กองทุนเงินทดแทน
กองทุนเงินทดแทน เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนในการจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย หรือถึงแก่ความตาย หรือสูญหาย เนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง โดยนายจ้างเป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเพียงฝ่ายเดียว
กิจการที่ได้รับการยกเว้น
1. ราชการส่วนกลาง,ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น
2. รัฐวิสาหกิจ
3. กิจการเพาะปลูก ประมง ป่าไม้ และเลี้ยงสัตว์ ซึ่งไม่ใช้ลูกจ้างตลอดปี และไม่มีงานในลักษณะอื่นรวมอยู่ด้วย
4. ครู หรือ ครูใหญ่ของโรงเรียนเอกชน
5. กิจการที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ
6. ลูกจ้างของนายจ้างที่เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งงานที่ลูกจ้างทำนั้นมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย
7. ลูกจ้างของนายจ้างซึ่งประกอบการค้าเร่หรือการค้าแผงลอย
หน้าที่ของนายจ้าง
- ขึ้นทะเบียนนายจ้าง ภายใน 30 วันนับแต่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
- จ่ายเงินสมทบประจำปี
- รายงานค่าจ้างจริงของปีที่ผ่านมาภายในเดือนกุมภาพันธ์
- แจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงของนายจ้าง ภายใน 30 วัน
- แจ้งการประสบอันตรายของลูกจ้าง ภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบเหตุ
การขึ้นทะเบียนนายจ้าง
- ยื่นแบบขึ้นทะเบียนนายจ้าง ภายใน 30 วันนับแต่มีลูกจ้าง 1 คนขึ้นไป (รวมอยู่ในชุดเดียวกับการขึ้นทะเบียนประกันสังคม)
- ใช้เอกสารแบบขึ้นทะเบียนนายจ้าง (สปส. 1-01) ชุดเดียวกับกองทุนประกันสังคม
- เมื่อขึ้นทะเบียนแล้ว นายจ้างจะได้รับหลักฐาน ดังนี้
- เลขที่บัญชีนายจ้าง ซึ่งเป็นเลขเดียวกับกองทุนประกันสังคม เพื่อใช้ในการอ้างอิงและติดต่องานกับสำนักงานประกันสังคม
- ได้รับแจ้งผลการพิจารณากำหนดรหัสประเภทกิจการและอัตราเงินสมทบ
- ใบแจ้งเงินสมทบเพื่อแจ้งให้นายจ้างทราบจำนวนเงินสมทบที่จะต้องจ่าย พร้อมทั้งกำหนดวันจ่าย
- หนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียน
การจ่ายเงินสมทบและการรายงานค่าจ้าง
นายจ้างมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบเป็นรายปี โดยสำนักงานจะเป็นผู้แจ้งยอดเงินสมทบที่นายจ้างต้องจ่ายให้ทราบล่วงหน้า
1. วิธีการและกำหนดเวลาการจ่ายเงินสมทบ
เงินสมทบกองทุนเงินทดแทนจัดเก็บปีละ 2 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 จัดเก็บภายใน 31 มกราคมของทุกปี เรียกว่า “เงินสมทบประจำปี”
เว้นแต่ปีแรกที่ขึ้นทะเบียนนายจ้างต้องจ่ายภายใน 30 วันนับแต่มีลูกจ้าง 1 คนขึ้นไป
ครั้งที่ 2 จัดเก็บภายใน 31 มีนาคมของทุกปี เรียกว่า “เงินสมทบจากการรายงานค่าจ้าง”
เนื่องจากเงินสมทบที่จัดเก็บเมื่อต้นปี คำนวณมาจากค่าจ้างที่ได้ประมาณการไว้ล่วงหน้า X อัตราเงินสมทบ และในระหว่างปีอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่ม หรือลดค่าจ้าง ดังนั้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีนายจ้างจึงมีหน้าที่แจ้งจำนวนค่าจ้างที่จ่ายให้ลูกจ้างทุกคนรวมทั้งปีที่แล้ว ไปให้สำนักงานประกันสังคมจังหวัดราชบุรีทราบอีกครั้ง ตามแบบใบแสดงเงินสมทบประจำปี (กท 20) เพื่อจะนำไปเปรียบเทียบกับค่าจ้างที่ได้ประมาณการไว้เมื่อต้นปี หากค่าจ้างที่ประมาณไว้เดิมน้อยกว่าก็จะเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่มภายในเดือนมีนาคม เว้นแต่ค่าจ้างที่ประมาณการสูงกว่าค่าจ้างจริง นายจ้างก็จะได้รับเงินสมทบส่วนที่จ่ายเกินคืนไป
หากนายจ้างจ่ายเงินสมทบเกินเวลาที่กำหนด จะต้องจ่ายค่าปรับ 3% ต่อเดือนของเงินสมทบที่ต้องจ่าย
2. อัตราเงินสมทบ
อัตราเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน ที่จัดเก็บจากนายจ้างแต่ละรายจะแตกต่างกันตามลักษณะความเสี่ยงภัยในการทำงานของแต่ละกิจการ ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ 131 ประเภทกิจการ อัตราเงินสมทบระหว่าง 0.2% - 1.0% ของค่าจ้าง เช่น กิจการขายอาหารจ่ายเงินสมทบ 0.2% ของค่าจ้าง ถ้าเป็นกิจการก่อสร้างจ่ายเงินสมทบ 1.0% ของค่าจ้าง เป็นต้น
เมื่อนายจ้างจ่ายเงินสมทบครบ 4 ปี ปฏิทินแล้ว ตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป อัตราเงินสมทบอาจจะลด หรือเพิ่มขึ้นจากเดิมทั้งนี้ขึ้นอยู่กับค่าของอัตราส่วนการสูญเสียซึ่งสำนักงานฯ ได้เก็บสถิติข้อมูลไว้
3. ค่าจ้างและการคำนวณเงินสมทบ
เงินสมทบจะคำนวณจากค่าจ้างที่นายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้างทุกคนรวมทั้งปี X อัตราเงินสมทบของกิจการนั้น
ลูกจ้างคนใด ได้รับค่าจ้างเกินกว่า 240,000 บาทต่อปี ให้นำมาคำนวณเพียง 240,000 บาท
4. แบบที่ใช้แจ้งยอดเงินสมทบ
สำนักงานประกันสังคมจังหวัดราชบุรี จะแจ้งยอดเงินสมทบที่นายจ้างต้องชำระให้ทราบล่วงหน้าพร้อมทั้งกำหนดวันชำระเงินตามแบบต่าง ๆ ดังนี้
4.1 ใบประเมินเงินสมทบประจำปี (กท.26 ก) สำหรับเรียกเก็บเงินสมทบต้นปี
4.2 ใบแจ้งเงินสมทบจากการรายงานค่าจ้าง (กท.25 ค) สำหรับเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่มจากการรายงานค่าจ้าง
4.3 ใบแจ้งเงินสมทบจากการตรวจบัญชี (กท.25 ก) สำหรับเรียกเก็บเงินสมทบภายหลังทราบผลการตรวจบัญชีประจำปี
5. วิธีการชำระเงินสมทบ
- เงินสดหรือเช็ค
- ธนาณัติ
- โอนเงินผ่านธนาคารกรุงไทย (มหาชน) จำกัด
การแจ้งเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง
นายจ้างมีหน้าที่แจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงของนายจ้างต่อสำนักงาน ภายใน 30 วันนับแต่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนชื่อ ที่อยู่ ขยาย/ยกเลิกสาขา เปลี่ยนแปลงประเภทกิจการ ฯลฯ โดยใช้แบบแจ้งการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนายจ้าง (สปส. 6-15) (เรื่องใดที่ได้แจ้งกองทุนประกันสังคมภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปแล้ว ไม่ต้องแจ้งซ้ำ)
แจ้งการประสบอันตรายของลูกจ้าง
เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษาพยาบาลทันที และแจ้งสำนักงานประกันสังคม ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ทราบ โดยใช้แบบแจ้งการประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยฯ (กท 16) ลูกจ้างสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลใดก็ได้ โดยทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน หรือใช้แบบ กท.44 ส่งตัวลูกจ้างเข้ารับการรักษาหากโรงพยาบาลนั้นเป็นโรงพยาบาลในความตกลงกับกองทุนเงินทดแทน โดยโรงพยาบาลจะเรียกเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลจากสำนักงานฯ โดยตรง
โรงพยาบาลในความตกลงของกองทุนเงินทดแทน
ในจังหวัดราชบุรีมีโรงพยาบาลในความตกลงของกองทุนเงินทดแทนรวม 13 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลราชบุรี โรงพยาบาลเมืองราช โรงพยาบาลซานคามิลโล โรงพยาบาลเจ็ดเสมียน โรงพยาบาลปากท่อ โรงพยาบาลบางแพ โรงพยาบาลสวนผึ้ง โรงพยาบาลดำเนินสะดวก โรงพยาบาลโพธาราม โรงพยาบาลบ้านโป่ง โรงพยาบาลพระยุพราชจอมบึง โรงพยาบาลวัดเพลงและโรงพยาบาลพร้อมแพทย์
เบิกค่ารักษายาบาลคืน
หากนายจ้างหรือลูกจ้างได้ทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน (กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลที่ไม่ได้อยู่ในความตกลงของกองทุนเงินทดแทน) ให้นำใบเสร็จรับเงินมาเบิกคืนได้ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่จ่าย โดยใช้แบบคำขอรับเงินทดแทนที่ได้ทดรองจ่ายคืน
สิทธิประโยชน์ของลูกจ้าง
(กองทุนเงินทดแทน)
เมื่อนายจ้างขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนแล้ว ลูกจ้างทุกคนที่ทำงานให้กับนายจ้างจะได้รับการ คุ้มครองจากกองทุนเงินทดแทนทันที เมื่อประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย หรือถึงแก่ความตายหรือสูญหาย เนื่องจาการทำงานให้นายจ้าง ซึ่งลูกจ้างจะได้รับค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนรายเดือน (กรณีหยุดงาน กรณีสูญเสียอวัยวะ หรือสมรรถภาพของอวัยวะกรณีทุพพลภาพ และกรณีตาย) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน และค่าทำศพ ดังนี้
1. กรณีเจ็บป่วย
- ค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นไม่เกิน 35,000 บาท ต่อการเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย 1 ครั้ง หากเกินเบิกเพิ่มได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดในกฏกระทรวงอีกไม่เกิน 200,000 บาท
- ค่าทดแทนรายเดือนในอัตรา 60 % ของค่าจ้าง หากแพทย์ให้หยุดพักรักษาตัวติดต่อกันเกิน 3 วัน แต่ไม่เกิน 1 ปี
2. กรณีสูญเสียอวัยวะ
- ค่าทดแทนรายเดือนในอัตรา 60 % ของค่าจ้าง ตามประเภทการสูญเสียอวัยวะ และระยะเวลา ที่กำหนด
กรณีที่ลูกจ้างจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูจะได้รับการฟื้นฟูที่ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงาน ของสำนักงานประกันสังคม ดังนี้
- ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูด้านการแพทย์ และอาชีพเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 20,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานไม่เกิน 20,000 บาท
3. กรณีทุพพลภาพ
- ค่าทดแทนรายเดือนในอัตรา 60 % ของค่าจ้าง เป็นเวลาไม่เกิน 15 ปี
4. กรณีตายหรือสูญหาย
- ค่าทำศพจ่ายให้แก่ผู้จัดการศพ 100 เท่าของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน (ปัจจุบันจ่าย 18,100 บาท)
- ค่าทดแทนรายเดือนในอัตรา 60 % ของค่าจ้าง เป็นเวลา 8 ปี แก่ทายาท
การจ่ายเงินสมทบและรับประโยชน์ทดแทน
วิธีการจ่ายเงินสมทบ
นายจ้างสามารถจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคมได้หลายวิธี ดังนี้
1. จ่าย ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดราชบุรี หรือสาขาบ้านโป่ง เป็นเงิน สด เช็ค หรือตั๋วแลกเงิน โดยดำเนินการดังนี้
กองทุนประกันสังคม
1.1 นายจ้างยื่นแบบแสดงรายการส่งเงินสมทบ (สปส. 1-10) ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2
พร้อมเงินสด หรือเช็ค หรือตั๋วแลกเงิน ตามจำนวนเงินสมทบที่นำส่ง
1.2 สำหรับนายจ้างที่ส่งเงินสมทบด้วยสื่อคอมพิวเตอร์ให้ยื่นเฉพาะแบบแสดงรายการส่งเงินสมทบ (สปส. 1-10) เฉพาะส่วนที่ 1
1.3 กรณีผู้ประกันตนมาตรา 39 ยื่นแบบแสดงรายการส่งเงินสมทบ (สปส. 1-11)
กองทุนเงินทดแทน
ยื่นแบบประเมินเงินสมทบหรือใบแจ้งเงินสมทบ (กท.26 ก , กท.25ค , กท.25ก)
2. จ่ายผ่านไปรษณีย์ ดำเนินการดังนี้
นายจ้าง / ผู้ประกันตนมาตรา 39 ติดต่อ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ เพื่อส่งเช็คหรือซื้อธนาณัติ ดังนี้
กองทุนประกันสังคม
ส่งเช็คหรือธนาณัติให้สำนักงานประกันสังคม พร้อมแบบแสดงรายการส่งเงินสมทบ (สปส. 1-10) ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 หรือ สปส. 1-10 ส่วนที่ 1 พร้อมสื่อคอมพิวเตอร์ (กรณีนายจ้างส่งเงินสมทบด้วยสื่อ ฯ) หรือ แบบ สปส. 1-11 กรณีผู้ประกันตนมาตรา 39
กองทุนเงินทดแทน
ส่งเช็คหรือธนาณัติให้สำนักงานประกันสังคมพร้อมแบบประเมินเงินสมทบหรือใบแจ้ง เงินสมทบ ต่าง ๆ ด้วยเมื่อสำนักงานประกันสังคมได้รับเช็คหรือธนาณัติแล้วจะออกใบเสร็จรับเงินส่งให้นายจ้าง / ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ต่อไป
3. ผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
กองทุนประกันสังคม
นายจ้าง / ผู้ประกันตนมาตรา 39 มีความประสงค์ชำระเงินสมทบผ่านธนาคาร ดำเนินการดังนี้
3.1 ติดต่อธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาใดก็ได้ในจังหวัดราชบุรี พร้อมแบบแสดงรายการส่งเงินสมทบ (สปส. 1-10) ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 หรือ สปส. 1-10 ส่วนที่ 1 พร้อมสื่อคอมพิวเตอร์ (กรณีนายจ้างส่งเงิน สมทบด้วยสื่อ ฯ) หรือ สปส. 1-11 กรณีผู้ประกันตนมาตรา 39
3.2 กรอก " ใบชำระเงินประกันสังคม " (Pay - in) ที่ธนาคารจัดเตรียมไว้ให้ ยื่นต่อธนาคารพร้อมแบบแสดงรายการส่งเงินสมทบ และเงินสด หรือเช็ค หรือตั๋วแลกเงินตามจำนวนเงินที่นำส่ง
กองทุนเงินทดแทน
จ่ายผ่านธนาคาร (เฉพาะธนาคารกรุงไทยฯ) นายจ้างต้องยื่นใบแจ้งเงินสมทบประเภทต่างๆ ได้แก่ กท.26 ก กท.25 ค กท.25 ก แล้วแต่กรณี และเมื่อสำนักงานได้รับแจ้งจากธนาคารแล้วจะออกใบเสร็จ รับเงินส่งให้นายจ้างต่อไป
4. หักบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ประกันตนมาตรา 39
ผู้ประกันตนโดยสมัครใจตามมาตรา 39 ประสงค์ชำระเงินสมทบโดยวิธีหักบัญชี เงินฝากที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ดำเนินการดังนี้
4.1 ผู้ประกันตนเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือธนาคาร
กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประเภทออมทรัพย์ สาขาใดก็ได้ในจังหวัดราชบุรี
4.2 ถ่ายสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร (หน้าแรก) ติดต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคม เพื่อเขียนแบบคำขอส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนโดยการหักบัญชีเงินฝากธนาคาร
4.3 สำนักงานประกันสังคมแจ้งรายชื่อผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่ประสงค์จะหักบัญชี
เงินฝากธนาคารให้ธนาคารทราบ
- ธนาคารจะหักบัญชีเงินฝากผู้ประกันตนทุกวันที่ 15 ของเดือน ดังนั้นเงินในบัญชีของผู้ประกันตนจะต้องมียอดคงเหลือไม่น้อยกว่าจำนวนเงินสมทบที่ต้องนำส่ง คือ เดือนละ 432 บาท บวกค่าธรรมเนียมการหักบัญชีธนาคารครั้งละ 10 บาท
4.4 สำนักงานประกันสังคมตรวจสอบรายงานการนำเงินเข้าบัญชีจากธนาคารแล้วจะออก
ใบเสร็จรับเงินส่งให้ผู้ประกันตนต่อไป
หมายเหตุ กรณีชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมผ่านธนาคาร มีเงื่อนไขดังนี้
1. นายจ้างสามารถชำระเงินสมทบย้อนหลังได้ทุกงวด
2. ผู้ประกันตนมาตรา 39 ชำระเงินสมทบงวดย้อนหลังได้ไม่เกิน 2 งวด
- ธนาคารจะออกใบเสร็จรับเงินให้ท่านทันทีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
วิธีการรับประโยชน์ทดแทน
ผู้ประกันตน หรือผู้มีสิทธิ สามารถรับเงินสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้ 3 วิธี ดังนี้
1. รับเงิน ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดราชบุรีหรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัดราชบุรีสาขาบ้านโป่ง
2. รับทางธนาณัติ
3. โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (เฉพาะสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคม)
เอกสารหลักฐานประกอบการขอรับเงิน
ผู้ประกันตน หรือผู้มีสิทธิ ยื่นแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนพร้อมเอกสารหลักฐานประกอบคำขอต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมพร้อมหลักฐานการขอรับเงิน ดังนี้
1. รับเงิน ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดราชบุรี หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัดราชบุรี สาขาบ้านโป่ง
• กรณีผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิมารับเงินด้วยตนเอง
- บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง
• กรณีมอบอำนาจหรือมอบฉันทะให้บุคคลอื่นมารับแทน
สำนักงานฯ จะจ่ายเป็นเช็คในนามผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิเท่านั้น
• บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงของผู้มอบและผู้รับมอบ
- หนังสือมอบฉันทะหรือหนังสือมอบอำนาจ (ไม่ต้องติดอากรแสตมป์)
2. รับทางธนาณัติ
• ให้แจ้งสถานที่อยู่และไปรษณีย์ปลายทางในแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน หรือแบบขอรับเงินทางธนาณัติ
3. โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
• สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิประเภทออมทรัพย์ หน้าแรกที่แสดงชื่อบัญชี เลขที่บัญชีธนาคาร พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง
• สำนักงานฯ จะจ่ายผ่านธนาคารเฉพาะการรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมเท่านั้น