6 อวัยวะที่ไม่จำเป็นสำหรับมนุษย์อีกต่อไป
19 กุมภาพันธ์ 2020
เราต่างรู้ดีว่า ไส้ติ่ง คืออวัยวะไร้ประโยชน์ที่หลงเหลือมาจากกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์ แต่คุณทราบหรือไม่ว่านอกจากนี้แล้ว ยังมีอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายที่ไม่มีประโยชน์ใช้งานสำหรับคนยุคปัจจุบันอีกต่อไป
ดร.ดอร์ซา อามีร์ นักมานุษยวิทยาที่ศึกษาด้านวิวัฒนาการ ระบุว่า "ร่างกายของคุณก็คือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติดี ๆ นี่เอง"
แล้วเหตุใดลักษณะสืบสายพันธุ์เหล่านี้ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายของเราแม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์แล้ว
- ทารกในครรภ์มี "มือตุ๊กแก" กล้ามเนื้อชุดพิเศษที่สลายไปก่อนคลอด
- ลักษณะที่หลงเหลือจากวิวัฒนาการ 6 อย่างที่พบในมนุษย์
- ความเป็นมาของทฤษฎีวิวัฒนาการที่โด่งดังของดาร์วิน
- เหตุใดบางคนจึงมีคุณสมบัติทางกายภาพเหนือคนทั่วไป?
- มนุษย์อาจกำลังมีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญก็คือ เพราะวิวัฒนาการเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั่นเอง
ในบางครั้งก็ไม่มีแรงกดดันจากการคัดเลือกทางธรรมชาติเพียงพอที่จะขจัดลักษณะสืบสายพันธุ์ที่ไร้ประโยชน์บางอย่างไป ดังนั้นมันจึงยังหลงเหลืออยู่จากรุ่นสู่รุ่น ในบางกรณีลักษณะสืบสายพันธุ์เหล่านี้ได้พัฒนาประโยชน์การใช้งานใหม่ขึ้น ในกระบวนการที่เรียกว่า "การเปลี่ยนหน้าที่ของโครงสร้าง" (exaptation)
นี่คือ ลักษณะที่หลงเหลือจากวิวัฒนาการ 6 อย่างที่พบในมนุษย์ :
1. หางตัวอ่อนมนุษย์
ตัวอ่อนมนุษย์พัฒนาหางขึ้นมาในสัปดาห์แรก ๆ ของการปฏิสนธิ แต่หางนี้จะหายไปก่อนที่เราจะเกิด และกระดูกสันหลังที่เหลืออยู่จะกลายเป็นกระดูกก้นกบ
2. ฟันคุด
ฟันกรามซี่ที่ 3 ของมนุษย์มีประโยชน์น้อยลงเพราะคนเราเปลี่ยนไปรับประทานอาหารที่อ่อนนุ่มและธัญพืชหุงสุก มนุษย์ยุคปัจจุบันไม่ได้มีฟันคุดกันทุกคน และทันตแพทย์หลายคนมักแนะนำให้ผ่าฟันคุดออกไป
3. กล้ามเนื้อออริคิวลาร์ (auricular muscles)
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นใช้กล้ามเนื้อส่วนนี้เพื่อขยับใบหู รวมทั้งใช้ตรวจจับฟังเสียงของเหยื่อและสัตว์นักล่าต่าง ๆ แต่สำหรับมนุษย์ซึ่งมีคอที่ยืดหยุ่นมากกว่าสำหรับการระแวดระวังภัย จึงไม่จำเป็นต้องใช้กล้ามเนื้อส่วนนี้อีกต่อไป
4. กล้ามเนื้อปาล์มาริส ลองกัส (palmaris longus)
เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ตั้งแต่บริเวณข้อมือถึงข้อศอก มันช่วยบรรพบุรุษของเราในการปีนป่ายต้นไม้ ทว่าปัจจุบันมีมนุษย์ราว 10% ที่ไม่มีกล้ามเนื้อส่วนนี้อีกต่อไปแล้ว
5. กล้ามเนื้อเรียบ (arrector pili)
ในอดีตที่บรรพบุรุษของมนุษย์มีขนปกคลุมร่างกายอยู่มาก กล้ามเนื้อส่วนนี้ช่วยให้พวกเขา "พองขน" จนดูตัวใหญ่และน่าเกรงขามกว่าความเป็นจริง หรือเพื่อช่วยให้ร่างกายรักษาความร้อนเอาไว้ในสภาพอากาศหนาวเย็น
แต่ปัจจุบันเมื่อมนุษย์มีขนตามลำตัวน้อยลง กล้ามเนื้อส่วนนี้ทำให้เราเกิดเพียงอาการขนลุกเมื่อมันมีอาการหดตัวจากสิ่งเร้า
"เมื่อเราเริ่มมีขนน้อยลง ปฏิกิริยานี้จึงไร้ประโยชน์ ถึงขั้นที่มันไม่ได้ทำหน้าที่ดั้งเดิมตามธรรมชาติของมัน" ดร.อามีร์ กล่าว
6. หัวนมผู้ชาย
ทารกในครรภ์เพศชายและหญิง มีพัฒนาการแบบเดียวกันในช่วงแรก โดยหัวนมของเด็กชายพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่ฮอร์โมนจะเริ่มทำงานและกระตุ้นให้มีการพัฒนาอวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
ภาวะเชื้อราในช่องคลอด เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยของการอักเสบในช่องคลอด โดยผู้หญิง 3 ใน 4 คนเคยติดเชื้อราในช่องคลอดอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตและหลายคนติดเชื้ออย่างน้อยสองครั้ง ภาวะเชื้อราในช่องคลอดทำให้เกิดอาการบวม คันและระคายเคือง รวมถึงมีตกขาวออกจากช่องคลอดได้
ภาวะเชื้อราในช่องคลอดไม่ถือว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่การมีเพศสัมพันธ์เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อรา เชื้อราที่พบได้บ่อยที่สุดคือเชื้อ Candida Albicans รองลงมาคือเชื้อ Candida Grabata เพราะเป็นเชื้อที่สามารถยึดติดกับเซลล์บุช่องคลอดได้ดี
- อาการของภาวะเชื้อราในช่องคลอด
- เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์
- การวินิจฉัยภาวะเชื้อราในช่องคลอด
- สาเหตุเกิดจากอะไร
- ป้องกันได้อย่างไร
อาการของภาวะเชื้อราในช่องคลอด
อาการของภาวะติดเชื้อราในช่องคลอดมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงปานกลาง บางคนอาจไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ ถึงแม้จะติดเชื้อก็ตาม อาการที่พบได้มีดังนี้
- คันและระคายเคืองบริเวณช่องคลอดหรือภายในช่องคลอด
- มีอาการบวมบริเวณอวัยวะเพศ
- รู้สึกแสบร้อนขณะมีเพศสัมพันธ์หรือปัสสาวะ
- มีผื่นแดงบริเวณอวัยวะเพศ
- มีตกขาวเป็นสีขาวครีมข้น ไม่มีกลิ่น บางครั้งอาจมีลักษณะเป็นน้ำได้เช่นกัน
ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะมีภาวะติดเชื้อราที่ซ้ำซ้อนหากมีอาการดังต่อไปนี้
- มีอาการบวม แดงคันที่รุนแรงจนทำให้เกิดแผลและเจ็บปวดบริเวณช่องคลอด
- มีการติดเชื้อรา 4 ครั้งหรือมากกว่าต่อปี
- ติดเชื้อราสายพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่ Candida Albicans
- กำลังตั้งครรภ์
- เป็นโรคเบาหวานที่ไม่ได้ควบคุม
- มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำเพราะโรคบางชนิด เช่น ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี
เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์
- มีภาวะติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นครั้งแรก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่านั้นและต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างออกไป เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ หรือโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- หากผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนที่จะซื้อยามารักษาเอง
- ติดเชื้อราในช่องคลอด 4 ครั้งหรือมากกว่าต่อปี แพทย์อาจต้องให้ยาต้านเชื้อรานานอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรค นอกจากนี้การติดเชื้อราบ่อยครั้งอาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวานหรือโรคอื่นๆ ได้
การวินิจฉัยภาวะเชื้อราในช่องคลอด
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการซักประวัติผู้ป่วย เช่น เคยมีประวัติเกิดการติดเชื้อราหรือมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อนหรือไม่ ตรวจภายในและตรวจดูความผิดปกติของลักษณะภายนอก หลังจากนั้นแพทย์จะเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากช่องคลอดเพื่อนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ
สาเหตุเกิดจากอะไร
การติดเชื้อราในช่องคลอดเกิดจากอะไร
- การใช้ยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งทำลายเชื้อแบคทีเรียดีในช่องคลอด ทำให้เกิดการติดเชื้อราในช่องคลอด
- ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายเพิ่มมากขึ้น จากการตั้งครรภ์ การรับประทานยาคุมกำเนิดที่มีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงหรือการรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัด
- โรคเบาหวานที่ไม่ได้ควบคุม ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่ได้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดมีความเสี่ยงในการติดเชื้อราในช่องคลอดมากขึ้น
- ระบบภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้รับการบำบัดด้วยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์
ป้องกันได้อย่างไร
การปฏิบัติตัวตามหลักสุขอนามัยช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อราในช่องคลอดได้
- รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่สมดุล
- รับประทานโยเกิร์ตหรืออาหารเสริมที่มีแลคโตบาซิลลัส ซึ่งช่วยรักษาสมดุลของความเป็นกรดด่างในช่องคลอด
- สวมใส่เสื้อผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินินหรือผ้าไหม รวมถึงสวมกางเกงและกางเกงชั้นในที่ไม่รัดแน่นจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด เพราะเป็นการนำเชื้อแบคทีเรียดีที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อออกจากร่างกาย
- ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น
- ไม่สวมใส่เสื้อผ้าเปียกชื้นเป็นเวลานาน เช่น ชุดว่ายน้ำหรือชุดออกกำลัง
- ไม่ใช้แผ่นอนามัยและเปลี่ยนผ้าอนามัยอย่างสม่ำเสมอขณะมีประจำเดือน เพื่อไม่ให้เกิดความอับชื้น
เรียบเรียงโดย พญ. ปรียานาถ กำจรฤทธิ์ ศูนย์สูติ-นรีเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:- ศูนย์สูติ-นรีเวช
8.00-20.00 (BKK Time)
Hot line tel. +66 63 189 340620.00-8.00 (BKK Time)
เบอร์ Contact center +662 066 8888 และ 1378