2. ต้องลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้พึงประเมิน หรือไม่น้อยกว่า 5,000 บาท (อ้างอิงจำนวนที่ต่ำกว่า) และห้ามเกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีในปีนั้น และเมื่อรวมกับเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และประกันชีวิตแบบบำนาญ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท
3. ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์และต้องลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปี (ปีใดไม่มีการลงทุนจะไม่มีการนับอายุการลงทุน)
กรณีลงทุนมากกว่า 5 ปี
- ต้องคืนภาษีที่ได้รับยกเว้นย้อนหลัง 5 ปีปฏิทิน
กรณีจ่ายคืนภาษีล่าช้า
- ต้องมีการจ่ายคืนเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือน ตั้งแต่เดือนเมษายนถัดจากปีที่ทำผิดเงื่อนไขการลงทุนนั้นๆ
เคล็ดลับการเลือกซื้อกองทุน RMF
1. ศึกษารายละเอียดของกองทุน โดยพิจารณาลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายเหมาะสมกับตนเองภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
2. ลงทุนตามสิทธิที่ได้รับ ไม่ลงทุนเกินสิทธิ
3. กระจายการลงทุนใน RMF ที่มีนโยบายการลงทุนต่างกัน หรือลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ ทั้งสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
4. ปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนไป เช่น วัย การรับความเสี่ยง รายรับ และสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
5. วางแผนการลงทุนแบบ DCA
หรือการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน โดยกำหนดการลงทุนเป็นงวดๆ งวดละเท่าๆ กันตามที่กำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอ เช่น ลงทุนเดือนละครั้งต่อเนื่องไปทุกเดือน การลงทุนแบบ DCA ช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาดในการลงทุนด้วยการจับจังหวะตลาด
เลือก RMF กองทุนไหนดี ท่ามกลางความหลากหลาย
RMF ไม่ได้มีแค่กองทุนเดียว ทำให้เกิดคำถามสำหรับหลายคนว่า ควรเลือกซื้อ RMF กองทุนไหนดี โดยจะขอยกตัวอย่างกองทุน RMF บางส่วนว่ามีความแตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
กองทุน RMF ของกรุงศรี
- กองทุน KFAFIXRMF (ความเสี่ยงระดับ 4 : เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ)
กองทุนเปิดกรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวทั้งในประเทศและต่างประเทศ เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อยหรือใกล้เกษียณ ที่ไม่ต้องการลงทุนในหุ้นที่มีเสี่ยงสูง เน้นความมั่นคงมากกว่าโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูง
- 3 ดี RMF (ความเสี่ยงระดับ 5 : เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง)
3 ดี RMF เป็นกลุ่มกองทุน RMF ผสมแบบยืดหยุ่น ผู้ลงทุนไม่ต้องเสี่ยงสูงกับสินทรัพย์เดียว ไม่ต้องจัดพอร์ตเงินลงทุนเอง ไม่ต้องปรับพอร์ตเมื่อเวลาผ่านไป และ...ไม่ต้องใช้เงินเยอะ
ด้วยนโยบายการลงทุนทั้งในตราสารหนี้ หุ้น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ REITs และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่ผ่านการคัดสรรของผู้จัดการกองทุน กองทุนในกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนการลงทุนในแต่ละประเภทสินทรัพย์ที่แตกต่างกันไป เพื่อให้เหมาะกับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แตกต่างกัน และมีความโดดเด่นในเรื่องการปรับสัดส่วนการลงทุนอย่างยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ประกอบไปด้วย 3 กองทุน
1. กองทุน KFHAPPYRMF
เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากเสี่ยงสูงเน้นความมั่นคงมากกว่าผลตอบแทน กองทุนจะเน้นสัดส่วนของตราสารหนี้มากที่สุดคือ 75-100%
คลิกดูรายละเอียดกองทุน
2. กองทุน KFGOODRMF
เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นได้ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนสูงขึ้น โดยกองทุนจะมีสัดส่วนของหุ้น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ REITs และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานได้สูงสุด 50%
คลิกดูรายละเอียดกองทุน
3. กองทุน KFSUPERRMF
เหมาะสำหรับผู้ที่อยากให้เงินลงทุนเติบโตได้เร็วขึ้น แม้จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น เพราะกองทุนสามารถลงทุนในหุ้น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ REITs และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานได้สูงสุดถึง 75% เลย
คลิกดูรายละเอียดกองทุน
- กองทุน KFS100RMF (ความเสี่ยงระดับ 6 : เสี่ยงสูง)
กองทุนเปิดกรุงศรี SET100 เพื่อการเลี้ยงชีพ มีสไตล์การลงทุนแบบ Passive มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่มีความมั่นคงสูง กองทุน KFS100RMF
เหมาะกับผู้ที่ต้องการโอกาสรับ ผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับ
ผลตอบแทนดัชนี SET100
- กองทุน KFGBRANRMF (ความเสี่ยงระดับ 6 : เสี่ยงสูง)
กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลแบรนด์อิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ ลงทุนในบริษัทเจ้าของแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและมีฐานลูกค้าอยู่ทั่วโลก เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค เทคโนโลยี ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ
จะเห็นได้ว่าแม้จะขึ้นชื่อว่า RMF ทว่าแต่ละกองทุนจะมีการลงทุนที่หลากหลาย ระดับความเสี่ยงต่างกัน มีการลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้เลือก หากคุณสนใจข้อมูลกองทุน RMF อื่นๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ กองทุน RMF ของ บลจ.กรุงศรี ครบทุกสินทรัพย์ลงทุน
ตัวอย่างการจัดพอร์ตลงทุน RMF
เนื่องจาก RMF เป็นการลงทุนระยะยาว เมื่อเวลาผ่านไปผู้ลงทุนควรประเมินผล และพิจารณาปรับพอร์ตการลงทุนของตนเองด้วย เช่น ปีละครั้ง แต่ถ้าอยากลงทุนยาวๆ แบบสบายใจ ไม่ต้องยุ่งยากหรือกังวลว่าจะจัดพอร์ตแบบไหนดี แล้วต้องปรับพอร์ตอย่างไร เมื่อไหร่ควรลงทุนในหุ้นเพิ่ม หรือเมื่อไหร่ควรเพิ่มตราสารหนี้กับหุ้นต่างประเทศ การลงทุนใน RMF ที่เป็นกองทุนผสมแบบยืดหยุ่นที่มีผู้จัดการกองทุนคอยคัดเลือกสินทรัพย์ วิเคราะห์สถานการณ์และปรับพอร์ตให้ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี
ส่วนคำถามว่าจะลงทุนตอนไหนดี ถ้าดูจากสถิติที่ผ่านมาพบว่ากว่า 94% ของผลตอบแทนในการลงทุนมาจากการจัดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม ในขณะที่การจับจังหวะการลงทุนส่งผลต่อผลตอบแทนโดยเฉลี่ยเพียงแค่ 2% เท่านั้น ดังนั้น การคอยตามข่าวเศรษฐกิจหาจังหวะหุ้นลง น้ำมันขึ้น ค่าเงินบาทแข็ง หรือดอกเบี้ยลด ก็อาจจะไม่มีผลทำให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้นสักเท่าไหร่ เผลอๆ อาจจับจังหวะผิดก็เป็นได้ ทยอยลงทุนสะสมไปเรื่อยๆ น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า ไม่ต้องใช้เงินก้อนแล้วยังได้เฉลี่ยต้นทุนในการซื้อกองทุนด้วย