บุคคลที่ส่งเสริมการสร้างสรรค์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยที่มีผลต่อสังคมไทยในปัจจุบัน
ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ทรงภูมิปัญญาที่ได้รับการยกย่องเชิดชูหลายท่าน เช่น ศิลปินแห่งชาติ ผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม หรือชาวบ้านผู้สืบทอดและสร้างสรรค์ภูมิปัญญาท้องถิ่น
นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ได้มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการสร้างสรรค์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยที่มีผลต่อสังคมไทยปัจจุบันด้วยเช่นกัน ดังจะกล่าวต่อไปนี้
1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยมากมาย ดังนี้
1) ด้านพระพุทธศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้แปลพระไตรปิฏกจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย โปรดเกล้า ฯ ให้คณะสงฆ์ปรับปรุงพระไตรปิฏกฉบับหลวง
และทรงสนับสนุนการสร้างพระไตรปิฏกฉบับคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยมหิดลที่จัดทำขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายเนื่องในมหามงคลสมัยพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกเมื่อ พ.ศ. 2531 พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อขยายการศึกษาให้ครอบคลุมถึงการทำหนังสืออธิบายขยายความในพระไตรปิฏกหรืออรรถกถาและฏีกา คือ หนังสืออธิบายขยายความอรรถกถา รวมเป็นหนังสือ 98 เล่ม บันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ เสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2534
ประเทศไทยจึงเป็นประเทศแรกในโลกที่สามารถสร้างพระไตรปิฏกฉบับคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งสะดวกในการรักษาความถูกต้องของพระธรรมและศึกษาค้นคว้าได้แพร่หลายรวดเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเรื่อง "พระมหาชนกเกี่ยวกับการเสวยพระชาติของพระพุทธเจ้าในชาติที่เกิดเป็นพระมหาชนก
โดยทรงแปลจากต้นฉบับภาษาบาลีเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษต่างจากสำนวนที่เคยมีมา หลักธรรมสำคัญที่ได้จากเรื่องนี้ คือ การบำเพ็ญความเพียรของพระมหาชนกที่ไม่เคยหวังผลตอนแทนใด ๆ กระทั่งได้ครองราชสมบัติ ในตอนท้ายของพระราชปรารถหรือคำนำของหนังสือนี้ทรงลงท้ายไว้ว่า "ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์" แสดงให้เห็นว่าความเพียรที่บริสุทธิ์เป็นคุณธรรมสำคัญในการดำเนินชีวิต
2)
ด้านการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ได้แก่
2.1) การแก้ปัญหาน้ำเน่าเสีย ได้แก่ ปัญหาน้ำเน่าเสียตามแหล่งน้ำชุมชมและแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและสิ่งแวดล้อมมาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยเรื่องคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมลงอย่างยิ่ง จึงพระราชทานพระราชดำริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาค้นคว้าทดลองและดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจังทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ทรงเน้นถึงการแก้ปัญหาที่เป็นรูปแบบง่าย ๆ เสียค่าใช้จ่ายน้อยก่อน จากนั้นจึงพิจารณาถึงวิธีการที่เป็นโครงการขนาดใหญ่และให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาของแต่ละพื้นที่
การแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียตามพระราชดำริมีหลากหลายวิธีและเป็นการใช้ภูมิปัญญา เช่น การบำบัดน้ำเน่าเสียตามวิธีธรรมชาติด้วยผักตบชวาในบริเวณบึงมักกะสันหรือโครงการมักกะสัน โดยการปลูกผักตบชวาในดอกไม้ ลอยเป็นแนวขวางตัวกับบึงเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ทำหน้าที่ดูดสารพิษ สารเคมี โลหะหนัก ปรากฏว่าผักตบชวาสามารถช่วยกำจัดสิ่งปฏิกูลในน้ำ ช่วยทำให้น้ำใสและมีสภาพดีกว่าเดิม
จากการทดสอบคุณภาพน้ำพบว่าน้ำในบึงที่ผ่านการกรองด้วยผักตบชวามีออกซิเจนละลายในน้ำมากขึ้น จึงมีการนำพระราชดำรินี้ไปใช้บำบัดน้ำเสียที่อื่น ๆ
นอกจากนี้ยังมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในการบำบัดน้ำเสียอีกวิธีหนึ่ง คือ การใช้ผักตบชวาผสมผสานกับการใช้เครื่องจักรกลเติมอากาศ คือ
ออกซิเจนลงไปในน้ำ เป็นระบบสระเติมอากาศเพื่อเร่งการบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดีเร็วขึ้น ดังโครงการบึงพระราม 9 กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้ประชากรมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
การบำบัดน้ำเสียตามแนวพระราชดำริอีกวิธีหนึ่ง คือ การเติมอากาศหรือออกซิเจนให้แก่น้ำเน่าเสีย
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์อุปกรณ์การเติมอากาศหรือออกซิเจนในน้ำด้วยรูปแบบที่เรียบง่าย ประหยัด และใช้เป็นต้นแบบให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ นำไปสร้างใช้งานและทรงพระกรุณาโปรเเกล้า ฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาสนับสนุนงบประมาณเพื่อศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าว และร่วมกับกรมชลประทานจัดสร้างเครื่องมือบำบัดน้ำเสียด้วยการเติมอากาศพระราชทานชื่อว่า "กังหันชัยพัฒนา" ซึ่งเป็นที่นิยมและนำไปใช้งานกือบทั่วประเทศ ต่อมากรมทรัพย์สินทางปัญญา
กระทรวงพาณิชย์ ได้รับจดทะเบียนสิทธิบัตรเลขที่ 3127 ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์ และเป็นสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศเครื่องที่ 9 ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตร นับเป็นภูมิปัญญาหนึ่งที่ได้ทรงสร้างสรรค์ขึ้น
2.2)
การป้องกันการเสื่อมโทรมและพังทลายของดินโดยหญ้าแฝก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงสภาพปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน และการสูญเสียหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ จึงทรงศึกษาถึงศักยภาพของหญ้าแฝก ซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านของไทยที่มีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดินและอนุรักษ์ความชุ่มชื้นใต้ดิน หญ้าแฝกปลูกง่าย เกษตรกรสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องดูแลหลังการปลูกมากนัก ทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย
นอกจากนี้การปลูกหญ้าแฝกบนคันนายังช่วยให้คันนาคงสภาพอยู่ได้นาน
หญ้าแฝกสามารถนำมาใช้ประโยชน์อื่น ๆ ได้อีก เช่น ไม้มุงหลังคา ตับหลังคาที่ทำจากหญ้าแฝกสามารถผลิตจำหน่ายได้ นอกจากนี้ หญ้าแฝกยังมีสรรพคุณช่วยขับลมในลำไส้แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และแก้ไข
ส่วนรากที่มีความหอมนั้น คนไทยสมัยก่อนมักนำมาแขวนในตู้เสื้อผ้า ทำให้มีกลิ่นหอมและช่วยไล่แมลงที่จะมาทำลายเสื้อผ้า ตลอดจนนำมาสกัดทำน้ำหอม
2. สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1)
ด้านการส่งเสริมและอนุรักษ์งานหัตถกรรมพื้นบ้าน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงส่งเสริมภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยโดยเฉพาะด้านงานหัตถกรรมพื้นบ้านและงานช่าง ทรงจัดตั้งศูนย์ศิลปาชีพขึ้นหลายแห่งเพื่อเป็นที่รวบรวมสินค้าจากฝีมือชาวบ้านและเป็นแหล่งสอนงานหัตถกรรมแก่ชาวบ้าน ทรงดำเนินการเพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์งานหัตถกรรมพื้นบ้าน เช่น
1.1)
ทรงเริ่มโครงการหัตถกรรม เพื่อช่วยเหลือราษฏรเป็นครั้งแรกที่หมู่บ้านเขาเต่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2508 โดยชักชวนให้หญิงชาวบ้านเขาเต่าหัดทอผ้าฝ้ายขายเป็นอาชีพเสริม ทรงให้ครูทอผ้าจากโรงงานทอผ้าบ้านไร่ จังหวัดราชบุรี มาสอนการทอผ้าให้แก่ราษฎรบ้านเขาเต่า สร้างกี่ทอผ้าขึ้นที่ท้ายวังไกลกังวลเพื่อให้ชาวบ้านมาหัดทอผ้า เริ่มจากการทอผ้าขาวม้าและผ้าซิ่น ชาวบ้านที่มาเรียนทอผ้าได้รับพระราชทานอาหารกลางวันและค่าแรง
ต่อมาเจ้าอาวาสวัดเขาเต่าและครูใหญ่โรงเรียนเขาเต่าช่วยดูแลต่อ ปัจจุบันโครงการทอผ้าฝ้ายที่เขาเต่าอยู่ภายใต้การดูแลของกรมการพัฒนาชุมชน โดยพัฒนากรอำเภอหัวหินเป็นผู้ดูแลโครงการตั้งแต่ พ.ศ. 2511 มีการสอนการทอผ้า ย้อมสี ตัดเย็บ และสอนการประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ป่านศรนารายณ์
1.2)
ทรงเริ่มโครงการศิลปาชีพ โครงการแรก คือ โครงการทอผ้าไหมมัดหมี่ จังหวัดนครพนม ทรงสนพระทัยซิ่นไหมมัดหมี่ที่หญิงชาวบ้านนุ่ง เพราะมีความสวยงามแปลกตา เหมาะที่จะเป็นอาชีพเสริมของชาวบ้านเนื่องจากทุกครัวเรือนจะทอใช้กันอยู่แล้ว ทรงชักชวนให้ชาวบ้านประกอบอาชีพเสริมด้วยการทอผ้าไหมมัดหมี่ ทรงรับซื้อผ้าที่ชาวบ้านทอทุกผืน โดยส่งรวมไป ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และทรงนำผ้าไหมมัดหมี่มาตัดฉลองพระองค์
ต่อมาได้จัดตั้งกลุ่มทอผ้าไหมขึ้นตามหมู่บ้านและรับชาวบ้านเข้าเป็นสมาชิก ผู้ที่ทอผ้าไม่เป็นก็ให้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเพื่อเป็นวัตถุดิบแก่ผู้ทอ โครงการนี้ต่อมาจึงได้ขยายออกไปทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเป็นโครงการส่งเสริมอาชีพที่สร้างรายได้ให้แก่ราษฎรอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน
1.3)
ทรงส่งเสริมให้ตั้งโรงฝึกงานหัตถกรรมและศูนย์ศิลปาชีพ เช่น โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดา ภายในบริเวณสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2520 เพื่อฝึกหัดงานหัตถกรรมไทยแขนงต่าง ๆ แก่นักเรียนซึ่งเป็นบุตรหลานของราษฎรที่มีฐานะยากจนแต่มีฝีมือทางศิลปะหรือพอจะฝึกหัดศิลปหัตถกรรมในขั้นที่ยากขึ้น และเป็นศูนย์กลางรับซื้อ เก็บรักษาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งหมด รวมทั้งเป็นที่ทำการของกองศิลปาชีพ
สำนักราชเลขาธิการ
ศูนย์ศิลปาชีพจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2528 มีการฝึกสอนศิลปาชีพหลายประเภท เช่น ทอผ้าไหม ตัดเย็บเสื้อผ้าตุ๊กตาชาวเขา ดอกไม้ประดิษฐ์ จักสานหวาย จักสานไม้ไผ่ เครื่องหนังและของชำร่วย
สมาชิกของศูนย์ ฯ แบ่งเป็นสมาชิกชั่วคราวและสมาชิกประจำ สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกชั่วคราวเมื่อเรียนจบแล้วก็สามารถกลับไปประกอบงานศิลปาชีพที่บ้าน ส่วนผู้ที่เป็นสมาชิกประจำซึ่งมีฝีมือดี ทางศูนย์ ฯ จะจ้างไว้เพื่อผลิตงาน
ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
อยู่ใกล้กับพระราชวังบางปะอิน จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2524 โดยรับเกษตรกรที่มีฐานะยากจนจากจังหวัดต่าง ๆ มาฝึกอบรมด้านศิลปาชีพสาขาต่าง ๆ ประมาณ 30 สาขา รวมทั้งมีแผนกเกษตรกรรมเพื่อให้ความรู้แก่เกษตรกรที่มาฝึกอบรมด้านศิลปาชีพ นับได้ว่าโครงการส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมของไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์เหล่านี้ได้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการอนุรักษ์และส่งเสริมภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยให้สืบทอดอยู่ในปัจจุบัน
3.
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงมีผลงานในด้านการส่งเสริมและอนุรักษ์ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ในภาคเหนือ เช่น ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ได้มีการดำเนินการเพื่อส่งเสริมอาชีพ การรักษาศิลปวัฒนธรรมของชาวเขาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ เช่น ส่งเสริมให้มีการทอผ้าพื้นเมืองของชาวเขาที่มีเอกลักษณ์ประจำเผ่า
การทำเครื่องประดับพื้นเมืองของชาวเขา เช่น เครื่องเงิน เพื่อขายให้แก่บรรดานักท่องเที่ยว การส่งเสริมอาชีพให้ชาวเขามีงานทำ เช่น การปลูกพืชเมืองหนาวที่ดอยตุง การนำเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิกา ไม้ดอกเมืองหนาวมาปลูกและพืชต่าง ๆ เช่น เห็ดหลินจือ หน่อไม้ฝรั่ง สตอรอว์เบอร์รี กล้วยไม้ เป็นต้น
นอกจากนี้
ทรงให้ความเหลือแก่ชาวเขาและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในท้องถิ่นทุรกันดาร เช่น ทรงตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ดูแลสุขภาพอนามัยแก่คนในชนบท ทรงสนับสนุนให้ตำรวจตระเวนชายแดนทำหน้าที่สอนหนังสือให้แก่ชาวเขาและชาวบ้านอีกทางหนึ่ง ทรงส่งเสริมอาชีพของชาวบ้านและชาวเขาโดยเฉพาะเพื่ออนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาและวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น
4. สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย ดังนี้
1) ด้านการส่งเสริมและเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทรงมีส่วนในการเผยแพร่พระไตรปิฏกสากลสู่โลก โดย
"มูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้า ฯ เพื่อเยาวชนในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงเป็นประธานในการก่อตั้งและประธานกิตติมศักดิ์ และ "กองทุนสนทนาธัมม์นำสุข ฯ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ฯ" ได้ร่วมจัดทำพระไตรปิฏกเพื่อพระราชทานและประดิษฐานพระไตรปิฏกในนานาอารยประเทศ และต่อมาทรงสนับสนุนการจัดทำพระไตรปิฏกเป็นภาษาโรมัน และได้เผยแผ่พระไตรปิฏกฉบับสากล ภาษาโรมันชุดสมบูรณ์ 40 เล่มชุดแรกของโลก
2)
ด้านอักษรศาสตร์ สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงศึกษาภาษาต่างประเทศมากมาย เช่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษาละติน ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนทรงพระปรีชาสามารถทั้งการเขียน การพูด การแปลและการสอน และทรงมีพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับพระราชวงศ์ 11 เรื่อง เช่น เวลาเป็นของมีค่า เจ้านายเล็ก ๆ ยุวกษัตริย์ แม่เล่าให้ฟัง พระราชธิดาในรัชกาลที่ 5 พระนิพนธ์แปล 3
เรื่อง เช่น นิทานสำหรับเด็ก ราชาภิเษกพระเจ้ากรุงสเปน พระนิพนธ์สารคดีเชิงท่องเที่ยว 10 เรื่อง เช่น สายอารยธรรมจีน : 7 ธานีแห่งอาณาจักรกลาง ภูฏาน : เกาะเขียวบนแผ่นดิน ซินเจียและกานซู : ภาพจากดินแดนสุดหล้าฟ้าเขียว และพระนิพนธ์บทความทางวิชาการ 1 เรื่อง พระนิพนธ์เหล่านี้ให้ทั้งความรู้ ความบันเทิง และยังเป็นการส่งเสริมภูมิปัญญาด้านอักษรศาสตร์ของไทยด้วย
3)
ด้านศิลปวัฒนธรรม สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงรับโรงละคนเล็ก "นาฏยศาลาหุ่นละครเล็ก" (โจหลุยส์) ไว้ในพระอุปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 2550 เป็นการสืบสานหุ่นละครเล็กที่มหรสพเก่าแก่ของไทย
กล่าวโดยสรุป ปัจจุบันวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยอันมีคุณค่าต่อคนไทยหลายอย่างได้เกิดการสูญหายหรือถูกละเลย
อันเป็นผลมาจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงของสังคม การรับวัฒนธรรมต่างชาติ ทัศนคติและค่านิยมของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นเยาวชนรุ่นใหม่จึงควรตระหนักถึงความสำคัญของวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยและร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาให้คงอยู่สืบไป