รายละเอียด ผู้ดูแลระบบ หมวดหลัก: ข่าวความเคลื่อนไหวงานพัฒนา สร้างเมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2554 ฮิต: 16079
ระบบการจัดการน้ำเป็นภูมิปัญญาที่เกิดในประเทศไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยการตั้งบ้านแปลงเมือง ดังหลักฐานทางด้านโบราณคดีตามชุมชนโบราณขนาดใหญ่หลายแห่ง มีการขุดคูน้ำและแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค นอกจากเหตุผลการป้องกันข้าศึกศัตรูแล้วยังเป็นแหล่งอาหารให้กับประชาชนอีกด้วย ในสมัยสุโขทัย บริเวณที่ตั้งเมืองสุโขทัยมักประสบปัญหาความขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง อันเป็นปัญหาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ของสุโขทัยที่ปราศจากแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียง เพราะฉะนั้น คนไทยสมัยสุโขทัย จึงได้ดัดแปลงสภาพธรรมชาติในรูปแบบการจัดระบบชลประทาน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาไทยในการจัดระบบน้ำที่สลับซับซ้อน ตั้งแต่การนำน้ำหรือส่งน้ำไปยังพื้นที่ที่ต้องการน้ำ การเก็บกักน้ำไว้ใช้และแจกจ่ายเพื่ออุปโภค บริโภค คนสุโขทัยบังคับน้ำที่ไหลจากที่สูงลงมายังพื้นที่ราบให้ไหลไปตามแนวดินและท่อส่งน้ำ ไปยังแหล่งเก็บกักน้ำต่างๆ นอกจากนี้ระบบการควบคุมน้ำดังกล่าว ยังลดสภาวะอุทกภัยที่เกิดขึ้นได้อีกด้วย
เครือข่ายองค์กรชุมชนลูกพ่อขุนราม ร่วมกับเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนตำบลจังหวัดสุโขทัย จึงได้จัดเวทีสรุปบทเรียน น้ำท่วม น้ำแล้ง เพื่อรับฟังความคิดเห็นและแนวคิดการจัดการน้ำทั้ง ๙ อำเภอของจังหวัดสุโขทัย เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลดงเดือย อำเภอกงไกลาศ จังวัดสุโขทัย โดยมีตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมน้ำแล้งจากทุกอำเภอเข้าร่วมกว่า ๓๐ คน
ระบบผันน้ำปิงสู่น้ำยม
ตามหลักศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ ที่ว่า “เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” การจัดการปัญหาน้ำเพื่อใช้ปลูกข้าวที่ก้าวหน้ายิ่ง คือการใช้แนวถนนพระร่วงเป็นคันกั้นน้ำเป็นช่วงๆ ทำให้สองข้างทางเป็นเสมือนคลองชลประทานผันน้ำเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริให้อนุรักษ์แนวคลองชลประทานโบราณนี้ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำทำนาตามที่ราษฎรกำแพงเพชรทูลเกล้าถวายฎีกา ชื่อว่า “โครงการพระราชดำริท่อทองแดง”
นอกจากนั้นทางเครือข่ายยังมีการพูดคุยกันถึงการปิด –เปิด ประตูน้ำในช่วงน้ำหลาก – น้ำน้อย การจัดสรรน้ำก่อน –หลัง ปริมาณน้ำที่กักเก็บได้จะเพียงพอทำการเกษตรจำนวนกี่ไร่ รวมถึงแต่ละหมู่บ้านมีผู้ใช้น้ำ จะทำหน้าที่ผลัดเวรกันดูแลฝายอย่างไร สำหรับแนวทาวการจัดการน้ำต้องอาศัยจารีต ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผสมผสาน และให้ประชาชนมีส่วนร่วมกันจริงๆ ภาครัฐช่วยประสาน คอยเป็นพี่เลี้ยงให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญจริงๆในการแก้ปัญหาทรัพยากรน้ำ ชาวบ้านต้องมีการใช้น้ำอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ และดูแลรักษาแหล่งน้ำให้สะอาด หากช่วยกันดูแลรักษา ชุมชนท้องถิ่นก็จะสามารถใช้ประโยชน์ได้ยาวนาน
“ทั้งนี้ทางเครือข่ายยังสมทบงบประมาณการบริหารจัดการน้ำกันเอง โดยเก็บเงินเกษตรกรไร่ละ ๕ บาท
โดยจัดสรรให้เครือข่ายบริหารจัดการน้ำในตำบล ๔ บาท และอีก ๑ บาท สมทบกับเครือข่ายกำแพงเพชร และปลูกต้นไม้เพื่อดูแลต้นน้ำของเราที่จังหวัดตากด้วย” นายจรูญกล่าว
การเกษตรสมัยกรุงสุโขทัย และกรุงศรีอยุธยา
ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศเกษตรกรรมมาช้านาน เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตมรสุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสภาพภูมิประเทศ ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการทำการเกษตร ประชากร ส่วนใหญ่ของประเทศประกอบอาชีพทางการเกษตรหรือเกี่ยวข้องมาโดยตลอด แม้ว่าจะพยายามพัฒนาไปสู่ความเป็นประเทศอุตสาหกรรมเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังคงพึ่งพาอาศัยเกษตรกรรมอยู่เช่นเดียวกับประเทศที่ได้พัฒนาไปแล้วทั้งหลาย วิวัฒนาการและพัฒนาการเกษตรของไทยได้เปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัย และตามกระแสการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของโลกมาตามลำดับ
สมัยกรุงสุโขทัย (พ.ศ.1781-1893) การเกษตรในประเทศไทยได้มีการพัฒนามาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ราว พ.ศ.1800 พ่อขุนรามคำแหงทรงมีรัฐประศาสโนบายในทางส่งเสริมและบำรุงการเกษตร โดยประชาชนมีอิสระเสรีในการประกอบอาชีพตามถนัด ที่ดินที่ได้ปลูกสร้างทำประโยชน์ขึ้นก็ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ปลูกสร้าง และให้เป็นมรดกตกทอดไปถึงลูกหลาน เป็นการให้กำลังใจแก่ประชาชนในอันที่จะหักร้างถางพงปลูกสร้างทำที่ดินให้เกิดประโยชน์2 สมัยนั้นมีระบบปลูกพืชเป็นแปลงขนาดใหญ่นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าคงมีระบบการทดน้ำและระบายน้ำเป็นอย่างดี ทำให้สามารถปลูกพืชเป็นแปลงใหญ่ๆ ได้ เพราะเมืองสุโขทัยเป็นที่ดอน แปลงปลูกพืชที่เป็นป่าก็มีทั้ง ป่าหมาก ป่าตาล ป่าพลู ป่าผลไม้ เช่น มะม่วง มะขาม มะพร้าว ตลอดไปจนถึงไร่และนาซึ่งมีอยู่มากมาย อีกทั้งไม่คิดภาษีจังกอบ เป็นการเพิ่มแรงจูงใจในการทำการเกษตร และทำให้การเกษตรพัฒนามาโดยตลอด
ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 -2310) ปรากฏว่ามีการบริหารราชการแผ่นดินแบบจตุสดมภ์ ประกอบด้วย กรมเมือง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา กรมนามีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการไร่นาและสัตว์พาหนะ ต่อมาได้ขยายหน้าที่ไปประจำตามหัวเมืองด้วย มีหน้าที่จัดการกับที่ดินรกร้างว่างเปล่าให้มีการใช้ประโยชน์ จัดการเกี่ยวกับการชลประทาน และเก็บภาษีเป็นหางข้าวขึ้นฉางหลวง แสดงว่าการเกษตรได้เจริญขึ้นในแผ่นดินนี้
การขยายตัวของกรมนาแสดงว่าข้าวกลายเป็นพืชสำคัญที่มีการปลูกและขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางในสมัยกรุงศรีอยุธยา ข้าวได้มีส่วนทำให้กรุงศรีอยุธยามีความมั่งคั่งเพราะเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ นอกจากนี้ ยังมีพวกของป่า หนังสัตว์ ไม้หอม และผลไม้ ในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ผู้เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีบันทึกไว้ว่า เมื่อล่องเรือผ่านเมืองธนบุรีอันเป็นเมืองหน้าด่านในสมัยนั้น ได้เห็นสวนผลไม้ใหญ่น้อยของชาวบ้านที่ปลูกกันเป็นขนัดเป็นระเบียบเรียบร้อยตลอดทาง