เรื่องของเรื่องคือ เราเป็นผู้หญิงคนนึงที่จัดว่ามีขนเยอะมากกกก สาเหตุนึงคือมาจากกรรมพันธุ์ พ่อแม่เราเป็นคนอินเดีย ดังนั้นเราเลยได้รับดีเอ็นเอขนดกนี้มาแบบเต็มๆซึ่งตอนเด็กๆ เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะคนในครอบครัวที่บ้านก็ผิวประมาณเราหมด
แต่พอโตขึ้นมันเริ่มมีอารมณ์แบบรักสวยรักงามบ้างอะไรบ้าง ก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง ไปเรียนมหาลัยเห็นเพื่อนผู้หญิงคนอื่น ผิวเนี๊ยนเนียน ขาวใส ขนงี้แทบไม่มีเลยสักเส้น ใส่อะไรก็ดูดี ตัดภาพมาที่เราขนด๊กดก ซึ่งขนเจ้าปัญหาพวกนี้เนี่ยสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันของเราพอสมควรเลย เช่น เวลาแต่งหน้า การที่มีขนที่หน้าเยอะทำให้เกลี่ยรองพื้นยาก เป็นคราบ แต่งหน้าแล้วไม่เนียน
"ไม่ขนเยอะอย่างฉันใครจะเข้าใจ ชีวิตลำบากเพียงใด... /ดราม่าไปอีก"
หรือบางทีอยากแต่งตัวตามแฟชั่น ใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้นก็ใส่ไม่ได้ เพราะไม่มั่นใจ ส่วนใหญ่เลยพยายามใส่แต่แขนยาว ไม่ก็ต้องมีเสื้อคลุมตลอด
เริ่มจาก....
1. โกนขน วิธีที่ง่ายที่สุด บ้านๆ เบสิกเลย
2.ครีมกำจัดขน เห็นโฆษณาในทีวีมา ก็ขอลองหน่อย
3. มูสกำจัดขน
4. การแว็กซ์ วันนึงไปเดินเล่นที่ห้างแถวบ้าน บังเอิญผ่านร้านแว็กซ์ เห็นคนมาทำกันเยอะอยู่ แอบดูป้ายราคาหน้าร้าน ราคาไม่ได้แรงมากก็แอบสนใจ
"ขออนุญาตเบลอชื่อร้านนะคะซิส"
ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อน เผื่อบางคนที่ไม่เคยแว็กซ์อาจจะไม่รู้ว่าการแว็กซ์ขนเนี่ย มี 2 แบบ - แบบแรก คือ แว็กซ์เย็น ซึ่งจะมีราคาถูกกว่า ตกจุดละประมาณ 80 บาท ซึ่งสำหรับขนเราเนี่ยแว็กซ์เย็นจะเอาไม่ค่อยอยู่เท่าไร ต้องทำซ้ำประมาณ 2-3 รอบกว่าจะเกลี้ยง หรือต้องทำบริเวณที่ขนไม่หนา - แบบที่ 2 คือ แว็กซ์ร้อน ซึ่งราคาจะสูงกว่าแว็กซ์เย็น ราคาประมาณจุดละ 300 บาท หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับบริเวณ ซึ่งแว็กซ์ร้อนจะมีข้อดีตรงที่ทำแล้วรู้สึกเกลี้ยงเลยในรอบเดียว เหมาะกับบริเวณที่ขนหนา หรือขนเยอะ แต่ข้อเสียก็คือมันแพงนี่แหละ 5555
เคยใช้แว็กซ์ที่เป็นแผ่นสำเร็จสำหรับทำเองที่บ้านด้วย แต่เราไม่ค่อยชอบ รู้สึกเหนอะหนะ และขนไม่ค่อยหลุดเท่าไร
"ขนคุดจริงไรจริง ใจไม่ถึงอย่าดู 5555"
แต่ถ้าบางทีก็มีทนเจ็บไม่ไหวเหมือนกัน น้ำตาเล็ดเบาๆ เลยเอาเท่าที่ไหว ค่อยมาแว็กซ์ต่ออาทิตย์หน้า อะไรประมาณนี้ เอาจริงๆ เราก็ไม่ได้อยากจะแว็กซ์เรื่อยๆ แบบนี้หรอกนะ แต่ถ้าให้เทียบกับโกน หรือใช้ครีมกำจัดขน ซึ่งมันไม่ค่อยเกลี้ยงเท่าไร ก็คิดว่าแว็กซ์มันโอเคกว่า เคยคิดจะไปทำเลเซอร์นะ แต่หลังจากที่ได้หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต หรือไปถามตามคลินิกก็รู้สึกว่าแพงไป คอร์สนึงราคาหลายพันไปจนถึงหลักหมื่น ทำได้ไม่กี่ครั้ง หมดคอร์สก็ต้องซื้อคอร์สใหม่ ซึ่งสำหรับคนขนเยอะแบบเราเผลอๆ ต้องหลายคอร์สด้วยถึงจะเอาอยู่ (น้ำตาจะไหล T T) อีกอย่างเราก็เพิ่งเริ่มทำงาน มันดูเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเลยทีเดียว แถมการไปเข้าคลินิกแต่ละที เราต้องเสียเวลาหลายชั่วโมง ทั้งการเดินทาง ไปถึงก็ต้องรอคิว แล้วก็นอนเฉยๆ ให้หมอทำไปทีละจุดเนื่องจากยังไม่มีทางเลือกอื่น ชีวิตมนุษย์ขนอย่างเราก็ต้องคอยเข้าร้านแว็กซ์วนไปๆ ทุกเดือนๆ
วันนึง...ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ก็เลื่อนฟีด Facebook ไปเรื่อย บังเอิญไปเจอกับโฆษณารีวิวเครื่องกำจัดขนแบบทำเองได้ที่บ้านชื่อแบรนด์ Silk’n พอได้ลองอ่านดูก็รู้สึกว่า เห้ย! เครื่องนี้แหละที่สร้างมาเพื่อชั้นจริงๆ (feeling มีความหวัง) ชักอยากจะลองใช้บ้างแล้วสิ เลยลองศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตัวสินค้าในเพจ ซึ่งนางบอกว่านางเป็นเครื่องกำจัดขนระยะยาว 6-12 เดือน OMG! แค่ฟังก็ว้าวแล้ว และเป็นเทคโนโลยีแบบใหม่ คือกำจัดขนโดยใช้แสง HPL ซึ่งจะไม่เจ็บไม่แสบ ผิวไม่ไหม้ แถมราคาก็พอไหวอยู่
ในเมื่อใจมันไปขนาดนี้แล้ว คงต้องจัดแล้วล่ะ เลยตัดสินใจแวะไปที่เคาน์เตอร์ของแบรนด์ ที่สาขาเซ็นทรัลบางนาใกล้บ้าน ไปถึงพนักงานเค้าก็แนะนำให้ฟังว่าแต่ละรุ่นแตกต่างกันยังไง แล้วช่วยเลือกรุ่นที่เหมาะกับคนขนเยอะแบบเรา สุดท้ายก็ได้เครื่อง Silk’n Infinity รุ่นใหม่ล่าสุดมา
"ก่อนจะทำก็ขอถ่ายรูป Before ไว้ซักหน่อย จะได้เอามาเปรียบเทียบดูการเปลี่ยนแปลงก่อน-หลังเนอะ"
เริ่มขั้นตอนที่1) โกนขนให้เรียบร้อย เหตุผลที่ต้องโกนก่อนเนี่ยพนักงานบอกว่าเพื่อให้แสง HPL ลงไปจับกับรากขนได้ ทำให้รากขนฝ่อ
- เสียบปลั๊กเครื่อง กดปุ่ม Power เพื่อเปิดเครื่อง และปรับระดับพลังงานที่เหมาะกับผิวเรา ผิวสีเข้ม หรือเข้มมาก ใช้ระดับ 1-2 ถ้าผิวกลางๆ ถึงผิวขาว ใช้ระดับ 3-5 ซึ่งผิวประมาณเราจะใช้อยู่ที่ระดับ 3 ค่ะ
- แนบตรงที่ปล่อยแสงให้สนิทกับผิว ถ้าแนบไม่สนิทแสงจะไม่ออกนะแล้วกดปุ่มสีขาวใหญ่กลางตัวเครื่อง เพื่อยิงแสง
จุดเด่นพิเศษของ Silk'n Infinity คือ"พลังงานกัลวานิก" ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Silk'n ช่วยในการเปิดรูขุมขนชั่วคราว ทำให้เเสง HPL ลงสู่รากขนได้ดีขึ้น ขนจึงฝ่อเร็วขึ้นเหมาะกับคนขนเยอะแบบเราที่สุด!!!
4. ยิงให้ทั่วบริเวณที่ต้องการ แขน ขา หน้า หนวด เอาให้หมด 555 อ๋อ ลืมบอกไป เครื่องกำจัดขนของแบรนด์ Silk’n เค้าจะมีความพิเศษตรงที่เวลายิง สามารถยิงได้เลยโดยไม่ต้องสวมแว่นตา เพราะ มีระบบ sensor ป้องกันการยิงในอากาศ รวมถึงก่อนยิงไม่ต้องทาเจล หรือประคบน้ำแข็งด้วย สะดวกมากๆ เลย ซึ่งเป็นแบรนด์เดียวนะที่ทำได้แบบนี้ จากที่เคยดูรีวิวในเน็ตตอนนี้เราก็ทำครบที่ส่วนที่เราต้องการแล้ว พนักงานแนะนำว่าให้ใช้ติดต่อกันประมาณ 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรือจะทำทุกวันก็ได้ถ้าต้องการให้เห็นผลเร็ว
ตอนนี้เนี่ยเราก็ใช้มาได้เดือนกว่าๆ แล้วค่ะ บอกเลยว่าประทับใจม้ากกก /เสียงสูง ไม่คิดว่าจะได้ผลขนาดนี้อ่ะ โอ๊ย เราน่าจะเจอกันเร็วกว่านี้ ชั้นจะได้ไม่ต้องทนเจ็บปวดรวดร้าวกับการเเว็กซ์ทั้งหมดทั้งมวล
เลเซอร์ขนหน้าหายถาวรไหม
ได้ผลถาวรหรือไม่ ? วิธีการกำจัดด้วยเลเซอร์ติดต่อกันทุก 4-8 สัปดาห์จำนวน 5-8 ครั้งติดต่อกันจะสามารถกำจัดขนให้หายไปจากบริเวณที่ทำการรักษาเป็นเวลากว่า 10 ปี ยังไม่มีใครทราบว่าเส้นขนจะงอกกลับคืนมาอีกหรือไม่ แต่เชื่อว่าโอกาสที่เส้นขนจะงอกกลับมาอีกคงเป็นได้น้อยมาก เพราะบริเวณที่เป็นเซลล์สร้างขนได้ถูกความร้อนทำลายไปเช่นกัน
เลเซอร์ขนแบบไหนหายถาวร
การกำจัดขนด้วยเลเซอร์ไม่สามารถทำในครั้งเดียวแล้วทำให้ขนหายถาวรได้ ต้องอาศัยการทำต่อเนื่อง อย่างน้อย 6-12 ครั้ง ต่อ 1 บริเวณ ในระยะเวลาห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ซึ่งการทำในแต่ละครั้งปริมาณขนจะลดลง 20% เส้นขนจะอ่อนลง บางลง และงอกขึ้นมาใหม่ได้ช้าลง จนสามารถกำจัดขนได้อย่างถาวรในที่สุด
เครื่องกำจัดขน Silk n.ดีไหม.
ทำไมต้องเลือกใช้ Silk'n Infinity 400,000 เหมาะสำหรับทุกสีผิว และเกือบจะทุกสีขน ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่มีผิวสีเข้มมาก มีปรับระดับพลังงานได้ถึง 5 ระดับ สามารถกำจัดขนได้อย่างรวดเร็วเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับอุปกรณ์รุ่นอื่น สามารถใช้กำจัดขนได้ตามร่างกายและใบหน้าโดยปราศจากอันตรายและการระคายเคือง
บราซิลเลี่ยนกับฮอลลีวูดต่างกันยังไง
การเลเซอร์โฮลบิกินี่ หรือฮอลลิวูด เป็นการกำจัดขนในจุดซ่อนเร้นที่มากกว่าการเลเซอร์บราซิลเลี่ยน โดยการเลเซอร์โฮลบิกินี่นั่นจะกำจัดขนในบริเวณที่ลับไปทั้งหมด โดยไม่เหลือสักเส้นเดียว ทั้งบริเวณด้านหน้า ด้านหลัง รวมถึงตรงกลาง