กระทรวงยุติธรรม เสนอกฎหมายน่ารู้ ตอน : “ถูกให้ออกจากงาน ลูกจ้างต้องได้รับค่าชดเชย”
เงินค่าชดเชยที่นายจ้างจะต้องชดเชย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ และตามกฎหมายลูกจ้างต้องได้รับค่าชดเชย ดังนี้
1. ค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้างกรณีทั่วไป (รวมถึงการเลิกจ้าง เพราะสถานการณ์โควิด - 19)
• หากลูกจ้างทำงานมายังไม่ถึง 120 วัน นายจ้างจะไม่จ่ายค่าชดเชยก็ได้
• หากลูกจ้างทำงานมาแล้ว 120 วัน - 1 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างการทำงาน 30 วัน ในอัตราสุดท้าย
• หากลูกจ้างทำงานมาแล้ว 1 - 3 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างการทำงาน 90 วัน ในอัตราสุดท้าย
• หากลูกจ้างทำงานมาแล้ว 3 - 6 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างการทำงาน 180 วัน ในอัตราสุดท้าย
• หากลูกจ้างทำงานมาแล้ว 6 - 10 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างการทำงาน 240 วัน ในอัตราสุดท้าย
• หากลูกจ้างทำงานมาแล้ว 10 - 20 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างการทำงาน 300 วัน ในอัตราสุดท้าย
• หากลูกจ้างทำงานมาแล้ว 20 ปีขึ้นไป นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างการทำงาน 400 วัน ในอัตราสุดท้าย
2. ค่าเสียหายจากการไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
•ค่าเสียหายนี้เกิดในกรณีหากนายจ้าง "ไล่ออก" ทันทีโดยไม่บอกล่วงหน้า ถือว่า นายจ้างทำผิดสัญญาจ้างแรงงาน นอกจากจะต้องจ่ายค่าชดเชยตามกรณีเลิกจ้างทั่วไป ตามข้อ 1 แล้ว (มาตรา 118) ยังต้องจ่ายค่าเสียหายจากการไม่บอกกล่าวล่วงหน้าด้วย ตามมาตรา 17/1 เป็นจำนวนเท่ากับค่าจ้างในอัตราที่ลูกจ้างได้รับอยู่อัตราสุดท้าย คิดเต็มจำนวนเสมือนหนึ่งว่านายจ้างได้บอกกล่าวล่วงหน้าให้เตรียมตัวก่อนออกจากงาน แต่ค่าเสียหายจำนวนนี้จะคิดอย่างมากที่สุด ไม่เกินค่าจ้างสามเดือน
ข้อมูลจาก : พระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 มาตรา 118 และมาตรา 17/1
เอกสารแนบ
- กฎหมายน่ารู้ ตอนที่ 289: “ถูกให้ออกจากงาน ลูกจ้างต้องได้รับค่าชดเชย” ดูแล้ว 1832 ครั้ง
ขอเชิญร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของกระทรวงยุติธรรม
ท่านคิดว่าข้อมูลข่าวสารนี้มีประโยชน์มากน้อยเพียงใด
มาก ปานกลาง น้อย
ท่านมีความเข้าใจในข้อมูลข่าวนี้มากน้อยเพียงใด
มาก ปานกลาง น้อย
ท่านพึงพอใจในรูปแบบการนำเสนอข้อมูลข่าวสารมากน้อยเพียงใด
มาก ปานกลาง น้อย
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
ส่งข้อมูล
ในแต่ละสถานที่ทำงานย่อมมีกฏระเบียบ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่ากฎใดถูกกฎหมายหรือขัดกับกฏหมายบ้าง กฎหมายแรงงานจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นที่คนทำงานควรเรียนรู้ เพื่อปกป้องสิทธิของตน ขณะเดียวกันก็เป็นการเรียนรู้เพื่อป้องกันตนไม่ให้ทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย
อเด็คโก้ได้รวบรวม 10 ปัญหากฎหมายแรงงานยอดฮิต มาไขข้อข้องใจให้คนทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ขาด ลา มา สาย และข้อสงสัยต่างๆ ไว้ให้แล้วดังนี้
หมวดเวลาการทำงาน
- มาสายบริษัทมีสิทธิ์หักเงินเดือนหรือไม่?
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 76 ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด โดยระบุว่า การที่นายจ้างหักเงินค่าจ้างเพราะมาสายนั้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้เพราะผิดกฎหมายแรงงาน เว้นแต่เป็นการหักเพื่อ
(1) ชำระภาษีเงินได้ตามจำนวนที่ลูกจ้างต้องจ่ายหรือชำระเงินอื่นตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้
(2) ชำระค่าบำรุงสหภาพแรงงานตามข้อบังคับของสหภาพแรงงาน
(3) ชำระหนี้สินสหกรณ์ออมทรัพย์ หรือสหกรณ์อื่นที่มีลักษณะเดียวกันกับสหกรณ์ออมทรัพย์หรือหนี้ที่เป็นไปเพื่อสวัสดิการที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียวโดยได้รับความยินยอมล่วงหน้าจากลูกจ้าง
(4) เป็นเงินประกันตามมาตรา 10 หรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายจ้างซึ่งลูกจ้างได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง
(5) เป็นเงินสะสมตามข้อตกลงเกี่ยวกับกองทุนเงินสะสม
อย่างไรก็ตามแม้ว่านายจ้างไม่มีสิทธิ์หักค่าจ้าง แต่นายจ้างสามารถจ่ายค่าจ้างตามระยะเวลาเท่าที่ทำงานจริงได้ เช่น หากลูกจ้างทำงานวันละ 8 ชม. แต่มาสาย 30 นาที นายจ้างสามารถจ่ายค่าจ้างในวันดังกล่าวเพียง 7.30 ชม.ได้ โดยคำนวณค่าจ้างเป็นรายนาที แต่การตั้งกฎ เช่น มาสาย 3 ครั้ง เท่ากับขาด 1 วัน ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
- นายจ้างให้ทำงานเกินวันละ 8 ชม. โดยไม่จ่ายค่าล่วงเวลา สามารถทำได้หรือไม่?
แต่มีข้อยกเว้นที่นายจ้างสามารถกำหนดให้ลูกจ้างทำงานต่อวันเกินกว่า 8 ชั่วโมงได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าล่วงเวลา แต่เมื่อรวมต่อสัปดาห์แล้วต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง เช่น งานที่ใช้วิชาชีพ วิชาการ งานด้านบริหารและงานจัดการ งานเสมียนพนักงาน งานอาชีพเกี่ยวกับการค้า งานอาชีพด้านบริการ งานที่เกี่ยวกับการผลิต หรืองานที่เกี่ยวข้องกับงานดังกล่าว ดังนั้นการให้ทำงานเกินวันละ 8 ชม. จึงสามารถทำได้หากระยะเวลารวมต่อสัปดาห์แล้วไม่เกิน 48 ชั่วโมง
หมวดการลา
- ลาป่วยไม่มีใบรับรองแพทย์ได้ไหม?
ได้ ถ้าลาป่วยติดต่อกันไม่ถึง 3 วัน แต่ในกรณีการลาป่วยนั้นเป็นที่น่าสงสัยว่าอาจลาป่วยไม่จริง นายจ้างมีสิทธิขอดูใบรับรองแพทย์ได้ และถ้าลูกจ้างไม่แสดงใบรับรองแพทย์ อาจผิดวินัยเรื่องฝ่าฝืนคำสั่งของนายจ้างได้
- บริษัทสามารถไม่จ่ายค่าจ้างในวันที่ลาป่วยได้หรือไม่?
ไม่ได้ เพราะกฎหมายกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยโดยได้รับค่าจ้าง 30 วันต่อปี ยกเว้น การลาป่วยตั้งแต่วันที่ 31 เป็นต้นไป ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง
- แบบไหนเรียกว่าลากิจ? และลากิจได้สูงสุดกี่วัน?
ตามกฏหมายการลากิจนายจ้างมีสิทธิกำหนดระเบียบการลากิจได้เองและจะจ่ายค่าจ้างในวันลากิจด้วยหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นคำถามที่ว่าแบบไหนเรียกว่าลากิจจึงขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท โดยต้องกำหนดให้มีวันลากิจไม่น้อยกว่า 1 วัน
- เจ้านายไม่ให้ลาพักร้อน บอกว่าต้องทำงานก่อน 1 ปี จึงจะสามารถหยุดพักร้อนได้ บริษัทมีสิทธิ์ทำได้หรือไม่?
ได้ เพราะกฎหมายกำหนดว่า ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันมาครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไม่น้อยกว่าปีละ 6 วันทำงาน (หมายความว่าเมื่อครบ 1 ปี ได้ 6 วัน และ เมื่อเข้าสู่ปีที่ 2 ได้อีก 6 วันรวมเป็น 12 วัน) โดยในปีต่อมานายจ้างอาจกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้างมากกว่าหกวันทำงานก็ได้ นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าให้สะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังมิได้หยุดในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อ ๆ ไปได้
หมวดลาออก
- ลาออกโดยไม่บอกล่วงหน้าได้ไหม? การลาออกต้องให้บริษัทอนุมัติหรือไม่?
กฎหมายกำหนดว่าการลาออกต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 1 รอบการจ่ายค่าจ้าง เช่นหากลูกจ้างได้รับเงินเดือนทุก 30 วัน จะต้องบอกล่วงหน้า 30 วัน และเมื่อลูกจ้างแจ้งลาออกแล้ว จะมีผลได้ทันที แม้นายจ้างไม่ได้อนุมัติ
หมวดทดลองงาน
- นายจ้างสามารถ ต่ออายุการทดลองงานได้หรือไม่?
ทำได้ เพราะกฎหมายไม่มีกำหนดเรื่องระยะเวลาทดลองงาน ดังนั้น นายจ้างจะจัดให้มีระยะเวลาทดลองงานมากน้อยเพียงใดก็ได้