ในยามที่เราฟังเพลงหรือดูดนตรีหรือในยามที่เราได้มีโอกาสชมคอนเสิร์ตของวงดนตรีต่างๆ จะเห็นได้ว่านอกจากจะมีนักร้องนำและนักดนตรีแล้วผู้ที่ขับขานเสียงร้องสอดประสานเสียงทำให้เสียงเพลงนั้นมีพลัง มีความไพเราะเสนาะหูเพิ่มขึ้น ก็คือนักร้องประสานเสียง
กว่าที่จะเป็นนักร้องประสานเสียงจนได้มีโอกาสร่วมร้องเพลงประสานเสียงในบทเพลงได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ใครก็ได้จะเป็นนักร้องประสานเสียงได้
ผู้ที่จะเป็นนักร้องประสานเสียงได้นั้นจะต้องได้รับการเรียนรู้ถึงเทคนิคและวิธีการต่างๆและฝึกฝนอย่างหนัก
การร้องประสานเสียง หมายถึง เสียงร้องเพลงของผู้ร้องหลายคนที่เปล่งเสียงออกมาพร้อมๆกันโดยมีระดับเสียงที่ต่างกัน โดยที่เสียงที่เปล่งออกมานั้นจะต้องมีความกลมกลืนผสมผสานกันฟังแล้วไม่ขัดหู
การร้องเพลงประสานเสียงมีการแบ่งแนวเสียงออกเป็น 4 แนวด้วยกันคือ
1.เสียงโซปราโน เป็นเสียงสูงสุด เช่น เสียงของเด็กที่ยังไม่แตกและเสียงของผู้ที่มีเส้นเสียงสูง คือเสียง โด-ซอล
2.เสียงอาลโต (ALTO) เป็นเสียงที่มีเสียงต่ำรองมาจากเสียงโซปราโน คือเสียง ซอล-โด
3.เสียงเตเนอร์ (TENOR) คือ เสียงของผู้ชายที่มีเสียงสูง คือเสียง โด-ซอล
4.เสียงเบส (BASS) คือ เสียงต่ำของผู้ชาย คือเสียง ฟา-โด
การที่จะร้องเพลงประสานเสียงให้ถูกวิธีนั้นนักร้องประสานเสียงจะต้อง
1.ออกเสียงให้ถูกต้อง สำคัญอย่างมาก เพราะในการออกเสียงร้องทุกครั้งนักร้องต้องมีสิ่งที่จะต้องควบคุมหลายอย่าง เช่น การใช้ลมหายใจต้องให้ถูกต้อง เมื่อขับร้องหมู่เป็นเสียงประสานแล้วจะเกิดความไพเราะ พร้อมเพรียง
2. มีทักษะการแสดงที่ดี ในที่นี้คือการใส่อารมณ์ นักร้องประสานเสียงจะต้องตีความหมายของบทเพลงให้ถูกต้องว่าเพลงที่ขับร้องต้องใส่อารมณ์ในการร้องอย่างไร จึงจะตรงตามความหมายของบทเพลง
3.ปั้นรูปปากให้ถูก ถือเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการขับร้อง การร้องออกเสียงคำต่างๆ เช่น คำที่อยู่ในสระ อี อา โอ อู ควรต้องปั้นรูปปากอย่างไร ไม่ผิดลักษณะไปจากธรรมชาติ ซึ่งนับว่าสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการขับร้องประสานเสียง เพราะเป็นการขับร้องของคนจำนวนมาก
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่อง่ายที่จะเป็นนักร้องประสานเสียงแต่ก็ไม่ยากเกินความพยามยามสำหรับผู้ที่รักที่จะร้องเพลงประสานเสียงให้ถูกวิธีอีกทั้งนักร้องเพลงประสานเสียง ควรฝึกซ้อมพัฒนาเทคนิคตนเองในการขับร้องเป็นอย่างสม่ำเสมอ นับตั้งแต่การวางท่าทางที่ถูกต้อง การออกเสียงให้ถูกต้อง ซึ่งพื้นฐานเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ร้องเพลงประสานเสียงมีเทคนิคการร้องที่ดีและสามารถก้าวไปสู่การเป็นนักร้องประสานเสียงระดับคุณภาพได้ต่อไป
หลักการขับร้องเพลง
การขับร้องเป็นการสร้างสรรค์ทางดนตรีวิธีหนึ่ง ซึ่งใช้วิธีเปล่งเสียงออกมาให้เป็นเพลงต่าง ๆ โดยอาศัยองค์ประกอบทางดนตรี เพื่อทำให้เพลงที่ร้องมีความไพเราะขึ้น
1. ประเภทของการขับร้อง แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1. การขับร้องอิสระ คือ การขับร้องทั่วไป โดยไม่มีดนตรีประกอบผู้ขับร้องสามารถขับร้องตามที่ตนเองถนัดหรือต้องการ โดยไม่คำนึงถึงระดับเสียงของเครื่องดนตรี
2.
การขับร้องประกอบดนตรี คือ การขับร้องให้เข้ากับการบรรเลงเครื่องดนตรี โดยคำนึงถึงทำนอง จังหวะ และรูปแบบของเพลง
3. การขับร้องประกอบการแสดง คือ การขับร้องเพื่อบรรยายเนื้อเรื่องหรือเนื้อเพลงประกอบการแสดงต่าง ๆ
4. การขับร้องหมู่ คือ การขับร้องพร้อมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ การขับร้องทำนองเดียวกันและการร้องประสานเสียง
2. การขับร้องเพลงไทย การขับร้องเพลงไทย ควรเริ่มจากท่าทางการร้อง เนื่องจากเพลงไทยมีลักษณะเฉพาะ
ผู้ขับร้องจะนั่งร้องเป็นส่วนใหญ่และมียืนร้องบ้างตามโอกาส ซึ่งผู้ขับร้องควรจะแสดงท่าทางให้เหมาะสม ดังนี้
1. ท่านั่ง ผู้ขับร้องส่วนใหญ่จะนั่งราบกับพื้นเวทีเช่นเดียวกับนักดนตรีซึ่งจะต้องนั่งพับเพียบให้เรียบร้อย สำรวมกิริยา นั่งตัวตรงไม่กระดุกกระดิก หรือเคลื่อนไหวมากเกินไป
ขณะร้องให้หันหน้าไปทางผู้ชมเสมอ
2. ท่ายืน ในบางโอกาสผู้ขับร้องอาจจะได้ยืนร้อง ซึ่งผู้ขับร้องควรยืนร้อง ซึ่งผู้ขับร้องควรยืนอย่างสำรวมกิริยาท่าทาง และระวังการเคลื่อนไหวมือ เท้า และลำตัว
การขับร้องเพลงไทย มีหลักการปฏิบัติ ดังนี้
1. ร้องให้มีระดับเสียงสอดคล้องกับเสียงดนตรี
2. หายใจเข้า-ออก ให้สอดคล้องกับช่วงจังหวะ ทำนอง และเนื้อเพลง
3.
ออกเสียงพยัญชนนะ สระ คำควบกล้ำ ตามอักขรวิธี
4. ร้องให้ถูกต้องตามวรรคตอนของเนื้อเพลง เพราะหากร้องไม่ถูกวรรคตอน อาจทำให้ความหมายคลาดเคลื่อนได้
5. เนื่องจากเพลงไทยมีการเอื้อน
ให้ระมัดระวังในเรื่องการออกเสียงควรเอื้อนให้มีน้ำเสียงสม่ำเสมอตามจังหวะและทำนองเพลง