) ซึ่งเป็นสาธารณรัฐสมมติที่ทรงจัดตั้งร่วมกับพระสหายชาวต่างประเทศ ขณะประทับ ณ กรุงปารีส มาทรงปฏิบัติจริงโดยทรงจัดตั้ง “เมืองมัง” ในบริเวณสวนอัมพวันด้านหลังพระตำหนักจิตรลดา มีวัตถุประสงค์เพื่อสอนให้มหาดเล็กรู้จักการปกครองตนเอง ดูแลบ้านเรือนของตนให้สะอาดเรียบร้อย ต่อมาใน พ.ศ. 2461 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองจำลอง “ดุสิตธานี” ขึ้นภายในพระราชวังดุสิต ก่อนที่จะโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปสร้างใหม่ ในพื้นที่ว่างหลังพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานและพระที่นั่งพิมานจักรี ในพระราชวังพญาไทเมื่อ พ.ศ. 2462 จัดให้มีการปกครองตนเองในลักษณะการปกครองท้องถิ่น ในดุสิตธานีมีบ้านเมืองจำลองในอัตราส่วน 1:20 ประกอบด้วยวัด โรงพยาบาล โรงทหาร โรงเรียน ธนาคาร ร้านค้า ฯลฯ ทวยนาคร (พลเมือง) ประกอบอาชีพต่างๆ เป็นที่ทดลองการปกครองแผนใหม่ ให้ข้าราชการรู้จักการใช้สิทธิในการปกครองตนเอง การจัดทดลองการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เมืองจำลองดุสิตธานีนี้ ได้ดำเนินเรื่อยมาจนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต โดยยังไม่ทันได้พระราชทานการปกครองแบบประชาธิปไตยให้แก่ปวงชนชาวไทยดังพระราชปณิธานที่ทรงตั้งไว้ พระราชทานนามสกุลและโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัตินามสกุลเพื่อเป็นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ในสังคมที่เริ่มซับซ้อนขึ้นให้เป็นระบบ ช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น การจัดทำสำมะโนประชากร ทำได้สะดวก ทั้งทำให้เกิดความเป็นธรรมเกี่ยวกับผลประโยชน์ในครอบครัว โดยนำหลักกฎหมายแบบตะวันตกมาใช้ จึงได้พระราชทานนามสกุล ซึ่งทรงพระราชอุตสาหะคิดนามสกุลพระราชทานแก่ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน รวมทั้งลูกเสือและนักเรียนถึง 6,432 นามสกุล และได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2445 และประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 ให้คนไทยทุกคนใช้นามสกุล การทหารและการป้องกันประเทศเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตพระนคร ทรงร่วมกับพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ
|